ทำเนียบรัฐบาล--4 ก.พ.--บิสนิวส์
คณะรัฐมนตรีเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติผู้ตรวจการรัฐสภา พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา และได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการข้าราชการฝ่ายรัฐสภา (ก.ร.) แล้ว ตามที่ประธานรัฐสภาเสนอและให้นำเสนอคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนนำเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป
ทั้งนี้ เนื่องจากมาตรา 162 ทวิ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 5) พุทธศักราช 2538 บัญญัติให้มีผู้ตรวจการรัฐสภาและให้การกำหนดคุณสมบัติหลักเกณฑ์ วิธีการแต่งตั้ง การถอดถอน และอำนาจหน้าที่ของผู้ตรวจการรัฐสภาดังกล่าวเป็นไปตามที่กฎหมายบัญญัติประธานรัฐสภาจึงได้เสนอร่างพระราชบัญญัติผู้ตรวจการรัฐสภา พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้ตรวจพิจารณาแล้ว โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้
1. ให้มีผู้ตรวจการรัฐสภาคนหนึ่งหรือหลายคนตามที่รัฐสภากำหนด โดยให้วุฒิสภาและสภาผู้แทนราษฎรคัดเลือกรายชื่อเสนอให้รัฐสภาให้ความเห็นชอบด้วยการออกเสียงลงคะแนนโดยวิธีลับและไม่มีการอภิปราย แล้วให้ประธานรัฐสภานำรายชื่อผู้ได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภาขึ้นกราบบังคมทูลเพื่อพระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้ง
2. ผู้ตรวจการรัฐสภามีวาระการดำรงตำแหน่ง 6 ปี นับแต่วันที่พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้ง และดำรงตำแหน่งได้เพียงวาระเดียว
3. กำหนดคุณสมบัติของผู้ตรวจการรัฐสภา รวม 9 ประการ
4. ผู้ตรวจการรัฐสภาพ้นจากตำแหน่งเมื่อครบวาระ ตาย ลาออก ขาดคุณสมบัติ หรือมีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 9 ถูกจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก วุฒิสภาและสภาผู้แทนราษฎรมีมติให้พ้นจากตำแหน่ง ถ้าผู้ตรวจการรัฐสภาพ้นจากตำแหน่งตามวาระให้รัฐสภาคัดเลือกบุคคลใหม่แทนให้แล้วเสร็จภายในหกสิบวัน นับแต่วันที่พ้นจากตำแหน่ง ในกรณีที่ผู้ตรวจการรัฐสภาบางคนพ้นจากตำแหน่งก่อนวาระ รัฐสภาจะไม่คัดเลือกเพื่อให้มีการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งซ่อมก็ได้
5. ในกรณีที่ผู้ตรวจการรัฐสภากระทำการหรือมีพฤติการณ์อันเป็นความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่หรือเป็นการเสื่อมเสียแก่เกรียรติศักดิ์ของตำแหน่ง หรือกระทำการทุจรติ หรือปฏิบัติหน้าที่บกพร่องอย่างร้ายแรง สมาชิกวุฒิสภาหรือสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แล้วแต่กรณี จำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งในสามของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของแต่ละสภามีสิทธิเข้าชื่อร้องต่อประธานแห่งสภาที่ตนเป็นสมาชิกเพื่อให้วุฒิสภาหรือสภาผู้แทนราษฎร แล้วแต่กรณี วินิจฉัยให้ผู้ตรวจการรัฐสภาผู้นั้นพ้นจากตำแหน่งได้
6. ให้มีสำนักงานผู้ตรวจการรัฐสภาเป็นหน่วยงานของรัฐที่มีฐานะเป็นนิติบุคคล และมีหน้าที่รับผิดชอบในงานธุรการของผู้ตรวจการรัฐสภาหรืองานใด ๆ ตามที่ผู้ตรวจการรัฐสภามอบหมาย
7. ให้ผู้ตรวจการรัฐสภามีอำนาจพิจารณาและสอบสวนหาข้อเท็จจริงในกรณีหน่วยงานของรัฐหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ ไม่ปฏิบัติตามกฎหมายหรือปฏิบัตินอกเหนืออำนาจหน้าที่ตามกฎหมายหรือปรับใช้บทกฎหมายไม่ถูกต้องและในกรณีการกระทำหรือการงดเว้นการกระทำของหน่วยงานของรัฐหรือของเจ้าหน้าที่ของรัฐ ก่อให้เกิดความเดือดร้อนหรือเสียหายแก่ผู้ร้องเรียนหรือประชาชน โดยไม่เป็นธรรมไม่ว่าการกระทำนั้นจะเป็นการชอบหรือไม่ชอบด้วยอำนาจหน้าที่ก็ตาม โดยไม่จำต้องมีผู้ร้องเรียน
8. การร้องเรียนต่อผู้ตรวจการรัฐสภาต้องทำเป็นหนังสือ
9. การสอบสวนหรือพิจารณาเรื่องใดของคณะกรรมาธิการของวุฒิสภาหรือสภาผู้แทนราษฎร และกรณีเป็นเรื่องที่อยู่ในอำนาจหน้าที่ของผู้ตรวจการรัฐสภาที่จะดำเนินการตามพระราชบัญญัตินี้ได้ คณะกรรมาธิการดังกล่าวจะส่งเรื่องนั้นให้ผู้ตรวจการรัฐสภาเพื่อดำเนินการและรายงานเบื้องต้นต่อคณะกรรมาธิการก็ได้ แต่คณะกรรมาธิการจะเรียกผู้ตรวจการรัฐสภาไปให้ถ้อยคำใด ๆ มิได้
10. กำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการไม่ให้รับเรื่องไว้พิจารณาหรือให้ยุติการพิจารณา
11. ให้ผู้ตรวจการรัฐสภามีอำนาจเรียกหน่วยงานหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ ผู้ร้องเรียน บุคคลที่เกี่ยวข้อง มาชี้แจง หรือให้ส่งวัตถุ เอกสาร หรือพยานหลักฐานอื่นเพื่อประกอบการพิจารณา
12. ให้ผู้ตรวจการรัฐสภาและเจ้าหน้าที่เป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญาในการปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชบัญญัตินี้
13. ให้ลงโทษจำคุกหรือปรับหรือทั้งจำทั้งปรับ สำหรับผู้ที่ไม่มาให้ถ้อยคำหรือไม่ส่งวัตถุ เอกสาร หรือพยานหลักฐานที่เรียกหรือสั่งให้ส่งให้
14. ในวาระเริ่มแรก ให้ประธานรัฐสภาดำเนินการให้มีการคัดเลือกผู้ตรวจการรัฐสภาภายในเก้าสิบวันนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ กำหนดวันดังกล่าวให้หมายถึงวันในสมัยประชุม
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ)--วันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2540--
คณะรัฐมนตรีเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติผู้ตรวจการรัฐสภา พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา และได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการข้าราชการฝ่ายรัฐสภา (ก.ร.) แล้ว ตามที่ประธานรัฐสภาเสนอและให้นำเสนอคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนนำเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป
ทั้งนี้ เนื่องจากมาตรา 162 ทวิ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 5) พุทธศักราช 2538 บัญญัติให้มีผู้ตรวจการรัฐสภาและให้การกำหนดคุณสมบัติหลักเกณฑ์ วิธีการแต่งตั้ง การถอดถอน และอำนาจหน้าที่ของผู้ตรวจการรัฐสภาดังกล่าวเป็นไปตามที่กฎหมายบัญญัติประธานรัฐสภาจึงได้เสนอร่างพระราชบัญญัติผู้ตรวจการรัฐสภา พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้ตรวจพิจารณาแล้ว โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้
1. ให้มีผู้ตรวจการรัฐสภาคนหนึ่งหรือหลายคนตามที่รัฐสภากำหนด โดยให้วุฒิสภาและสภาผู้แทนราษฎรคัดเลือกรายชื่อเสนอให้รัฐสภาให้ความเห็นชอบด้วยการออกเสียงลงคะแนนโดยวิธีลับและไม่มีการอภิปราย แล้วให้ประธานรัฐสภานำรายชื่อผู้ได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภาขึ้นกราบบังคมทูลเพื่อพระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้ง
2. ผู้ตรวจการรัฐสภามีวาระการดำรงตำแหน่ง 6 ปี นับแต่วันที่พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้ง และดำรงตำแหน่งได้เพียงวาระเดียว
3. กำหนดคุณสมบัติของผู้ตรวจการรัฐสภา รวม 9 ประการ
4. ผู้ตรวจการรัฐสภาพ้นจากตำแหน่งเมื่อครบวาระ ตาย ลาออก ขาดคุณสมบัติ หรือมีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 9 ถูกจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก วุฒิสภาและสภาผู้แทนราษฎรมีมติให้พ้นจากตำแหน่ง ถ้าผู้ตรวจการรัฐสภาพ้นจากตำแหน่งตามวาระให้รัฐสภาคัดเลือกบุคคลใหม่แทนให้แล้วเสร็จภายในหกสิบวัน นับแต่วันที่พ้นจากตำแหน่ง ในกรณีที่ผู้ตรวจการรัฐสภาบางคนพ้นจากตำแหน่งก่อนวาระ รัฐสภาจะไม่คัดเลือกเพื่อให้มีการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งซ่อมก็ได้
5. ในกรณีที่ผู้ตรวจการรัฐสภากระทำการหรือมีพฤติการณ์อันเป็นความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่หรือเป็นการเสื่อมเสียแก่เกรียรติศักดิ์ของตำแหน่ง หรือกระทำการทุจรติ หรือปฏิบัติหน้าที่บกพร่องอย่างร้ายแรง สมาชิกวุฒิสภาหรือสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แล้วแต่กรณี จำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งในสามของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของแต่ละสภามีสิทธิเข้าชื่อร้องต่อประธานแห่งสภาที่ตนเป็นสมาชิกเพื่อให้วุฒิสภาหรือสภาผู้แทนราษฎร แล้วแต่กรณี วินิจฉัยให้ผู้ตรวจการรัฐสภาผู้นั้นพ้นจากตำแหน่งได้
6. ให้มีสำนักงานผู้ตรวจการรัฐสภาเป็นหน่วยงานของรัฐที่มีฐานะเป็นนิติบุคคล และมีหน้าที่รับผิดชอบในงานธุรการของผู้ตรวจการรัฐสภาหรืองานใด ๆ ตามที่ผู้ตรวจการรัฐสภามอบหมาย
7. ให้ผู้ตรวจการรัฐสภามีอำนาจพิจารณาและสอบสวนหาข้อเท็จจริงในกรณีหน่วยงานของรัฐหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ ไม่ปฏิบัติตามกฎหมายหรือปฏิบัตินอกเหนืออำนาจหน้าที่ตามกฎหมายหรือปรับใช้บทกฎหมายไม่ถูกต้องและในกรณีการกระทำหรือการงดเว้นการกระทำของหน่วยงานของรัฐหรือของเจ้าหน้าที่ของรัฐ ก่อให้เกิดความเดือดร้อนหรือเสียหายแก่ผู้ร้องเรียนหรือประชาชน โดยไม่เป็นธรรมไม่ว่าการกระทำนั้นจะเป็นการชอบหรือไม่ชอบด้วยอำนาจหน้าที่ก็ตาม โดยไม่จำต้องมีผู้ร้องเรียน
8. การร้องเรียนต่อผู้ตรวจการรัฐสภาต้องทำเป็นหนังสือ
9. การสอบสวนหรือพิจารณาเรื่องใดของคณะกรรมาธิการของวุฒิสภาหรือสภาผู้แทนราษฎร และกรณีเป็นเรื่องที่อยู่ในอำนาจหน้าที่ของผู้ตรวจการรัฐสภาที่จะดำเนินการตามพระราชบัญญัตินี้ได้ คณะกรรมาธิการดังกล่าวจะส่งเรื่องนั้นให้ผู้ตรวจการรัฐสภาเพื่อดำเนินการและรายงานเบื้องต้นต่อคณะกรรมาธิการก็ได้ แต่คณะกรรมาธิการจะเรียกผู้ตรวจการรัฐสภาไปให้ถ้อยคำใด ๆ มิได้
10. กำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการไม่ให้รับเรื่องไว้พิจารณาหรือให้ยุติการพิจารณา
11. ให้ผู้ตรวจการรัฐสภามีอำนาจเรียกหน่วยงานหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ ผู้ร้องเรียน บุคคลที่เกี่ยวข้อง มาชี้แจง หรือให้ส่งวัตถุ เอกสาร หรือพยานหลักฐานอื่นเพื่อประกอบการพิจารณา
12. ให้ผู้ตรวจการรัฐสภาและเจ้าหน้าที่เป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญาในการปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชบัญญัตินี้
13. ให้ลงโทษจำคุกหรือปรับหรือทั้งจำทั้งปรับ สำหรับผู้ที่ไม่มาให้ถ้อยคำหรือไม่ส่งวัตถุ เอกสาร หรือพยานหลักฐานที่เรียกหรือสั่งให้ส่งให้
14. ในวาระเริ่มแรก ให้ประธานรัฐสภาดำเนินการให้มีการคัดเลือกผู้ตรวจการรัฐสภาภายในเก้าสิบวันนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ กำหนดวันดังกล่าวให้หมายถึงวันในสมัยประชุม
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ)--วันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2540--