ทำเนียบรัฐบาล--4 ส.ค.--บิสนิวส์
คณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดระยะเวลาเริ่มดำเนินการจัดเก็บเงินสมทบเพื่อการให้ประโยชน์ทดแทนกรณีสงเคราะห์บุตรและกรณีชราภาพ พ.ศ. …. ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคมเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ โดยให้ประกาศใช้บังคับพร้อมกับกับร่างพระราชบัญญัติประกันสังคม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. ต่อไป โดยร่างพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวมีสาระสำคัญคือ ให้ดำเนินการจัดเก็บเงินสมทบเพื่อการให้ประโยชน์ทดแทนกรณีสงเคราะห์บุตรและกรณีชราภาพตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2541 เป็นต้นไป
ทั้งนี้ เนื่องจากกระทรวงการคลังแจ้งว่า ได้นำร่างพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวเสนอคณะกรรมการนโยบายเงินออมเพื่อการชราภาพที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบการแต่งตั้งพิจารณาแล้ว เห็นควรให้มีการออกพระราชกฤษฎีกาดำเนินการจัดเก็บเงินสมทบเพื่อการให้ประโยชน์ทดแทนกรณีสงเคราะห์บุตรและกรณีชราภาพภายในปี 2541 แต่ให้กระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคมแก้ไขมาตรา 46 แห่ง พระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. 2533 ซึ่งกำหนดให้รัฐบาล นายจ้าง และผู้ประกันตน ออกเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคมฝ่ายละเท่ากันตามอัตราที่กำหนดในกฎกระทรวง โดยให้ตัดคำว่า "ฝ่ายละเท่ากัน" ออก เพื่อให้กระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคมออกกฎกระทรวงกำหนดอัตราเงินสมทบฝ่ายละเท่าใดก็ได้ ทั้งนี้ เพื่อให้เหมาะสมกับภาวะเศรษฐกิจต่อไป
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ชุดนายชวน หลีกภัย)--วันที่ 4 สิงหาคม 2541--
คณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดระยะเวลาเริ่มดำเนินการจัดเก็บเงินสมทบเพื่อการให้ประโยชน์ทดแทนกรณีสงเคราะห์บุตรและกรณีชราภาพ พ.ศ. …. ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคมเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ โดยให้ประกาศใช้บังคับพร้อมกับกับร่างพระราชบัญญัติประกันสังคม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. ต่อไป โดยร่างพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวมีสาระสำคัญคือ ให้ดำเนินการจัดเก็บเงินสมทบเพื่อการให้ประโยชน์ทดแทนกรณีสงเคราะห์บุตรและกรณีชราภาพตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2541 เป็นต้นไป
ทั้งนี้ เนื่องจากกระทรวงการคลังแจ้งว่า ได้นำร่างพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวเสนอคณะกรรมการนโยบายเงินออมเพื่อการชราภาพที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบการแต่งตั้งพิจารณาแล้ว เห็นควรให้มีการออกพระราชกฤษฎีกาดำเนินการจัดเก็บเงินสมทบเพื่อการให้ประโยชน์ทดแทนกรณีสงเคราะห์บุตรและกรณีชราภาพภายในปี 2541 แต่ให้กระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคมแก้ไขมาตรา 46 แห่ง พระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. 2533 ซึ่งกำหนดให้รัฐบาล นายจ้าง และผู้ประกันตน ออกเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคมฝ่ายละเท่ากันตามอัตราที่กำหนดในกฎกระทรวง โดยให้ตัดคำว่า "ฝ่ายละเท่ากัน" ออก เพื่อให้กระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคมออกกฎกระทรวงกำหนดอัตราเงินสมทบฝ่ายละเท่าใดก็ได้ ทั้งนี้ เพื่อให้เหมาะสมกับภาวะเศรษฐกิจต่อไป
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ชุดนายชวน หลีกภัย)--วันที่ 4 สิงหาคม 2541--