ทำเนียบรัฐบาล--27 ธ.ค.--บิสนิวส์
คณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบการเข้าเป็นภาคีความตกลงยางธรรมชาติ ระหว่างประเทศ ฉบับปี พ.ศ. 2538 ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ โดยมอบอำนาจให้เอกอัครราชทูตผู้แทน ถาวร ณ นครนิวยอร์คเป็นผู้ลงนามรับรองความตกลงฯ ณ สำนักงานใหญ่สหประชาชาติ นครนิวยอร์ค ภายในวันที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2538 และอนุมัติให้กระทรวงการต่างประเทศส่งสัตยาบันสารยืนยัน ความร่วมมือและการเข้าเป็นภาคีของรัฐบาลไทยไปยังสำนักงานใหญ่สหประชาชาติ นครนิวยอร์ค ภายใน วันที่ 1 มกราคม 2540 พร้อมทั้งอนุมัติค่าใข้จ่ายต่าง ๆ ในการเข้าเป็นภาคีความตกลงฯ รวมทั้งสิ้น ประมาณ 695 ล้านบาท ตามรายละเอียด ดังนี้
1.งบบริหารขององค์การยางธรรมชาติ เริ่มตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. 2540 - 2543 จ่ายปีละ 8.3 ล้านบาท รวมเป็นเงิน 33.2 ล้านบาท
2.งบมูลภัณฑ์กันชน ตั้งแต่ปีงบประมาณ 2540 - 2543 ปีละ 165 ล้านบาท รวมเป็นเงิน 660 ล้านบาท
3.ค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปประชุมต่างประเทศและดำเนินงาน ครั้งละ 3 - 4 คน ปี ละ 2 ครั้ง เป็นเงินประมาณปีละ 300,000 บาท สำหรับปีงบประมาณ พ.ศ. 2540 - 2543 รวมเป็น เงิน 1.2 ล้านบาท นอกจากนี้ คณะรัฐมนตรียังได้อนุมัติให้ตั้งงบประมาณค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ดังกล่าวไว้ที่ กรมวิชาการเกษตรกระทรวงเกษตรและสหกรณ์โดยตรงและให้กระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณ กันเงินจำนวน 695 ล้านบาท จากยอดใดยอดหนึ่งในกรณีจำเป็นที่จะต้องจ่ายตามภาระผูกพันด้านการเงิน ขององค์การยางธรรมชาติระหว่างประเทศเพื่อให้มีการเบิกจ่ายได้ทันทั้งนี้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เสนอว่า ความตกลงยางธรรมชาติ ฉบับปี พ.ศ. 2530 จะสิ้นสุดอายุความตกลงในวันที่ 28 ธันวาคม 2538 นี้ องค์การสหประชาชาติได้จัดการประชุมประเทศภาคีกลุ่มผู้ผลิต และผู้ใช้ยางธรรมชาติ เพื่อ พิจารณาจัดทำยกร่างความตกลงยางธรรมชาติฉบับใหม่ปี พ.ศ. 2538 ได้เป็นผลสำเร็จ ซึ่งประเทศ ภาคีจะต้องลงนามรับรองความตกลงฯดังกล่าวให้เสร็จสิ้นตั้งแต่วันที่ 3 เมษายน ถึงวันที่ 29 ธันวาคม 2538 ดังนั้นเพื่อให้ความตกลงฯ ฉบับใหม่มีผลใช้บังคับอย่างต่อเนื่องจากความตกลงฯ ฉบับเก่า และเพื่อ ผลประโยชน์ของประเทศไทยที่จะได้รับจากการเข้าร่วมเป็นภาคีสมาชิกตามความตกลงฯ ฉบับใหม่ จึง ควรเร่งรัดให้มีการพิจารณาการขออนุมัติเข้าเป็นภาคีความตกลงยางธรรมชาติระหว่างประเทศ ฉบับปี พ.ศ. 2538 และดำเนินการตามขั้นตอนต่าง ๆ ต่อไป
ไทยเป็นประเทศผู้ผลิตและส่งออกยางธรรมชาติเป็นอันดับหนึ่งของโลกตามวัฏจักรของราคา ยางซึ่งมีวงจรประมาณ5-6 ปี มีทางเป็นไปได้ค่อนข้างมากกว่าในช่วง 1 - 2 ปีข้างหน้า ราคายาง อาจจะปรับตัวลดลงและอาจจะเป็นเวลานานถึง 3 - 4 ปี ซึ่งในช่วงดังกล่าวเกษตรกรชาวสวนยางจะ ได้รับความเดือดร้อนเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้นความตกลงยางธรรมชาติระหว่างประเทศ มีวัตถุประสงค์หลัก เพื่อสร้างเสถียรภาพของราคายางธรรมชาติเครื่องมือในการรักษาเสถียรภาพของราคายาง ที่ใช้อยู่ใน ปัจจุบัน คือ มูลภัณฑ์กันชน และยังทำให้เกิดความร่วมมือและสร้างความเข้าใจอันดีในระหว่างประเทศ ผู้ผลิตด้วยกันเองและระหว่างประเทศผู้ใช้ทำให้ทราบความเคลื่อนไหวของตลาด และในกรณีที่เกิดภาวะ ราคายางตกต่ำ องค์การยางธรรมชาติระหว่างประเทศจะเข้าแทรกแซงตลาดเพื่อยกระดับราคาให้สูงขึ้น โดยรัฐบาลไม่ต้องแบกภาระในเรื่องนี้
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดนายบรรหาร ศิลปอาชา)--วันที่ 26 ธันวาคม 2538--
คณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบการเข้าเป็นภาคีความตกลงยางธรรมชาติ ระหว่างประเทศ ฉบับปี พ.ศ. 2538 ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ โดยมอบอำนาจให้เอกอัครราชทูตผู้แทน ถาวร ณ นครนิวยอร์คเป็นผู้ลงนามรับรองความตกลงฯ ณ สำนักงานใหญ่สหประชาชาติ นครนิวยอร์ค ภายในวันที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2538 และอนุมัติให้กระทรวงการต่างประเทศส่งสัตยาบันสารยืนยัน ความร่วมมือและการเข้าเป็นภาคีของรัฐบาลไทยไปยังสำนักงานใหญ่สหประชาชาติ นครนิวยอร์ค ภายใน วันที่ 1 มกราคม 2540 พร้อมทั้งอนุมัติค่าใข้จ่ายต่าง ๆ ในการเข้าเป็นภาคีความตกลงฯ รวมทั้งสิ้น ประมาณ 695 ล้านบาท ตามรายละเอียด ดังนี้
1.งบบริหารขององค์การยางธรรมชาติ เริ่มตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. 2540 - 2543 จ่ายปีละ 8.3 ล้านบาท รวมเป็นเงิน 33.2 ล้านบาท
2.งบมูลภัณฑ์กันชน ตั้งแต่ปีงบประมาณ 2540 - 2543 ปีละ 165 ล้านบาท รวมเป็นเงิน 660 ล้านบาท
3.ค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปประชุมต่างประเทศและดำเนินงาน ครั้งละ 3 - 4 คน ปี ละ 2 ครั้ง เป็นเงินประมาณปีละ 300,000 บาท สำหรับปีงบประมาณ พ.ศ. 2540 - 2543 รวมเป็น เงิน 1.2 ล้านบาท นอกจากนี้ คณะรัฐมนตรียังได้อนุมัติให้ตั้งงบประมาณค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ดังกล่าวไว้ที่ กรมวิชาการเกษตรกระทรวงเกษตรและสหกรณ์โดยตรงและให้กระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณ กันเงินจำนวน 695 ล้านบาท จากยอดใดยอดหนึ่งในกรณีจำเป็นที่จะต้องจ่ายตามภาระผูกพันด้านการเงิน ขององค์การยางธรรมชาติระหว่างประเทศเพื่อให้มีการเบิกจ่ายได้ทันทั้งนี้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เสนอว่า ความตกลงยางธรรมชาติ ฉบับปี พ.ศ. 2530 จะสิ้นสุดอายุความตกลงในวันที่ 28 ธันวาคม 2538 นี้ องค์การสหประชาชาติได้จัดการประชุมประเทศภาคีกลุ่มผู้ผลิต และผู้ใช้ยางธรรมชาติ เพื่อ พิจารณาจัดทำยกร่างความตกลงยางธรรมชาติฉบับใหม่ปี พ.ศ. 2538 ได้เป็นผลสำเร็จ ซึ่งประเทศ ภาคีจะต้องลงนามรับรองความตกลงฯดังกล่าวให้เสร็จสิ้นตั้งแต่วันที่ 3 เมษายน ถึงวันที่ 29 ธันวาคม 2538 ดังนั้นเพื่อให้ความตกลงฯ ฉบับใหม่มีผลใช้บังคับอย่างต่อเนื่องจากความตกลงฯ ฉบับเก่า และเพื่อ ผลประโยชน์ของประเทศไทยที่จะได้รับจากการเข้าร่วมเป็นภาคีสมาชิกตามความตกลงฯ ฉบับใหม่ จึง ควรเร่งรัดให้มีการพิจารณาการขออนุมัติเข้าเป็นภาคีความตกลงยางธรรมชาติระหว่างประเทศ ฉบับปี พ.ศ. 2538 และดำเนินการตามขั้นตอนต่าง ๆ ต่อไป
ไทยเป็นประเทศผู้ผลิตและส่งออกยางธรรมชาติเป็นอันดับหนึ่งของโลกตามวัฏจักรของราคา ยางซึ่งมีวงจรประมาณ5-6 ปี มีทางเป็นไปได้ค่อนข้างมากกว่าในช่วง 1 - 2 ปีข้างหน้า ราคายาง อาจจะปรับตัวลดลงและอาจจะเป็นเวลานานถึง 3 - 4 ปี ซึ่งในช่วงดังกล่าวเกษตรกรชาวสวนยางจะ ได้รับความเดือดร้อนเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้นความตกลงยางธรรมชาติระหว่างประเทศ มีวัตถุประสงค์หลัก เพื่อสร้างเสถียรภาพของราคายางธรรมชาติเครื่องมือในการรักษาเสถียรภาพของราคายาง ที่ใช้อยู่ใน ปัจจุบัน คือ มูลภัณฑ์กันชน และยังทำให้เกิดความร่วมมือและสร้างความเข้าใจอันดีในระหว่างประเทศ ผู้ผลิตด้วยกันเองและระหว่างประเทศผู้ใช้ทำให้ทราบความเคลื่อนไหวของตลาด และในกรณีที่เกิดภาวะ ราคายางตกต่ำ องค์การยางธรรมชาติระหว่างประเทศจะเข้าแทรกแซงตลาดเพื่อยกระดับราคาให้สูงขึ้น โดยรัฐบาลไม่ต้องแบกภาระในเรื่องนี้
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดนายบรรหาร ศิลปอาชา)--วันที่ 26 ธันวาคม 2538--