ทำเนียบรัฐบาล--4 ส.ค.--บิสนิวส์
คณะกรรมการกลั่นกรองฝ่ายเศรษฐกิจให้ความเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติการบัญชี พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว โดยได้แก้ไขเพิ่มเติมสาระสำคัญบางประการ
ทั้งนี้ เนื่องจากประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 285 ลงวันที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2515 ซึ่งเป็นกฎหมายว่าด้วยการบัญชีได้ใช้บังคับมาเป็นเวลานาน มีหลักการเกี่ยวกับการทำบัญชีหลายประการที่ยังไม่สอดคล้องกับความก้าวหน้าทางการบัญชีและการจัดทำบัญชี และไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจการค้าที่เปลี่ยนแปลงไป สมควรปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยการบัญชีให้ทันสมัยยิ่งขึ้น
ร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว มีสาระสำคัญดังนี้
1. ให้ยกเลิกประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 285 ลงวันที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2515
2. ปรับปรุงบทนิยามให้เหมาะสมยิ่งขึ้น และเพิ่มบทนิยามใหม่บางคำเพื่อความสะดวกในการใช้กฎหมาย
3. กำหนดให้กรมทะเบียนการค้า กระทรวงพาณิชย์ เป็นสำนักงานกลางบัญชี และให้อธิบดีมีอำนาจประกาศในราชกิจจานุเบกษากำหนดชนิดของบัญชีที่ต้องจัดทำ ข้อความและรายการ และระยะเวลาที่ต้องลงรายการในบัญชี คุณสมบัติและเงื่อนไขของการเป็นผู้ทำบัญชี รวมทั้งกำหนดข้อยกเว้นให้ผู้มีหน้าที่จัดทำบัญชีใดไม่ต้องปฏิบัติตามมาตรฐานการบัญชีในเรื่องใดเรื่องหนึ่งหรือส่วนใดส่วนหนึ่ง
4. กำหนดให้เฉพาะนิติบุคคลที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายไทยหรือต่างประเทศ ที่ประกอบธุรกิจในประเทศไทยและกิจการร่วมค้าตามประมวลรัษฎากร เป็นผู้มีหน้าที่จัดทำบัญชีส่วนบุคคลธรรมดาและห้างหุ้นส่วนที่มิได้จดทะเบียนจะต้องจัดทำบัญชี ต่อเมื่อรัฐมนตรีประกาศในราชกิจจานุเบกษากำหนดให้เป็นผู้มีหน้าที่จัดทำบัญชี
5. กำหนดให้งบการเงินของผู้มีหน้าที่จัดทำบัญชีต้องได้รับการตรวจสอบจากผู้สอบบัญชีรับอนุญาต และรัฐมนตรีมีอำนาจออกกฎกระทรวงยกเว้นให้งบการเงินของผู้มีหน้าที่จัดทำบัญชีใดไม่ต้องได้รับการตรวจสอบจากผู้สอบบัญชีรับอนุญาต รวมทั้งให้อธิบดีมีอำนาจพิจารณาสั่งให้ขยายหรือเลื่อนกำหนดเวลาการยื่นงบการเงินออกไปตามความจำเป็นแก่กรณีได้
6. กำหนดให้ผู้มีหน้าที่จัดทำบัญชีต้องเก็บรักษาบัญชีและเอกสารที่ต้องใช้ประกอบการลงบัญชีไว้ ณ สถานที่ทำการ เว้นแต่จะได้รับอนุญาตให้เก็บไว้ ณ สถานที่อื่นได้ และในกรณีทำบัญชีโดยเครื่องคอมพิวเตอร์หรือเครื่องมืออื่นใดในสถานที่อื่น แต่มีการเชื่อมโยงเครือข่ายมายังสถานที่ทำการ ให้ถือว่าได้มีการเก็บรักษาบัญชีไว้ ณ สถานที่ทำการแล้ว
7. กำหนดให้ผู้มีหน้าที่จัดทำบัญชีเก็บรักษาบัญชีและเอกสารประกอบการลงบัญชีไว้เป็นเวลาไม่น้อยกว่าห้าปีนับแต่วันปิดบัญชี แต่อธิบดีโดยความเห็นชอบของรัฐมนตรีมีอำนาจกำหนดให้ผู้มีหน้าที่จัดทำบัญชีเก็บรักษาบัญชีและเอกสารประกอบการลงบัญชีไว้เกินห้าปีแต่ต้องไม่เกินเจ็ดปี ทั้งนี้ เพื่อประโยชน์ในการตรวจสอบบัญชี
8. กำหนดให้ผู้มีหน้าที่จัดทำบัญชีต้องจัดให้มีผู้ทำบัญชีซึ่งมีคุณสมบัติตามที่อธิบดีกำหนด เพื่อจัดทำบัญชีสำหรับสถานประกอบธุรกิจของตน โดยผู้ทำบัญชีต้องจัดทำบัญชีให้ถูกต้องตามมาตรฐานการบัญชี
9. กำหนดให้สารวัตรบัญชีมีอำนาจเข้าไปตรวจสอบบัญชีและเอกสารที่ต้องใช้ประกอบการลงบัญชี และมีอำนาจสั่งเป็นหนังสือให้ผู้ที่เกี่ยวข้องมาให้ถ้อยคำหรือส่งเอกสารทางการบัญชี
10. เพิ่มโทษผู้มีหน้าที่จัดทำบัญชีที่จัดส่งเอกสารหลักฐานประกอบการลงบัญชีให้ผู้ทำบัญชีไม่ครบถ้วนถูกต้องสำหรับผู้ทำบัญชีหรือบุคคลอื่นใดที่ลงรายการเท็จ แก้ไข ละเว้นการลงรายการในบัญชีฯ กำหนดให้ได้รับโทษต่ำลง เนื่องจากผู้ทำบัญชีจะทำบัญชีตามเอกสารหลักฐานที่ผู้มีหน้าที่จัดทำบัญชีส่งให้ จึงไม่ควรต้องรับผิดชอบเทียบเท่ากับผู้มีหน้าที่จัดทำบัญชี(ร่างมาตรา 36 เป็นส่วนที่กระทรวงพาณิชย์แก้ไขเพิ่มเติมจากร่างที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว)
11. ยกเว้นให้ผู้ที่เป็นผู้ทำบัญชีอยู่ก่อนกฎหมายใช้บังคับและไม่มีคุณสมบัติของการเป็นผู้ทำบัญชีตามพระราชบัญญัตินี้ให้ทำบัญชีต่อไปได้ เมื่อได้เข้ารับการอบรม/สัมมนาตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดแล้ว (ร่างมาตรา 39 วรรคสอง เป็นส่วนที่กระทรวงพาณิชย์แก้ไขเพิ่มเติมจากร่างที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว)
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ชุดพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ)--วันที่ 4 สิงหาคม 2540--
คณะกรรมการกลั่นกรองฝ่ายเศรษฐกิจให้ความเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติการบัญชี พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว โดยได้แก้ไขเพิ่มเติมสาระสำคัญบางประการ
ทั้งนี้ เนื่องจากประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 285 ลงวันที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2515 ซึ่งเป็นกฎหมายว่าด้วยการบัญชีได้ใช้บังคับมาเป็นเวลานาน มีหลักการเกี่ยวกับการทำบัญชีหลายประการที่ยังไม่สอดคล้องกับความก้าวหน้าทางการบัญชีและการจัดทำบัญชี และไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจการค้าที่เปลี่ยนแปลงไป สมควรปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยการบัญชีให้ทันสมัยยิ่งขึ้น
ร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว มีสาระสำคัญดังนี้
1. ให้ยกเลิกประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 285 ลงวันที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2515
2. ปรับปรุงบทนิยามให้เหมาะสมยิ่งขึ้น และเพิ่มบทนิยามใหม่บางคำเพื่อความสะดวกในการใช้กฎหมาย
3. กำหนดให้กรมทะเบียนการค้า กระทรวงพาณิชย์ เป็นสำนักงานกลางบัญชี และให้อธิบดีมีอำนาจประกาศในราชกิจจานุเบกษากำหนดชนิดของบัญชีที่ต้องจัดทำ ข้อความและรายการ และระยะเวลาที่ต้องลงรายการในบัญชี คุณสมบัติและเงื่อนไขของการเป็นผู้ทำบัญชี รวมทั้งกำหนดข้อยกเว้นให้ผู้มีหน้าที่จัดทำบัญชีใดไม่ต้องปฏิบัติตามมาตรฐานการบัญชีในเรื่องใดเรื่องหนึ่งหรือส่วนใดส่วนหนึ่ง
4. กำหนดให้เฉพาะนิติบุคคลที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายไทยหรือต่างประเทศ ที่ประกอบธุรกิจในประเทศไทยและกิจการร่วมค้าตามประมวลรัษฎากร เป็นผู้มีหน้าที่จัดทำบัญชีส่วนบุคคลธรรมดาและห้างหุ้นส่วนที่มิได้จดทะเบียนจะต้องจัดทำบัญชี ต่อเมื่อรัฐมนตรีประกาศในราชกิจจานุเบกษากำหนดให้เป็นผู้มีหน้าที่จัดทำบัญชี
5. กำหนดให้งบการเงินของผู้มีหน้าที่จัดทำบัญชีต้องได้รับการตรวจสอบจากผู้สอบบัญชีรับอนุญาต และรัฐมนตรีมีอำนาจออกกฎกระทรวงยกเว้นให้งบการเงินของผู้มีหน้าที่จัดทำบัญชีใดไม่ต้องได้รับการตรวจสอบจากผู้สอบบัญชีรับอนุญาต รวมทั้งให้อธิบดีมีอำนาจพิจารณาสั่งให้ขยายหรือเลื่อนกำหนดเวลาการยื่นงบการเงินออกไปตามความจำเป็นแก่กรณีได้
6. กำหนดให้ผู้มีหน้าที่จัดทำบัญชีต้องเก็บรักษาบัญชีและเอกสารที่ต้องใช้ประกอบการลงบัญชีไว้ ณ สถานที่ทำการ เว้นแต่จะได้รับอนุญาตให้เก็บไว้ ณ สถานที่อื่นได้ และในกรณีทำบัญชีโดยเครื่องคอมพิวเตอร์หรือเครื่องมืออื่นใดในสถานที่อื่น แต่มีการเชื่อมโยงเครือข่ายมายังสถานที่ทำการ ให้ถือว่าได้มีการเก็บรักษาบัญชีไว้ ณ สถานที่ทำการแล้ว
7. กำหนดให้ผู้มีหน้าที่จัดทำบัญชีเก็บรักษาบัญชีและเอกสารประกอบการลงบัญชีไว้เป็นเวลาไม่น้อยกว่าห้าปีนับแต่วันปิดบัญชี แต่อธิบดีโดยความเห็นชอบของรัฐมนตรีมีอำนาจกำหนดให้ผู้มีหน้าที่จัดทำบัญชีเก็บรักษาบัญชีและเอกสารประกอบการลงบัญชีไว้เกินห้าปีแต่ต้องไม่เกินเจ็ดปี ทั้งนี้ เพื่อประโยชน์ในการตรวจสอบบัญชี
8. กำหนดให้ผู้มีหน้าที่จัดทำบัญชีต้องจัดให้มีผู้ทำบัญชีซึ่งมีคุณสมบัติตามที่อธิบดีกำหนด เพื่อจัดทำบัญชีสำหรับสถานประกอบธุรกิจของตน โดยผู้ทำบัญชีต้องจัดทำบัญชีให้ถูกต้องตามมาตรฐานการบัญชี
9. กำหนดให้สารวัตรบัญชีมีอำนาจเข้าไปตรวจสอบบัญชีและเอกสารที่ต้องใช้ประกอบการลงบัญชี และมีอำนาจสั่งเป็นหนังสือให้ผู้ที่เกี่ยวข้องมาให้ถ้อยคำหรือส่งเอกสารทางการบัญชี
10. เพิ่มโทษผู้มีหน้าที่จัดทำบัญชีที่จัดส่งเอกสารหลักฐานประกอบการลงบัญชีให้ผู้ทำบัญชีไม่ครบถ้วนถูกต้องสำหรับผู้ทำบัญชีหรือบุคคลอื่นใดที่ลงรายการเท็จ แก้ไข ละเว้นการลงรายการในบัญชีฯ กำหนดให้ได้รับโทษต่ำลง เนื่องจากผู้ทำบัญชีจะทำบัญชีตามเอกสารหลักฐานที่ผู้มีหน้าที่จัดทำบัญชีส่งให้ จึงไม่ควรต้องรับผิดชอบเทียบเท่ากับผู้มีหน้าที่จัดทำบัญชี(ร่างมาตรา 36 เป็นส่วนที่กระทรวงพาณิชย์แก้ไขเพิ่มเติมจากร่างที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว)
11. ยกเว้นให้ผู้ที่เป็นผู้ทำบัญชีอยู่ก่อนกฎหมายใช้บังคับและไม่มีคุณสมบัติของการเป็นผู้ทำบัญชีตามพระราชบัญญัตินี้ให้ทำบัญชีต่อไปได้ เมื่อได้เข้ารับการอบรม/สัมมนาตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดแล้ว (ร่างมาตรา 39 วรรคสอง เป็นส่วนที่กระทรวงพาณิชย์แก้ไขเพิ่มเติมจากร่างที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว)
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ชุดพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ)--วันที่ 4 สิงหาคม 2540--