ทำเนียบรัฐบาล--26 พ.ค.--บิสนิวส์
คณะกรรมการรัฐมนตรีว่าด้วยนโยบายเศรษฐกิจรับทราบรายงานการเปรียบเทียบประสิทธิภาพการผลิตและต้นทุนการผลิตพืชหลักของไทยกับประเทศคู่แข่งที่สำคัญ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ โดยรวบรวมข้อมูลและเปรียบเทียบประสิทธิภาพการผลิตและต้นทุนการผลิตพืชหลักของไทยกับประเทศคู่แข่งที่สำคัญ 5 ชนิด คือ ข้าว ข้าวโพด อ้อยโรงงาน ปาล์ม น้ำมัน และยางพารา
นอกจากนี้ คณะกรรมการรัฐมนตรีว่าด้วยนโยบายเศรษฐกิจได้มอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินการดังนี้
1. เร่งรัดดำเนินการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต และลดต้นทุนการผลิตพืชหลักที่ไทยยังมีศักยภาพในการแข่งขันได้อย่างชัดเจนได้แก่ ข้าว ข้าวโพด อ้อยโรงงาน และยางพารา โดยให้ความสำคัญกับการปรับปรุงพันธุ์ การพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตและการเก็บเกี่ยวให้เหมาะสม และถ่ายทอดแก่เกษตรกรให้ทั่วถึง
2. สำหรับพืชที่โอกาสแข่งขันด้านประสิทธิภาพการผลิตและต้นทุนการผลิตค่อนข้างต่ำ เช่น ปาล์มน้ำมัน ควรจัดทำแผนดำเนินการเพิ่มประสิทธิภาพ และลดต้นทุนการผลิตในพื้นที่ที่เหมาะสมโดยเร่งด่วน รวมทั้งจัดหามาตรการรองรับการปรับเปลี่ยนการผลิตในพื้นที่ที่ไม่เหมาะสม เพื่อเพิ่มทางเลือกให้แก่เกษตรกร
สำหรับรายงานการเปรียบเทียบประสิทธิภาพการผลิตและต้นทุนการผลิตพืชหลักของไทยกับประเทศคู่แข่งที่สำคัญมีสาระสำคัญ ดังนี้
1. ข้อจำกัดด้านการผลิต
1) พื้นที่เพาะปลูกพืชทั้ง 5 ชนิด ส่วนใหญ่อยู่ในเขตน้ำฝน ทำให้ผลผลิตมีความแปรปรวนตามสภาพดินน้ำอากาศและในกรณีของยางพารานับเป็นอุปสรรคในการกรีดยาง
2) พื้นที่เพาะปลูกส่วนใหญ่มีความอุดมสมบูรณ์ต่ำ โดยเฉพาะพื้นที่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งมีการเพาะปลูกข้าว อ้อย และปาล์มน้ำมันเป็นจำนวนมาก
3) ขาดแคลนพันธุ์ที่ดี ทั้งในกรณีของข้าว ข้าวโพด อ้อย และปาล์มน้ำมัน โดยเฉพาะพันธุ์ปาล์มน้ำมันซึ่งไทยไม่สามารถผลิตได้เอง ต้องอาศัยการนำเข้าจากต่างประเทศ ส่วนพันธุ์พืชชนิดอื่นที่มีคุณภาพดีก็มีราคาสูง เกษตรกรไม่สามารถจัดหามาใช้ได้อย่างทั่วถึง
4) ค่าแรงเป็นองค์ประกอบที่สูงในต้นทุนการผลิต และค่าแรงของไทยจะสูงกว่าประเทศคู่แข่งอื่น ๆ ยกเว้น สหรัฐอเมริกา ส่วนในกรณีของอ้อยและยางพารา จะมีปัญหาการขาดแคลนแรงงานด้วยอีกส่วนหนึ่ง
5) เกษตรกรส่วนใหญ่ขาดความรู้ด้านการผลิตที่ถูกต้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีของอ้อย ปาล์มน้ำมัน และยางพารา และส่วนใหญ่จะเป็นเกษตรกรรายย่อยที่ทำการผลิตในพื้นที่ขนาดเล็ก ทำให้ไม่สามารถใช้เครื่องจักรช่วยในการผลิตได้และมีรายได้ต่ำ ทำให้มีเงินทุนไม่เพียงพอสำหรับการปรับปรุงประสิทธิภาพในการผลิต
6) ระบบการจัดการไม่มีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในกรณีของการจัดการเรื่องการตัดและการขนส่งอ้อย
7) ต้นทุนการผลิตสูง โดยเฉพาะในกรณีของปาล์มน้ำมัน ซึ่งมีผลผลิตปาล์มน้ำมันเพียงประมาณร้อยละ 60 ของกำลังการผลิตของโรงงานสกัดและโรงงานกลั่น และในกรณีของยางพาราที่ผลผลิตเกือบทั้งหมดจะส่งออกในรูปของวัตถุดิบ โดยเฉพาะยางแผ่นรมควัน ซึ่งมีต้นทุนการผลิตสูงกว่าผลิตภัณฑ์ยางชนิดอื่น
2. ความสามารถในการแข่งขัน พืชหลักส่วนใหญ่ยังมีโอกาสในการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขัน กล่าวคือ
1) ข้าว มีต้นทุนการผลิตสูงกว่าเวียดนาม พม่า อินเดีย และปากีสถาน แต่มีข้อได้เปรียบในเรื่องคุณภาพ
2) ข้าวโพด ผลิตเพื่อใช้ภายในประเทศ และมีต้นทุนการผลิตต่ำกว่าสหรัฐฯ
3) น้ำตาล มีความได้เปรียบในการด้านค่าขนส่ง เนื่องจากอยู่ใกล้กับผู้ซื้อน้ำตาลรายใหญ่ของเอเซีย
4) ปาล์มน้ำมัน สามารถแข่งขันกับอินโดนีเซียได้ เมื่อรวมค่าใช้จ่ายในการขนส่ง แต่ยังไม่สามารถแข่งขันกับมาเลเซียได้
5) ยางพารา ไทยยังเป็นผู้นำในการส่งออกยางแผ่นรมควันและน้ำยางข้น แต่สาหรับยางแท่งเท่านั้น ยังไม่สามารถแข่งขันได้ เนื่องจากเพิ่งเริ่มดำเนินการและใช้วัตถุดิบที่ผ่านกระบวนการแปรรูปมาแล้วทอดหนึ่ง ทำให้ต้นทุนการผลิตสูง
3. ข้อเสนอมาตรการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน
1) กำหนดเขตการผลิตที่เหมาะสม ทั้งในกรณีของข้าว ข้าวโพด อ้อย ยางพารา และปาล์มน้ำมัน ซึ่งควรจะขยายพื้นที่เพาะปลูกให้มีผลผลิตเพียงพอกับกำลังการผลิต
2) ปรับปรุงบำรุงดิน โดยใช้ปุ๋ยพืชสดและปุ๋ยเคมี โดยเฉพาะในกรณีของข้าวและอ้อย
3) สนับสนุนในด้านพันธุ์ และด้านสินเชื่อ โดยส่งเสริมให้เกษตรกรเป็นสมาชิกของสถาบันเกษตรกร เพื่อใช้เป็นแหล่งเงินทุนและแหล่งซื้อปัจจัยการผลิต
4) สนับสนุนแหล่งน้ำในไร่นา โดยเฉพาะกรณีของอ้อยและข้าวโพด
5) ถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตที่เหมาะสมแก่เกษตรกร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีของปาล์มน้ำมัน ซึ่งควรจะมีการจัดตั้งศูนย์วิจัยและบริการด้านวิชาการในแหล่งผลิต
6) ส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อการสร้างมูลค่าเพิ่ม โดยเฉพาะในกรณีของข้าวและยางพารา
7) อื่น ๆ ได้แก่ ส่งเสริมการจัดตั้งตลาดซื้อขายล่วงหน้ายางพารา และจัดระบบการตัดและการขนส่งอ้อยให้มีประสิทธิภาพ
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ชุดนายชวน หลีกภัย)--วันที่ 24 พฤษภาคม 2542--
คณะกรรมการรัฐมนตรีว่าด้วยนโยบายเศรษฐกิจรับทราบรายงานการเปรียบเทียบประสิทธิภาพการผลิตและต้นทุนการผลิตพืชหลักของไทยกับประเทศคู่แข่งที่สำคัญ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ โดยรวบรวมข้อมูลและเปรียบเทียบประสิทธิภาพการผลิตและต้นทุนการผลิตพืชหลักของไทยกับประเทศคู่แข่งที่สำคัญ 5 ชนิด คือ ข้าว ข้าวโพด อ้อยโรงงาน ปาล์ม น้ำมัน และยางพารา
นอกจากนี้ คณะกรรมการรัฐมนตรีว่าด้วยนโยบายเศรษฐกิจได้มอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินการดังนี้
1. เร่งรัดดำเนินการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต และลดต้นทุนการผลิตพืชหลักที่ไทยยังมีศักยภาพในการแข่งขันได้อย่างชัดเจนได้แก่ ข้าว ข้าวโพด อ้อยโรงงาน และยางพารา โดยให้ความสำคัญกับการปรับปรุงพันธุ์ การพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตและการเก็บเกี่ยวให้เหมาะสม และถ่ายทอดแก่เกษตรกรให้ทั่วถึง
2. สำหรับพืชที่โอกาสแข่งขันด้านประสิทธิภาพการผลิตและต้นทุนการผลิตค่อนข้างต่ำ เช่น ปาล์มน้ำมัน ควรจัดทำแผนดำเนินการเพิ่มประสิทธิภาพ และลดต้นทุนการผลิตในพื้นที่ที่เหมาะสมโดยเร่งด่วน รวมทั้งจัดหามาตรการรองรับการปรับเปลี่ยนการผลิตในพื้นที่ที่ไม่เหมาะสม เพื่อเพิ่มทางเลือกให้แก่เกษตรกร
สำหรับรายงานการเปรียบเทียบประสิทธิภาพการผลิตและต้นทุนการผลิตพืชหลักของไทยกับประเทศคู่แข่งที่สำคัญมีสาระสำคัญ ดังนี้
1. ข้อจำกัดด้านการผลิต
1) พื้นที่เพาะปลูกพืชทั้ง 5 ชนิด ส่วนใหญ่อยู่ในเขตน้ำฝน ทำให้ผลผลิตมีความแปรปรวนตามสภาพดินน้ำอากาศและในกรณีของยางพารานับเป็นอุปสรรคในการกรีดยาง
2) พื้นที่เพาะปลูกส่วนใหญ่มีความอุดมสมบูรณ์ต่ำ โดยเฉพาะพื้นที่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งมีการเพาะปลูกข้าว อ้อย และปาล์มน้ำมันเป็นจำนวนมาก
3) ขาดแคลนพันธุ์ที่ดี ทั้งในกรณีของข้าว ข้าวโพด อ้อย และปาล์มน้ำมัน โดยเฉพาะพันธุ์ปาล์มน้ำมันซึ่งไทยไม่สามารถผลิตได้เอง ต้องอาศัยการนำเข้าจากต่างประเทศ ส่วนพันธุ์พืชชนิดอื่นที่มีคุณภาพดีก็มีราคาสูง เกษตรกรไม่สามารถจัดหามาใช้ได้อย่างทั่วถึง
4) ค่าแรงเป็นองค์ประกอบที่สูงในต้นทุนการผลิต และค่าแรงของไทยจะสูงกว่าประเทศคู่แข่งอื่น ๆ ยกเว้น สหรัฐอเมริกา ส่วนในกรณีของอ้อยและยางพารา จะมีปัญหาการขาดแคลนแรงงานด้วยอีกส่วนหนึ่ง
5) เกษตรกรส่วนใหญ่ขาดความรู้ด้านการผลิตที่ถูกต้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีของอ้อย ปาล์มน้ำมัน และยางพารา และส่วนใหญ่จะเป็นเกษตรกรรายย่อยที่ทำการผลิตในพื้นที่ขนาดเล็ก ทำให้ไม่สามารถใช้เครื่องจักรช่วยในการผลิตได้และมีรายได้ต่ำ ทำให้มีเงินทุนไม่เพียงพอสำหรับการปรับปรุงประสิทธิภาพในการผลิต
6) ระบบการจัดการไม่มีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในกรณีของการจัดการเรื่องการตัดและการขนส่งอ้อย
7) ต้นทุนการผลิตสูง โดยเฉพาะในกรณีของปาล์มน้ำมัน ซึ่งมีผลผลิตปาล์มน้ำมันเพียงประมาณร้อยละ 60 ของกำลังการผลิตของโรงงานสกัดและโรงงานกลั่น และในกรณีของยางพาราที่ผลผลิตเกือบทั้งหมดจะส่งออกในรูปของวัตถุดิบ โดยเฉพาะยางแผ่นรมควัน ซึ่งมีต้นทุนการผลิตสูงกว่าผลิตภัณฑ์ยางชนิดอื่น
2. ความสามารถในการแข่งขัน พืชหลักส่วนใหญ่ยังมีโอกาสในการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขัน กล่าวคือ
1) ข้าว มีต้นทุนการผลิตสูงกว่าเวียดนาม พม่า อินเดีย และปากีสถาน แต่มีข้อได้เปรียบในเรื่องคุณภาพ
2) ข้าวโพด ผลิตเพื่อใช้ภายในประเทศ และมีต้นทุนการผลิตต่ำกว่าสหรัฐฯ
3) น้ำตาล มีความได้เปรียบในการด้านค่าขนส่ง เนื่องจากอยู่ใกล้กับผู้ซื้อน้ำตาลรายใหญ่ของเอเซีย
4) ปาล์มน้ำมัน สามารถแข่งขันกับอินโดนีเซียได้ เมื่อรวมค่าใช้จ่ายในการขนส่ง แต่ยังไม่สามารถแข่งขันกับมาเลเซียได้
5) ยางพารา ไทยยังเป็นผู้นำในการส่งออกยางแผ่นรมควันและน้ำยางข้น แต่สาหรับยางแท่งเท่านั้น ยังไม่สามารถแข่งขันได้ เนื่องจากเพิ่งเริ่มดำเนินการและใช้วัตถุดิบที่ผ่านกระบวนการแปรรูปมาแล้วทอดหนึ่ง ทำให้ต้นทุนการผลิตสูง
3. ข้อเสนอมาตรการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน
1) กำหนดเขตการผลิตที่เหมาะสม ทั้งในกรณีของข้าว ข้าวโพด อ้อย ยางพารา และปาล์มน้ำมัน ซึ่งควรจะขยายพื้นที่เพาะปลูกให้มีผลผลิตเพียงพอกับกำลังการผลิต
2) ปรับปรุงบำรุงดิน โดยใช้ปุ๋ยพืชสดและปุ๋ยเคมี โดยเฉพาะในกรณีของข้าวและอ้อย
3) สนับสนุนในด้านพันธุ์ และด้านสินเชื่อ โดยส่งเสริมให้เกษตรกรเป็นสมาชิกของสถาบันเกษตรกร เพื่อใช้เป็นแหล่งเงินทุนและแหล่งซื้อปัจจัยการผลิต
4) สนับสนุนแหล่งน้ำในไร่นา โดยเฉพาะกรณีของอ้อยและข้าวโพด
5) ถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตที่เหมาะสมแก่เกษตรกร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีของปาล์มน้ำมัน ซึ่งควรจะมีการจัดตั้งศูนย์วิจัยและบริการด้านวิชาการในแหล่งผลิต
6) ส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อการสร้างมูลค่าเพิ่ม โดยเฉพาะในกรณีของข้าวและยางพารา
7) อื่น ๆ ได้แก่ ส่งเสริมการจัดตั้งตลาดซื้อขายล่วงหน้ายางพารา และจัดระบบการตัดและการขนส่งอ้อยให้มีประสิทธิภาพ
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ชุดนายชวน หลีกภัย)--วันที่ 24 พฤษภาคม 2542--