ทำเนียบรัฐบาล--3 ก.ค.--บิสนิวส์
คณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบในหลักการร่างพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการปกปิดหรือเปลี่ยนสภาพทรัพย์สินที่เกี่ยวพันกับการกระทำความผิด พ.ศ. .... ตามที่สำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ
ทั้งนี้ เนื่องจากการฟอกเงินเป็นอาชญากรรมที่กระทำเพื่อปกปิดหรือเปลี่ยนสภาพทรัพย์สินที่ได้รับมาเนื่องจากการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด อันเป็นผลให้ผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดใช้ทรัพย์สินดังกล่าวในการขยายการลักลอบค้ายาเสพติดให้กว้างขวางออกไป ซึ่งก่อให้เกิดการแพร่ระบาดของยาเสพติด อีกทั้งเป็นมูลฐานของการประกอบอาชญากรรมประเภทต่าง ๆ อีกด้วย ดังนั้น เพื่อความสงบเรียบร้อยทั้งทางสังคมและทางเศรษฐกิจ จำเป็นต้องปราบปรามการฟอกเงินเพื่อมิให้ผู้กระทำความผิดสามารถมีและใช้ประโยชน์จากทรัพย์สินเหล่านั้นได้ ทั้งนี้ โดยกำหนดมาตรการต่าง ๆ ทางกฎหมายเพื่อให้สามารถปราบปรามการฟอกเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งเพื่อให้สอดคล้องกับอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านการลักลอบค้ายาเสพติดและวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท ค.ศ. 1988 ซึ่งประเทศไทยจะได้ดำเนินการเข้าเป็นภาคีต่อไป จึงให้ความเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว โดยมีสาระสำคัญสรุปได้ดังนี้
1. กำหนดให้มีสำนักงานบริหารข้อมูลเกี่ยวกับการปกปิดหรือเปลี่ยนสภาพทรัพย์สินที่เกี่ยวพันกับการกระทำความผิด มีอำนาจหน้าที่เป็นศูนย์กลางในการรับข้อมูลต่าง ๆ ที่สถาบันการเงินหรือผู้อื่นที่มีหน้าที่รายงาน และพิจารณายับยั้งการทำธุรกรรม เมื่อพบว่ามีกรณีต้องสงสัยว่าเป็นการฟอกเงิน
2. กำหนดให้สถาบันการเงินจัดให้ลูกค้าแสดงตนและที่อยู่ทุกครั้งก่อนทำธุรกรรม จัดให้ลูกค้าบันทึกข้อเท็จจริงและรายงานเกี่ยวกับการทำธุรกรรม ก่อนทำธุรกรรมที่มีมูลค่าเกินกว่าที่กำหนดในกฎกระทรวง หรือมีเหตุอันควรสงสัยว่าเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดตามที่กำหนดไว้ในกฎหมายนี้
3. กำหนดให้ผู้ดำเนินการ ดูแล หรือให้คำแนะนำในการทำธุรกรรมเกี่ยวกับการเคลื่อนย้ายเงินทุนจะต้องรายงานเกี่ยวกับเงินหรือทรัพย์สินที่มีเหตุอันควรสงสัยว่าเกี่ยวพันกับการกระทำความผิด รวมทั้งธุรกรรมที่เกี่ยวข้อง
4. กำหนดให้สำนักงานที่ดินรายงานการทำนิติกรรมสัญญาที่เกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ใดที่มีมูลค่าเกินกว่าที่กำหนดไว้ในกฎกระทรวง
5. กำหนดให้สำนักงานฯ อาจแจ้งให้สถาบันการเงินหรือบุคคลอื่นยับยั้งการทำธุรกรรมที่มีเหตุอันควรสงสัยว่าเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดมูลฐาน ไม่เกิน 1 วันทำการธนาคาร และกรณีมีหลักฐานเป็นที่เชื่อได้ว่าธุรกรรมใดเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดมูลฐาน สำนักงานฯ อาจมีคำสั่งให้สถาบันการเงินระงับการทำธุรกรรมไว้ชั่วคราวเป็นเวลา 10 วันทำการธนาคาร
6. กำหนดให้สำนักงานฯ มีอำนาจเสนอเรื่องให้พนักงานอัยการยื่นคำร้องขอต่อศาลให้สั่งให้ทรัพย์สินที่เกี่ยวพันกับการกระทำความผิด รวมทั้งดอกผลของทรัพย์สินนั้นให้ตกเป็นของแผ่นดิน ในกรณีที่มีพยานหลักฐานเชื่อได้ว่าธุรกรรมนั้นเป็นการโอนหรือเปลี่ยนสภาพทรัพย์สิน หรือปกปิดอำพรางที่มาของทรัพย์สินที่เกี่ยวพันกับการกระทำความผิด
7. กำหนดลักษณะของความผิดเกี่ยวกับการฟอกเงินและบทกำหนดโทษ
8. กำหนดโทษสำหรับผู้ขัดขวางหรือไม่ให้ความสะดวกต่อการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าพนักงานตามกฎหมาย
9. กำหนดให้ผู้เป็นเจ้าพนักงานและผู้มีตำแหน่งหน้าที่ตามที่กฎหมายได้กำหนดไว้ ถ้ากระทำความผิดเกี่ยวกับการฟอกเงิน หรือกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ หรือตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรมอันเกี่ยวเนื่องกับการกระทำความผิดตามร่างพระราชบัญญัตินี้ จะต้องรับโทษเป็นสามเท่าของโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น
ทั้งนี้ คณะรัฐมนตรีให้ส่งร่างพระราชบัญญัตินี้ไปยังสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเพื่อตรวจพิจารณาโดยให้รับข้อสังเกตของกระทรวงต่าง ๆ และรัฐมนตรีบางท่าน แล้วส่งกลับให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาโดยเร็วที่สุด
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดนายบรรหาร ศิลปอาชา)--วันที่ 2 กรกฏาคม 2539--
คณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบในหลักการร่างพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการปกปิดหรือเปลี่ยนสภาพทรัพย์สินที่เกี่ยวพันกับการกระทำความผิด พ.ศ. .... ตามที่สำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ
ทั้งนี้ เนื่องจากการฟอกเงินเป็นอาชญากรรมที่กระทำเพื่อปกปิดหรือเปลี่ยนสภาพทรัพย์สินที่ได้รับมาเนื่องจากการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด อันเป็นผลให้ผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดใช้ทรัพย์สินดังกล่าวในการขยายการลักลอบค้ายาเสพติดให้กว้างขวางออกไป ซึ่งก่อให้เกิดการแพร่ระบาดของยาเสพติด อีกทั้งเป็นมูลฐานของการประกอบอาชญากรรมประเภทต่าง ๆ อีกด้วย ดังนั้น เพื่อความสงบเรียบร้อยทั้งทางสังคมและทางเศรษฐกิจ จำเป็นต้องปราบปรามการฟอกเงินเพื่อมิให้ผู้กระทำความผิดสามารถมีและใช้ประโยชน์จากทรัพย์สินเหล่านั้นได้ ทั้งนี้ โดยกำหนดมาตรการต่าง ๆ ทางกฎหมายเพื่อให้สามารถปราบปรามการฟอกเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งเพื่อให้สอดคล้องกับอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านการลักลอบค้ายาเสพติดและวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท ค.ศ. 1988 ซึ่งประเทศไทยจะได้ดำเนินการเข้าเป็นภาคีต่อไป จึงให้ความเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว โดยมีสาระสำคัญสรุปได้ดังนี้
1. กำหนดให้มีสำนักงานบริหารข้อมูลเกี่ยวกับการปกปิดหรือเปลี่ยนสภาพทรัพย์สินที่เกี่ยวพันกับการกระทำความผิด มีอำนาจหน้าที่เป็นศูนย์กลางในการรับข้อมูลต่าง ๆ ที่สถาบันการเงินหรือผู้อื่นที่มีหน้าที่รายงาน และพิจารณายับยั้งการทำธุรกรรม เมื่อพบว่ามีกรณีต้องสงสัยว่าเป็นการฟอกเงิน
2. กำหนดให้สถาบันการเงินจัดให้ลูกค้าแสดงตนและที่อยู่ทุกครั้งก่อนทำธุรกรรม จัดให้ลูกค้าบันทึกข้อเท็จจริงและรายงานเกี่ยวกับการทำธุรกรรม ก่อนทำธุรกรรมที่มีมูลค่าเกินกว่าที่กำหนดในกฎกระทรวง หรือมีเหตุอันควรสงสัยว่าเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดตามที่กำหนดไว้ในกฎหมายนี้
3. กำหนดให้ผู้ดำเนินการ ดูแล หรือให้คำแนะนำในการทำธุรกรรมเกี่ยวกับการเคลื่อนย้ายเงินทุนจะต้องรายงานเกี่ยวกับเงินหรือทรัพย์สินที่มีเหตุอันควรสงสัยว่าเกี่ยวพันกับการกระทำความผิด รวมทั้งธุรกรรมที่เกี่ยวข้อง
4. กำหนดให้สำนักงานที่ดินรายงานการทำนิติกรรมสัญญาที่เกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ใดที่มีมูลค่าเกินกว่าที่กำหนดไว้ในกฎกระทรวง
5. กำหนดให้สำนักงานฯ อาจแจ้งให้สถาบันการเงินหรือบุคคลอื่นยับยั้งการทำธุรกรรมที่มีเหตุอันควรสงสัยว่าเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดมูลฐาน ไม่เกิน 1 วันทำการธนาคาร และกรณีมีหลักฐานเป็นที่เชื่อได้ว่าธุรกรรมใดเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดมูลฐาน สำนักงานฯ อาจมีคำสั่งให้สถาบันการเงินระงับการทำธุรกรรมไว้ชั่วคราวเป็นเวลา 10 วันทำการธนาคาร
6. กำหนดให้สำนักงานฯ มีอำนาจเสนอเรื่องให้พนักงานอัยการยื่นคำร้องขอต่อศาลให้สั่งให้ทรัพย์สินที่เกี่ยวพันกับการกระทำความผิด รวมทั้งดอกผลของทรัพย์สินนั้นให้ตกเป็นของแผ่นดิน ในกรณีที่มีพยานหลักฐานเชื่อได้ว่าธุรกรรมนั้นเป็นการโอนหรือเปลี่ยนสภาพทรัพย์สิน หรือปกปิดอำพรางที่มาของทรัพย์สินที่เกี่ยวพันกับการกระทำความผิด
7. กำหนดลักษณะของความผิดเกี่ยวกับการฟอกเงินและบทกำหนดโทษ
8. กำหนดโทษสำหรับผู้ขัดขวางหรือไม่ให้ความสะดวกต่อการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าพนักงานตามกฎหมาย
9. กำหนดให้ผู้เป็นเจ้าพนักงานและผู้มีตำแหน่งหน้าที่ตามที่กฎหมายได้กำหนดไว้ ถ้ากระทำความผิดเกี่ยวกับการฟอกเงิน หรือกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ หรือตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรมอันเกี่ยวเนื่องกับการกระทำความผิดตามร่างพระราชบัญญัตินี้ จะต้องรับโทษเป็นสามเท่าของโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น
ทั้งนี้ คณะรัฐมนตรีให้ส่งร่างพระราชบัญญัตินี้ไปยังสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเพื่อตรวจพิจารณาโดยให้รับข้อสังเกตของกระทรวงต่าง ๆ และรัฐมนตรีบางท่าน แล้วส่งกลับให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาโดยเร็วที่สุด
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดนายบรรหาร ศิลปอาชา)--วันที่ 2 กรกฏาคม 2539--