ทำเนียบรัฐบาล--10 ก.ค.--บิสนิวส์
คณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฏรพิจารณาต่อไป ซึ่งมีสาระสำคัญ ดังนี้
1. ให้ยกเลิกพระราชบัญญัติน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2521 และพระราชบัญญัติน้ำมันเชื้อเพลิง (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2522
2. กำหนดขอบเขตของนิยามคำว่า "น้ำมันเชื้อเพลิง"”"ผู้ค้าน้ำมัน"”"ผู้ขนส่งน้ำมัน" "สถานีบริการ"”"ปริมาณการค้าประจำปี"” ให้เหมาะสมรัดกุมในการใช้บังคับตามกฎหมาย
3. กำหนดอำนาจของรัฐมนตรีในการออกประกาศตามบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัตินี้ให้ชัดเจนขึ้น
4. กำหนดให้ผู้ค้าน้ำมันที่มีปริมาณการค้าน้ำมันตั้งแต่หนึ่งแสนเมตริกตันขึ้นไป ต้องได้รับใบอนุญาตจากรัฐมนตรี สำหรับผู้ค้าน้ำมันที่มีปริมาณการค้าน้ำมันไม่ถึงหนึ่งแสนเมตริกตัน แต่เกินปริมาณที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดหรือมีขนาดถังเก็บน้ำมันเกินปริมาณที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด และผู้ค้าน้ำมันที่จัดตั้งสถานีบริการ ต้องยื่นขอจดทะเบียนต่ออธิบดี (ร่างมาตรา 7, ร่างมาตรา 10, ร่างมาตรา 11)
5. กำหนดให้รัฐมนตรีมีอำนาจกำหนดเงื่อนไขเกี่ยวกับการค้า ดำเนินการค้าใด ๆ และมีอำนาจแก้ไขเปลี่ยนแปลง หรือเพิ่มเติมเงื่อนไขที่กำหนดไว้ได้
6. กำหนดให้ผู้ค้าน้ำมันที่จะเลิกประกอบกิจการต้องแจ้งให้รัฐมนตรีทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่า90 วันก่อนวันเลิกประกอบกิจการ เนื่องจากมีผลต่อการคำนวณส่วนแบ่งการตลาดของผู้ค้าน้ำมันรายอื่น และมีผลต่อการเฉลี่ยการสำรองน้ำมันเชื้อเพลิงของผู้ค้าน้ำมันทุกราย
7. กำหนดให้ผู้ขนส่งน้ำมันตามชนิดและปริมาณที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด ต้องแจ้งต่ออธิบดีภายใน 60 วัน นับแต่วันที่ประกาศดังกล่าวใช้บังคับ
8. กำหนดให้ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 มาตรา 10 มาตรา 11 ผู้ขนส่งน้ำมันตามมาตรา 12 ต้องชำระค่าธรรมเนียมรายปีตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และอัตราที่กำหนดในกฎกระทรวง และกำหนดบทลงโทษในกรณีที่ไม่ชำระไว้ด้วย
9. กำหนดให้ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 มีหน้าที่ต้องดำเนินกิจการค้าน้ำมันให้เป็นไปตามแผนที่ได้แจ้งไว้
10. กำหนดข้อยกเว้นสำหรับการมีน้ำมันหล่อลื่นที่ใช้แล้วไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ซึ่งไม่ถือเป็นความผิด เช่น การเอาไปทาไม้เพื่อป้องกันปลวก หรือนำไปเข้าขบวนการนำกลับมาใช้ใหม่
11. กำหนดให้อธิบดีเป็นผู้มีอำนาจหน้าที่แทนรัฐมนตรีบางประการ เช่น
11.1 ประกาศกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการเปิดเผยหรือเผยแพร่ข้อเท็จจริงหรือข้อมูลใด ๆ ที่ได้มาเนื่องจากการปฏิบัติหน้าที่ของพนักงานเจ้าหน้าที่
11.2 ให้ความเห็นชอบเกี่ยวกับปริมาณการค้าประจำปีของผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7
11.3 ออกคำสั่งผ่อนผันเป็นการชั่วคราวมิให้ผู้ค้าน้ำมันต้องสำรองน้ำมันเชื้อเพลิงหรือให้ลดปริมาณที่ต้องสำรองได้ตามที่เห็นสมควร
11.4 สั่งให้ผู้ค้าน้ำมันงดจำหน่ายหรือให้จำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงชนิดหนึ่งชนิดใด
11.5 กำหนดเงื่อนไขให้ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 เก็บตัวอย่างน้ำมันเชื้อเพลิง และทำการทดสอบลักษณะและคุณภาพของน้ำมันเชื้อเพลิงของตน
11.6 กำหนดวิธีการและเงื่อนไขในการขนส่งน้ำมันเชื้อเพลิงของผู้ค้าน้ำมัน
12. กำหนดให้พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจต่าง ๆ ในการตรวจสอบการปฏิบัติตามพระราชบัญญัตินี้
13. กำหนดให้รัฐมนตรีมีอำนาจเพิกถอนใบอนุญาตที่ออกให้แก่ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 ได้ เมื่อผู้ค้าน้ำมันกระทำการที่ถือเป็นความผิดสำคัญ และห้ามผู้ค้าน้ำมันที่ถูกเพิกถอนใบอนุญาตยังไม่ครบ 1 ปี ยื่นขออนุญาตเป็นผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 (ร่างมาตรา 7)
14. ปรับปรุงบทกำหนดโทษให้เหมาะสมกับความร้ายแรงของความผิดและสถานการณ์ในปัจจุบัน
15. กำหนดอัตราค่าธรรมเนียมให้สอดคล้องกับสาระในร่างพระราชบัญญัติฯ
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดนายบรรหาร ศิลปอาชา)--9 กรกฎาคม 2539--
คณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฏรพิจารณาต่อไป ซึ่งมีสาระสำคัญ ดังนี้
1. ให้ยกเลิกพระราชบัญญัติน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2521 และพระราชบัญญัติน้ำมันเชื้อเพลิง (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2522
2. กำหนดขอบเขตของนิยามคำว่า "น้ำมันเชื้อเพลิง"”"ผู้ค้าน้ำมัน"”"ผู้ขนส่งน้ำมัน" "สถานีบริการ"”"ปริมาณการค้าประจำปี"” ให้เหมาะสมรัดกุมในการใช้บังคับตามกฎหมาย
3. กำหนดอำนาจของรัฐมนตรีในการออกประกาศตามบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัตินี้ให้ชัดเจนขึ้น
4. กำหนดให้ผู้ค้าน้ำมันที่มีปริมาณการค้าน้ำมันตั้งแต่หนึ่งแสนเมตริกตันขึ้นไป ต้องได้รับใบอนุญาตจากรัฐมนตรี สำหรับผู้ค้าน้ำมันที่มีปริมาณการค้าน้ำมันไม่ถึงหนึ่งแสนเมตริกตัน แต่เกินปริมาณที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดหรือมีขนาดถังเก็บน้ำมันเกินปริมาณที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด และผู้ค้าน้ำมันที่จัดตั้งสถานีบริการ ต้องยื่นขอจดทะเบียนต่ออธิบดี (ร่างมาตรา 7, ร่างมาตรา 10, ร่างมาตรา 11)
5. กำหนดให้รัฐมนตรีมีอำนาจกำหนดเงื่อนไขเกี่ยวกับการค้า ดำเนินการค้าใด ๆ และมีอำนาจแก้ไขเปลี่ยนแปลง หรือเพิ่มเติมเงื่อนไขที่กำหนดไว้ได้
6. กำหนดให้ผู้ค้าน้ำมันที่จะเลิกประกอบกิจการต้องแจ้งให้รัฐมนตรีทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่า90 วันก่อนวันเลิกประกอบกิจการ เนื่องจากมีผลต่อการคำนวณส่วนแบ่งการตลาดของผู้ค้าน้ำมันรายอื่น และมีผลต่อการเฉลี่ยการสำรองน้ำมันเชื้อเพลิงของผู้ค้าน้ำมันทุกราย
7. กำหนดให้ผู้ขนส่งน้ำมันตามชนิดและปริมาณที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด ต้องแจ้งต่ออธิบดีภายใน 60 วัน นับแต่วันที่ประกาศดังกล่าวใช้บังคับ
8. กำหนดให้ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 มาตรา 10 มาตรา 11 ผู้ขนส่งน้ำมันตามมาตรา 12 ต้องชำระค่าธรรมเนียมรายปีตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และอัตราที่กำหนดในกฎกระทรวง และกำหนดบทลงโทษในกรณีที่ไม่ชำระไว้ด้วย
9. กำหนดให้ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 มีหน้าที่ต้องดำเนินกิจการค้าน้ำมันให้เป็นไปตามแผนที่ได้แจ้งไว้
10. กำหนดข้อยกเว้นสำหรับการมีน้ำมันหล่อลื่นที่ใช้แล้วไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ซึ่งไม่ถือเป็นความผิด เช่น การเอาไปทาไม้เพื่อป้องกันปลวก หรือนำไปเข้าขบวนการนำกลับมาใช้ใหม่
11. กำหนดให้อธิบดีเป็นผู้มีอำนาจหน้าที่แทนรัฐมนตรีบางประการ เช่น
11.1 ประกาศกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการเปิดเผยหรือเผยแพร่ข้อเท็จจริงหรือข้อมูลใด ๆ ที่ได้มาเนื่องจากการปฏิบัติหน้าที่ของพนักงานเจ้าหน้าที่
11.2 ให้ความเห็นชอบเกี่ยวกับปริมาณการค้าประจำปีของผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7
11.3 ออกคำสั่งผ่อนผันเป็นการชั่วคราวมิให้ผู้ค้าน้ำมันต้องสำรองน้ำมันเชื้อเพลิงหรือให้ลดปริมาณที่ต้องสำรองได้ตามที่เห็นสมควร
11.4 สั่งให้ผู้ค้าน้ำมันงดจำหน่ายหรือให้จำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงชนิดหนึ่งชนิดใด
11.5 กำหนดเงื่อนไขให้ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 เก็บตัวอย่างน้ำมันเชื้อเพลิง และทำการทดสอบลักษณะและคุณภาพของน้ำมันเชื้อเพลิงของตน
11.6 กำหนดวิธีการและเงื่อนไขในการขนส่งน้ำมันเชื้อเพลิงของผู้ค้าน้ำมัน
12. กำหนดให้พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจต่าง ๆ ในการตรวจสอบการปฏิบัติตามพระราชบัญญัตินี้
13. กำหนดให้รัฐมนตรีมีอำนาจเพิกถอนใบอนุญาตที่ออกให้แก่ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 ได้ เมื่อผู้ค้าน้ำมันกระทำการที่ถือเป็นความผิดสำคัญ และห้ามผู้ค้าน้ำมันที่ถูกเพิกถอนใบอนุญาตยังไม่ครบ 1 ปี ยื่นขออนุญาตเป็นผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 (ร่างมาตรา 7)
14. ปรับปรุงบทกำหนดโทษให้เหมาะสมกับความร้ายแรงของความผิดและสถานการณ์ในปัจจุบัน
15. กำหนดอัตราค่าธรรมเนียมให้สอดคล้องกับสาระในร่างพระราชบัญญัติฯ
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดนายบรรหาร ศิลปอาชา)--9 กรกฎาคม 2539--