ทำเนียบรัฐบาล--13 ต.ค.--บิสนิวส์
คณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติให้กระทรวงอุตสาหกรรมออกสัมปทานปิโตรเลียมเพิ่มเติม (ฉบับที่ 6) ของสัมปทานเลขที่ 2/2515/6 ให้แก่ผู้รับสัมปทาน คือบริษัท Unocal Thailand, Ltd. และบริษัท Mitsui Oil Exploration Co.,Ltd. สำหรับพื้นที่แปลงสำรวจหมายเลข 12 และ 13 จำนวน 890 ตารางกิโลเมตร ที่อยู่ในบริเวณเขตไหล่ทวีปทับซ้อนไทย - กัมพูชา ทั้งนี้ กระทรวงอุตสาหกรรมรายงานว่า บริษัท Unocal Thailand, Ltd. และคณะ (ซึ่งรวมถึงบริษัท Mitsui Oil Exploration Co.,Ltd. ด้วย) ได้ยื่นคำขอต่อกระทรวงอุตสาหกรรมให้ออกสัมปทานปิโตรเลียมเพิ่มเติม เพื่อกันพื้นที่ตามสัมปทานซึ่งอยู่ในเขตไหล่ทวีปทับซ้อนไทย - กัมพูชา - เวียดนาม ซึ่งเดิมกรมทรัพยากรธรณีได้แจ้งให้ผู้รับสัมปทานปิโตรเลียมงดเว้นการเข้าไปเจาะสำรวจปิโตรเลียมในพื้นที่ทับซ้อนดังกล่าวไว้ก่อนจนกว่ารัฐบาลไทยจะสามารถตกลงกับประเทศเพื่อนบ้านในเรื่องไหล่ทวีปได้ ทั้งนี้ มีพื้นที่คงเหลือตามสัมปทานของบริษัทดังกล่าว ที่ยังอยู่ในเขตไหล่ทวีปทับซ้อนในแปลงสำรวจหมายเลข 12 และ 13 รวมเป็นพื้นที่ประมาณ 890 ตาราง-กิโลเมตร และในปัจจุบันพื้นที่สัมปทานแปลงสำรวจดังกล่าว คาบเกี่ยวอยู่เฉพาะประเทศไทยและกัมพูชาเท่านั้น เนื่องจากเวียดนาม - กัมพูชา รวมทั้งไทย - เวียดนาม ได้ทำความตกลงกำหนดเส้นแบ่งเขตทางทะเลและไหล่ทวีประหว่างกันแล้ว
ต่อมาเมื่อเดือนธันวาคม 2540 บริษัท Unocal Thailand, Ltd. ในฐานะผู้ดำเนินงานของคณะผู้รับสัมปทานแปลงสำรวจดังกล่าว ได้แจ้งความประสงค์ขอให้กระทรวงอุตสาหกรรมออกสัมปทานปิโตรเลียมเพิ่มเติมสำหรับพื้นที่แปลงสำรวจหมายเลข 12 และ 13 ที่ยังคงเหลือจำนวน 890 ตารางกิโลเมตร ในเขตไหล่ทวีปทับซ้อนไทย - กัมพูชา โดยบริษัทฯ ได้เสนอข้อผูกพันการสำรวจมาใหม่ที่มีเงื่อนไขให้ประโยชน์แก่ประเทศมากขึ้นในกาารเร่งรัดสำรวจค้นหาแหล่งปิโตรเลียม ในการนี้คณะกรรมการปิโตรเลียมได้พิจารณาและตรวจสอบข้อมูล ความเป็นมา ข้อเท็จจริง ข้อกฎหมาย และคำขอของผู้รับสัมปทานแล้วเห็นว่า ปัจจุบันสถานะในเรื่องพื้นที่เขตไหล่ทวีปทับซ้อนในอ่าวไทยได้มีความชัดเจนขึ้น และเงื่อนไขข้อผูกพันในการสำรวจปิโตรเลียมในพื้นที่แปลงสำรวจดังกล่าวที่ผู้รับสัมปทานได้เสนอมาใหม่ นั้น มีความเหมาะสมกับขนาดและศักยภาพของพื้นที่ ซึ่งเป็นประโยชน์แก่รัฐมากขึ้นกว่าเดิม จึงเห็นควรอนุมัติให้ออกสัมปทานปิโตรเลียมเพิ่มเติม (ฉบับที่ 6) ให้แก่บริษัท Unocal และคณะ ตามร่างสัมปทานปิโตรเลียมเพิ่มเติมได้ ทั้งนี้ ผู้รับสัมปทานจะยังไม่สามารถเริ่มดำเนินงานสำรวจใด ๆ ตามข้อผูกพันในพื้นที่ดังกล่าวได้ จนกว่าจะมีข้อยุติเกี่ยวกับเส้นแบ่งเขตไหล่ทวีประหว่างไทยกับกัมพูชา อนึ่ง โดยที่รัฐบาลกัมพูชาได้ลงนามในสัญญาให้สัมปทานแก่บริษัทน้ำมันต่างประเทศ 5 บริษัท สำหรับการสำรวจและผลิตน้ำมันในเขตไหล่ทวีปอ้างสิทธิทับซ้อนดังกล่าวไปแล้ว ซึ่งเป็นเขตเดียวกับพื้นที่แปลงสำรวจหมายเลข 12 และ 13 ของไทย และมีเงื่อนไขว่า ผู้รับสัมปทานจะเริ่มดำเนินการได้ก็ต่อเมื่อกัมพูชาและไทยได้ตกลงกันในเรื่องเขตไหล่ทวีปอ้างสิทธิทับซ้อนเสร็จสิ้นแล้ว ดังนั้นไทยจึงมีสิทธิที่จะให้สัมปทานเพื่อทำการสำรวจและพัฒนาปิโตรเลียมได้ในทำนองเดียวกัน โดยให้งดเว้นการดำเนินการดังกล่าวจนกว่าจะสามารถตกลงกับกัมพูชาในเรื่องเขตไหล่ทวีปได้
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ชุดนายชวน หลีกภัย)--วันที่ 13 ตุลาคม 2541--
คณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติให้กระทรวงอุตสาหกรรมออกสัมปทานปิโตรเลียมเพิ่มเติม (ฉบับที่ 6) ของสัมปทานเลขที่ 2/2515/6 ให้แก่ผู้รับสัมปทาน คือบริษัท Unocal Thailand, Ltd. และบริษัท Mitsui Oil Exploration Co.,Ltd. สำหรับพื้นที่แปลงสำรวจหมายเลข 12 และ 13 จำนวน 890 ตารางกิโลเมตร ที่อยู่ในบริเวณเขตไหล่ทวีปทับซ้อนไทย - กัมพูชา ทั้งนี้ กระทรวงอุตสาหกรรมรายงานว่า บริษัท Unocal Thailand, Ltd. และคณะ (ซึ่งรวมถึงบริษัท Mitsui Oil Exploration Co.,Ltd. ด้วย) ได้ยื่นคำขอต่อกระทรวงอุตสาหกรรมให้ออกสัมปทานปิโตรเลียมเพิ่มเติม เพื่อกันพื้นที่ตามสัมปทานซึ่งอยู่ในเขตไหล่ทวีปทับซ้อนไทย - กัมพูชา - เวียดนาม ซึ่งเดิมกรมทรัพยากรธรณีได้แจ้งให้ผู้รับสัมปทานปิโตรเลียมงดเว้นการเข้าไปเจาะสำรวจปิโตรเลียมในพื้นที่ทับซ้อนดังกล่าวไว้ก่อนจนกว่ารัฐบาลไทยจะสามารถตกลงกับประเทศเพื่อนบ้านในเรื่องไหล่ทวีปได้ ทั้งนี้ มีพื้นที่คงเหลือตามสัมปทานของบริษัทดังกล่าว ที่ยังอยู่ในเขตไหล่ทวีปทับซ้อนในแปลงสำรวจหมายเลข 12 และ 13 รวมเป็นพื้นที่ประมาณ 890 ตาราง-กิโลเมตร และในปัจจุบันพื้นที่สัมปทานแปลงสำรวจดังกล่าว คาบเกี่ยวอยู่เฉพาะประเทศไทยและกัมพูชาเท่านั้น เนื่องจากเวียดนาม - กัมพูชา รวมทั้งไทย - เวียดนาม ได้ทำความตกลงกำหนดเส้นแบ่งเขตทางทะเลและไหล่ทวีประหว่างกันแล้ว
ต่อมาเมื่อเดือนธันวาคม 2540 บริษัท Unocal Thailand, Ltd. ในฐานะผู้ดำเนินงานของคณะผู้รับสัมปทานแปลงสำรวจดังกล่าว ได้แจ้งความประสงค์ขอให้กระทรวงอุตสาหกรรมออกสัมปทานปิโตรเลียมเพิ่มเติมสำหรับพื้นที่แปลงสำรวจหมายเลข 12 และ 13 ที่ยังคงเหลือจำนวน 890 ตารางกิโลเมตร ในเขตไหล่ทวีปทับซ้อนไทย - กัมพูชา โดยบริษัทฯ ได้เสนอข้อผูกพันการสำรวจมาใหม่ที่มีเงื่อนไขให้ประโยชน์แก่ประเทศมากขึ้นในกาารเร่งรัดสำรวจค้นหาแหล่งปิโตรเลียม ในการนี้คณะกรรมการปิโตรเลียมได้พิจารณาและตรวจสอบข้อมูล ความเป็นมา ข้อเท็จจริง ข้อกฎหมาย และคำขอของผู้รับสัมปทานแล้วเห็นว่า ปัจจุบันสถานะในเรื่องพื้นที่เขตไหล่ทวีปทับซ้อนในอ่าวไทยได้มีความชัดเจนขึ้น และเงื่อนไขข้อผูกพันในการสำรวจปิโตรเลียมในพื้นที่แปลงสำรวจดังกล่าวที่ผู้รับสัมปทานได้เสนอมาใหม่ นั้น มีความเหมาะสมกับขนาดและศักยภาพของพื้นที่ ซึ่งเป็นประโยชน์แก่รัฐมากขึ้นกว่าเดิม จึงเห็นควรอนุมัติให้ออกสัมปทานปิโตรเลียมเพิ่มเติม (ฉบับที่ 6) ให้แก่บริษัท Unocal และคณะ ตามร่างสัมปทานปิโตรเลียมเพิ่มเติมได้ ทั้งนี้ ผู้รับสัมปทานจะยังไม่สามารถเริ่มดำเนินงานสำรวจใด ๆ ตามข้อผูกพันในพื้นที่ดังกล่าวได้ จนกว่าจะมีข้อยุติเกี่ยวกับเส้นแบ่งเขตไหล่ทวีประหว่างไทยกับกัมพูชา อนึ่ง โดยที่รัฐบาลกัมพูชาได้ลงนามในสัญญาให้สัมปทานแก่บริษัทน้ำมันต่างประเทศ 5 บริษัท สำหรับการสำรวจและผลิตน้ำมันในเขตไหล่ทวีปอ้างสิทธิทับซ้อนดังกล่าวไปแล้ว ซึ่งเป็นเขตเดียวกับพื้นที่แปลงสำรวจหมายเลข 12 และ 13 ของไทย และมีเงื่อนไขว่า ผู้รับสัมปทานจะเริ่มดำเนินการได้ก็ต่อเมื่อกัมพูชาและไทยได้ตกลงกันในเรื่องเขตไหล่ทวีปอ้างสิทธิทับซ้อนเสร็จสิ้นแล้ว ดังนั้นไทยจึงมีสิทธิที่จะให้สัมปทานเพื่อทำการสำรวจและพัฒนาปิโตรเลียมได้ในทำนองเดียวกัน โดยให้งดเว้นการดำเนินการดังกล่าวจนกว่าจะสามารถตกลงกับกัมพูชาในเรื่องเขตไหล่ทวีปได้
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ชุดนายชวน หลีกภัย)--วันที่ 13 ตุลาคม 2541--