ทำเนียบรัฐบาล--4 ต.ค.--บิสนิวส์
คณะรัฐมนตรีรับทราบตามที่กระทรวงพาณิชย์รายงานเรื่องการแก้ไขปัญหาอุตสาหกรรม เหล็กว่า อุตสาหกรรมผู้ผลิตเหล็กได้มีหนังสือร้องเรียนไปยังหน่วยงานต่าง ๆ ว่าประสบปัญหาความเดือดร้อนไม่สามารถแข่งขันกับสินค้านำเข้า และขอให้รัฐบาลแก้ไขปัญหาดังกล่าว ซึ่งจากคำร้องนี้แจ้งว่ามีการทุ่มตลาดสินค้า 2 รายการ คือ เหล็กโครงสร้างรูปพรรณจากโปแลนด์ และเหล็กแผ่นรีดร้อนชนิดม้วนจากรัสเซีย จีน และยูเครน ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ได้ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง ดังนี้
1. การเก็บภาษีต่อต้านการทุ่มตลาด (AD)
กระทรวงพาณิชย์ได้ดำเนินการตามขั้นตอนการรับคำร้องของประกาศกระทรวงพาณิชย์ในเรื่องการทุ่มตลาด พ.ศ. 2534 ซึ่งจะใช้เวลาไต่สวนตามกฎหมายประมาณ 6 - 12 เดือน หากพบว่าข้อมูลในชั้นต้นมีมูลว่าได้มีการทุ่มตลาด และได้ก่อหรืออาจก่อให้เกิดความเสียหายอย่างชัดเจนต่ออุตสาหกรรมจริง ก็สามารถเสนอให้กระทรวงพาณิชย์ใช้มาตรการชั่วคราวเพื่อช่วยเหลือได้ หลังจากวันที่ประกาศไต่สวนไปแล้ว 60 วัน และการตัดสินใจใช้มาตรการถาวรจะมีขึ้นหลังจากการไต่สวนขั้นสุดท้ายเสร็จสิ้น ทั้งนี้ไม่เกิน 365 วัน
การใช้มาตรการ AD เป็นการปกป้องการค้าของไทยจากประเทศคู่ค้าที่ทำการค้าอย่างไม่เป็นธรรมซึ่งสอดคล้องกับความตกลงระหว่างประเทศที่ไทยเป็นสมาชิกอยู่ ผลดีของการใช้ภาษี AD คือ เป็นภาษีพิเศษที่เก็บเพิ่มเติมจากภาษีน้ำเข้า ซึ่งเก็บเฉพาะประเทศที่ถูกไต่สวนและพบว่ามีการทุ่มตลาด ประเทศที่ไม่ถูกกล่าวหาว่าทุ่มตลาดจะไม่ถูกเก็บภาษีนี้ จึงเป็นการแก้ไขปัญหาที่ต้นเหตุ สถิติสินค้าเหล็กมีการนำเข้าจากหลายประเทศที่ไม่อยู่ในข่ายการกล่าวหาว่าทุ่มตลาด และมีมูลค่านำเจ้าจากประเทศเหล่านี้มากถึงร้อยละ 50 - 75 ของมูลค่านำเข้ารวม เช่น ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และอังกฤษ เป็นต้น
2. การพิจารณาขึ้นค่าธรรมเนียมพิเศษ (Surcharge)
2.1 การขึ้นค่าธรรมเนียมพิเศษแม้ว่าจะเป็นอีกมาตรการหนึ่งที่กระทรวงพาณิชย์และคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนสามารถนำมาใช้ได้ในเวลารวดเร็ว แต่มีข้อจำกัดว่าจะนำมาใช้ได้เฉพาะกับรายการสินค้าที่ไม่ได้ผูกพันไว้กับองค์การการค้าโลก และเมื่อพิจารณาแล้วการนำมาใช้จะมีผลเสีย คือ
1) การขึ้นภาษีและค่าธรรมเนียมพิเศษเป็นการขึ้นกับทุกประเทศซึ่งทำให้ราคานำเข้า (CIF) จากทุกประเทศสูงขึ้น
2) เนื่องจากสินค้าเหล็กจัดเป็นประเภทสินค้าวัตถุดิบ ซึ่งมีการใช้ต่อเนื่อง ในอุตสาหกรรมที่สำคัญหลายประเภท การขึ้นภาษีสินค้าเหล็กจะทำให้ราคานำเข้าสูงขึ้น ซึ่งจะมีผลโดยตรงต่อต้นทุนการผลิตของอุตสาหกรรมต่อเนื่อง เช่น โครงสร้างเหล็กในอาคารก่อสร้างเหล็กรีดร้อน เหล็กรีดเย็น ท่อเหล็ก ลวดเหล็ก เหล็กแผ่นประเภทต่าง ๆ ผลิตภัณฑ์จากเหล็ก เช่น เครื่องใช้ในครัวเรือนที่ทำด้วยเหล็ก เป็นต้น ซึ่งจะมีผลกระทบด้านต่าง ๆ ดังนี้
- ด้านผู้ผลิต เมื่อมีภาระต้นทุนสูงขึ้นจะผลักภาระไปยังอุตสาหกรรมต่อเนื่อง ต่าง ๆ ส่งผลให้ราคาสินค้าสูงขึ้นอีกหลายประเภท
- ด้านการส่งออก ผู้ผลิตซึ่งใช้เหล็กเป็นวัตถุดิบจะมีภาระต้นทุนที่สูงขึ้น ส่งผลกระทบต่อฐานะการแข่งขัน และการส่งออกของไทย
- ด้านผู้บริโภค ราคาสินค้าอุปโภคจะสูงขึ้น ซึ่งยอดขายในประเทศของเหล็กโครงสร้างรูปพรรณในปี 2538 มีประมาณ 3,819 ล้านบาท ถ้าราคาสินค้าในประเทศสูงขึ้น อาจส่งผลให้ระดับเงินเฟ้อสูงขึ้นได้
2.2 การที่คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนได้มีมติเมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2539 เก็บค่าธรรมเนียมพิเศษกับสินค้าเหล็ก 3 ประเภท คือ เหล็กโครงสร้างรูปพรรณ เหล็กแผ่นรีดเย็น เหล็กท่อนและเหล็กเส้น นอกจากจะมีผลเสียตามที่ได้กล่าวแล้วข้างต้น ยังเป็นการดำเนินการ ที่ขัดกับพันธกรณีของไทยที่มีต่อองค์การการค้าโลก เพราะมีบางรายการที่รัฐบาลไทยได้ผูกพันภาษีไว้ และไม่สามารถเรียกเก็บค่าธรรมเนียมพิเศษได้อีก ได้แก่ เหล็กแผ่นรีดเย็น เหล็กท่อนและเหล็กเส้น
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดนายบรรหาร ศิลปอาชา) วันที่ 4 ตุลาคม 2539--
คณะรัฐมนตรีรับทราบตามที่กระทรวงพาณิชย์รายงานเรื่องการแก้ไขปัญหาอุตสาหกรรม เหล็กว่า อุตสาหกรรมผู้ผลิตเหล็กได้มีหนังสือร้องเรียนไปยังหน่วยงานต่าง ๆ ว่าประสบปัญหาความเดือดร้อนไม่สามารถแข่งขันกับสินค้านำเข้า และขอให้รัฐบาลแก้ไขปัญหาดังกล่าว ซึ่งจากคำร้องนี้แจ้งว่ามีการทุ่มตลาดสินค้า 2 รายการ คือ เหล็กโครงสร้างรูปพรรณจากโปแลนด์ และเหล็กแผ่นรีดร้อนชนิดม้วนจากรัสเซีย จีน และยูเครน ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ได้ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง ดังนี้
1. การเก็บภาษีต่อต้านการทุ่มตลาด (AD)
กระทรวงพาณิชย์ได้ดำเนินการตามขั้นตอนการรับคำร้องของประกาศกระทรวงพาณิชย์ในเรื่องการทุ่มตลาด พ.ศ. 2534 ซึ่งจะใช้เวลาไต่สวนตามกฎหมายประมาณ 6 - 12 เดือน หากพบว่าข้อมูลในชั้นต้นมีมูลว่าได้มีการทุ่มตลาด และได้ก่อหรืออาจก่อให้เกิดความเสียหายอย่างชัดเจนต่ออุตสาหกรรมจริง ก็สามารถเสนอให้กระทรวงพาณิชย์ใช้มาตรการชั่วคราวเพื่อช่วยเหลือได้ หลังจากวันที่ประกาศไต่สวนไปแล้ว 60 วัน และการตัดสินใจใช้มาตรการถาวรจะมีขึ้นหลังจากการไต่สวนขั้นสุดท้ายเสร็จสิ้น ทั้งนี้ไม่เกิน 365 วัน
การใช้มาตรการ AD เป็นการปกป้องการค้าของไทยจากประเทศคู่ค้าที่ทำการค้าอย่างไม่เป็นธรรมซึ่งสอดคล้องกับความตกลงระหว่างประเทศที่ไทยเป็นสมาชิกอยู่ ผลดีของการใช้ภาษี AD คือ เป็นภาษีพิเศษที่เก็บเพิ่มเติมจากภาษีน้ำเข้า ซึ่งเก็บเฉพาะประเทศที่ถูกไต่สวนและพบว่ามีการทุ่มตลาด ประเทศที่ไม่ถูกกล่าวหาว่าทุ่มตลาดจะไม่ถูกเก็บภาษีนี้ จึงเป็นการแก้ไขปัญหาที่ต้นเหตุ สถิติสินค้าเหล็กมีการนำเข้าจากหลายประเทศที่ไม่อยู่ในข่ายการกล่าวหาว่าทุ่มตลาด และมีมูลค่านำเจ้าจากประเทศเหล่านี้มากถึงร้อยละ 50 - 75 ของมูลค่านำเข้ารวม เช่น ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และอังกฤษ เป็นต้น
2. การพิจารณาขึ้นค่าธรรมเนียมพิเศษ (Surcharge)
2.1 การขึ้นค่าธรรมเนียมพิเศษแม้ว่าจะเป็นอีกมาตรการหนึ่งที่กระทรวงพาณิชย์และคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนสามารถนำมาใช้ได้ในเวลารวดเร็ว แต่มีข้อจำกัดว่าจะนำมาใช้ได้เฉพาะกับรายการสินค้าที่ไม่ได้ผูกพันไว้กับองค์การการค้าโลก และเมื่อพิจารณาแล้วการนำมาใช้จะมีผลเสีย คือ
1) การขึ้นภาษีและค่าธรรมเนียมพิเศษเป็นการขึ้นกับทุกประเทศซึ่งทำให้ราคานำเข้า (CIF) จากทุกประเทศสูงขึ้น
2) เนื่องจากสินค้าเหล็กจัดเป็นประเภทสินค้าวัตถุดิบ ซึ่งมีการใช้ต่อเนื่อง ในอุตสาหกรรมที่สำคัญหลายประเภท การขึ้นภาษีสินค้าเหล็กจะทำให้ราคานำเข้าสูงขึ้น ซึ่งจะมีผลโดยตรงต่อต้นทุนการผลิตของอุตสาหกรรมต่อเนื่อง เช่น โครงสร้างเหล็กในอาคารก่อสร้างเหล็กรีดร้อน เหล็กรีดเย็น ท่อเหล็ก ลวดเหล็ก เหล็กแผ่นประเภทต่าง ๆ ผลิตภัณฑ์จากเหล็ก เช่น เครื่องใช้ในครัวเรือนที่ทำด้วยเหล็ก เป็นต้น ซึ่งจะมีผลกระทบด้านต่าง ๆ ดังนี้
- ด้านผู้ผลิต เมื่อมีภาระต้นทุนสูงขึ้นจะผลักภาระไปยังอุตสาหกรรมต่อเนื่อง ต่าง ๆ ส่งผลให้ราคาสินค้าสูงขึ้นอีกหลายประเภท
- ด้านการส่งออก ผู้ผลิตซึ่งใช้เหล็กเป็นวัตถุดิบจะมีภาระต้นทุนที่สูงขึ้น ส่งผลกระทบต่อฐานะการแข่งขัน และการส่งออกของไทย
- ด้านผู้บริโภค ราคาสินค้าอุปโภคจะสูงขึ้น ซึ่งยอดขายในประเทศของเหล็กโครงสร้างรูปพรรณในปี 2538 มีประมาณ 3,819 ล้านบาท ถ้าราคาสินค้าในประเทศสูงขึ้น อาจส่งผลให้ระดับเงินเฟ้อสูงขึ้นได้
2.2 การที่คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนได้มีมติเมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2539 เก็บค่าธรรมเนียมพิเศษกับสินค้าเหล็ก 3 ประเภท คือ เหล็กโครงสร้างรูปพรรณ เหล็กแผ่นรีดเย็น เหล็กท่อนและเหล็กเส้น นอกจากจะมีผลเสียตามที่ได้กล่าวแล้วข้างต้น ยังเป็นการดำเนินการ ที่ขัดกับพันธกรณีของไทยที่มีต่อองค์การการค้าโลก เพราะมีบางรายการที่รัฐบาลไทยได้ผูกพันภาษีไว้ และไม่สามารถเรียกเก็บค่าธรรมเนียมพิเศษได้อีก ได้แก่ เหล็กแผ่นรีดเย็น เหล็กท่อนและเหล็กเส้น
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดนายบรรหาร ศิลปอาชา) วันที่ 4 ตุลาคม 2539--