ทำเนียบรัฐบาล--14 ธ.ค.--บิสนิวส์
คณะรัฐมนตรีอนุมัติหลักการสนธิสัญญาว่าด้วยการโอนตัวผู้ต้องคำพิพากษาและความร่วมมือในการบังคับให้เป็นไปตามคำพิพากษาในคดีอาญาระหว่างไทยกับฟิลิปปินส์ ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ และอนุมัติให้กระทรวงการต่างประเทศลงนาม และสัตยาบันสนธิสัญญาระหว่างราชอาณาจักรไทยกับสาธารณรัฐฟิลิปปินส์ว่าด้วยการโอนตัวผู้ต้องคำพิพากษาและความร่วมมือในการบังคับให้เป็นไปตามคำพิพากษาในคดีอาญา ในโอกาสอันเหมาะสมตามแต่จะตกลงกับฝ่ายฟิลิปปินส์ต่อไป
สำหรับสาระสำคัญของร่างสนธิสัญญาดังกล่าว มีลักษณะเช่นเดียวกับสนธิสัญญาประเภทนี้ที่ไทยทำกับประเทศต่าง ๆ ซึ่งกำหนดเงื่อนไขและขั้นตอนในกาารขอและโอนตัวผู้ต้องคำพิพากษาระหว่างรัฐภาคีไว้โดยสรุป ดังนี้
1. ผู้ต้องคำพิพากษาจะต้องเป็นบุคคลที่ถูกพิพากษาโดยศาลของรัฐผู้โอน ซึ่งรวมทั้งบุคคลที่ถูกคุมขังอยู่ในโรงพยาบาลหรือสถาบันอื่นตามคำสั่งศาล
2. แต่ละฝ่ายจะแต่งตั้งหน่วยงานกลางสำหรับการดำเนินการโอนตัวผู้ต้องคำพิพากษา
3. การโอนตัวผู้ต้องคำพิพากษาจะต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐผู้โอน รัฐผู้รับ และจากตัวผู้ต้องคำพิพากษาเอง
4. ความผิดที่ผู้ต้องคำพิพากษาได้กระทำต้องเป็นความผิดทางอาญาที่ลงโทษได้ทั้งในรัฐผู้รับและในรัฐผู้โอน
5. ผู้ต้องคำพิพากษาที่จะขอโอนตัวจะต้องได้รับโทษขั้นต่ำตามที่กำหนดไว้ในกฎหมายภายในรัฐผู้โอนมาแล้ว
6. สำหรับไทยผู้กระทำความผิดต่อความมั่นคงภายในและภายนอกของรัฐต่อองค์พระมหากษัตริย์ พระราชินี พระราชโอรส หรือพระราชธิดา หรือเกี่ยวกับกฎหมายคุ้มครองสมบัติที่มีค่าทางศิลปะของชาติ จะไม่ได้รับการโอนตัว สำหรับฟิลิปปินส์ผู้กระทำความผิดต่อความมั่นคงภายในและภายนอกของรัฐ หรือต่อประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ คู่สมรส บุตร หรือธิดา จะไม่ได้รับการโอนตัว
7. รัฐผู้โอนยังคงไว้ซึ่งอำนาจในการให้อภัยหรือลดโทษแก่ผู้กระทำความผิดที่ถูกโอนตัวไปแล้ว
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ชุดนายชวน หลีกภัย)--วันที่ 14 ธันวาคม 2542--
คณะรัฐมนตรีอนุมัติหลักการสนธิสัญญาว่าด้วยการโอนตัวผู้ต้องคำพิพากษาและความร่วมมือในการบังคับให้เป็นไปตามคำพิพากษาในคดีอาญาระหว่างไทยกับฟิลิปปินส์ ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ และอนุมัติให้กระทรวงการต่างประเทศลงนาม และสัตยาบันสนธิสัญญาระหว่างราชอาณาจักรไทยกับสาธารณรัฐฟิลิปปินส์ว่าด้วยการโอนตัวผู้ต้องคำพิพากษาและความร่วมมือในการบังคับให้เป็นไปตามคำพิพากษาในคดีอาญา ในโอกาสอันเหมาะสมตามแต่จะตกลงกับฝ่ายฟิลิปปินส์ต่อไป
สำหรับสาระสำคัญของร่างสนธิสัญญาดังกล่าว มีลักษณะเช่นเดียวกับสนธิสัญญาประเภทนี้ที่ไทยทำกับประเทศต่าง ๆ ซึ่งกำหนดเงื่อนไขและขั้นตอนในกาารขอและโอนตัวผู้ต้องคำพิพากษาระหว่างรัฐภาคีไว้โดยสรุป ดังนี้
1. ผู้ต้องคำพิพากษาจะต้องเป็นบุคคลที่ถูกพิพากษาโดยศาลของรัฐผู้โอน ซึ่งรวมทั้งบุคคลที่ถูกคุมขังอยู่ในโรงพยาบาลหรือสถาบันอื่นตามคำสั่งศาล
2. แต่ละฝ่ายจะแต่งตั้งหน่วยงานกลางสำหรับการดำเนินการโอนตัวผู้ต้องคำพิพากษา
3. การโอนตัวผู้ต้องคำพิพากษาจะต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐผู้โอน รัฐผู้รับ และจากตัวผู้ต้องคำพิพากษาเอง
4. ความผิดที่ผู้ต้องคำพิพากษาได้กระทำต้องเป็นความผิดทางอาญาที่ลงโทษได้ทั้งในรัฐผู้รับและในรัฐผู้โอน
5. ผู้ต้องคำพิพากษาที่จะขอโอนตัวจะต้องได้รับโทษขั้นต่ำตามที่กำหนดไว้ในกฎหมายภายในรัฐผู้โอนมาแล้ว
6. สำหรับไทยผู้กระทำความผิดต่อความมั่นคงภายในและภายนอกของรัฐต่อองค์พระมหากษัตริย์ พระราชินี พระราชโอรส หรือพระราชธิดา หรือเกี่ยวกับกฎหมายคุ้มครองสมบัติที่มีค่าทางศิลปะของชาติ จะไม่ได้รับการโอนตัว สำหรับฟิลิปปินส์ผู้กระทำความผิดต่อความมั่นคงภายในและภายนอกของรัฐ หรือต่อประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ คู่สมรส บุตร หรือธิดา จะไม่ได้รับการโอนตัว
7. รัฐผู้โอนยังคงไว้ซึ่งอำนาจในการให้อภัยหรือลดโทษแก่ผู้กระทำความผิดที่ถูกโอนตัวไปแล้ว
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ชุดนายชวน หลีกภัย)--วันที่ 14 ธันวาคม 2542--