ทำเนียบรัฐบาล--21 ม.ค.--บิสนิวส์
คณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติสถาบันศิลปบัณฑิตพ.ศ. .... ที่ค้างการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร และต้องตกไปเนื่องจากได้มีพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2539 ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ โดยมีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้
1. ยกฐานะสถานศึกษาในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการหรือแยกกิจกรรมบางส่วนของสถานศึกษาในสังกัดกรมศิลปากร กระทรวงศึกษาธิการ และจัดตั้งขึ้นเป็นสถาบันศิลปบัณฑิตโดยให้เปิดทำการสอนในระดับปริญญา
2. กำหนดชื่อ วันใช้บังคับ บทนิยาม ผู้รักษาการตามพระราชบัญญัติ
3. ให้สถาบันศิลปบัณฑิตเป็นสถาบันการศึกษาและวิจัยมีวัตถุประสงค์ให้การศึกษา ส่งเสริมวิชาการวิชาชีพและวิชาชีพพิเศษด้านนาฏศิลป์ ดุริยางคศิลป์ ช่างศิลป์ทั้งไทยและสากล ผลิตช่างศิลปกรรม ศิลปินนักวิชาการนักวิจัยและครูศิลปะ ในระดับอนุปริญญา ปริญญา และประกาศนียบัตรชั้นสูงให้การศึกษาวิชาชีพและวิชาชีพพิเศษอื่น ๆทางศิลปวัฒนธรรมเพื่อการอนุรักษ์ พัฒนา สืบทอด เผยแพร่ สร้างสรรค์ และให้บริการทางวิชาการแก่สังคมหรือการกระทำกิจกรรมอื่นใดตามที่สภาให้ความเห็นชอบ
4. ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการมีอำนาจยกฐานะสถานศึกษาในสังกัดกรมศิลปากรที่ดำเนินการสอนอยู่แล้ว ในวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับหรือแยกกิจกรรมบางส่วนของสถานศึกษาในสังกัดกรมศิลปากร กระทรวงศึกษาธิการและจัดตั้งขึ้นเป็นสถาบันโดยเสนอให้สภาสถาบันให้ความเห็นชอบ
5. กำหนดให้มีการแบ่งส่วนราชการในสถาบันศิลปบัณฑิต
6. สถาบันศิลปบัณฑิตอาจรับสถาบันการศึกษาหรือสถาบันวิชาการชั้นสูงอื่นเข้าสมทบและสถาบันอาจเข้าสมทบกับมหาวิทยาลัยและสถาบันอุดมศึกษาอื่นได้
7. งบประมาณที่ใช้ในการบริหารงานของสถาบันอาจได้มาสองทางคืองบประมาณแผ่นดินกับรายได้อื่น ๆ
8. การจัดการทรัพย์สินของสถาบันต้องจัดการเพื่อประโยชน์ของสถาบันหากเป็นทรัพย์สินที่มีผู้ให้แก่สถาบันจะต้องจัดการตามเงื่อนไขที่ผู้ให้กำหนดไว้
9. การดำเนินกิจการของสถาบันกำหนดให้มีสภาสถาบันมีอำนาจหน้าที่ควบคุมดูแลกิจการทั่วไปของสถาบัน รวมทั้งกำหนดองค์ประกอบ วาระของกรรมการ การประชุม การลงมติของสภาสถาบัน
10. กำหนดให้อธิการบดีเป็นผู้บังคับบัญชาและรับผิดชอบในการบริหารงานในแต่ละสถาบัน และจะให้มีรองอธิการบดีด้วยก็ได้ และกำหนดวุฒิการศึกษาของอธิการบดีและรองอธิการบดีรวมทั้งการปฏิบัติงานในกรณีที่อธิการบดีไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้
11. กำหนดให้มีสภาคณาจารย์และคณะกรรมการประจำสถาบัน องค์ประกอบอำนาจหน้าที่ หลักเกณฑ์วิธีการได้มาซึ่งกรรมการประจำสถาบัน การประชุมของคณะกรรมการประจำสถาบัน
12. กำหนดให้มีส่วนราชการในสถาบัน ผู้บังคับบัญชารวมทั้งการแต่งตั้งและวาระของผู้บังคับบัญชาในสำนักงานอธิการบดี คณะ และหน่วยงานที่เรียกชื่ออย่างอื่นเพื่อส่งเสริมวิชาการ
13. กำหนดให้คณาจารย์ในสถาบันที่มีตำแหน่งทางวิชาการ คุณวุฒิคุณสมบัติ หลักเกณฑ์วิธีการแต่งตั้งรวมทั้งการใช้อักษรย่อนำหน้านามของคณาจารย์
14. กำหนดตำแหน่งสำหรับบุคลากรที่มีหน้าที่บริการทางวิชาการ
15. สถาบันมีอำนาจให้ปริญญาตรีในสาขาที่มีการสอนในสถาบัน
16. สภาอาจกำหนดให้ผู้สำเร็จการศึกษาชั้นปริญญาตรีได้รับปริญญาเกียรตินิยมอันดับหนึ่งหรือปริญญาเกียรตินิยมอันดับสองได้
17. สภาอาจกำหนดให้มีอนุปริญญาหรือประกาศนียบัตรในสาขาที่มีการสอนในสถาบัน
18. สถาบันมีอำนาจให้ปริญญากิตติมศักดิ์แก่ผู้ทรงคุณวุฒิได้
19. สภาอาจกำหนดให้มีครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่ง รวมทั้งกำหนดเครื่องแบบหรือเครื่องแต่งกายของนักศึกษา
20. กำหนดบทลงโทษสำหรับบุคคลที่ไม่มีสิทธิที่จะใช้ครุยเครื่องหมาย เครื่องแบบหรือปริญญาต่าง ๆ ของสถาบัน
21. กำหนดบทเฉพาะกาลให้มีสภาสถาบัน
ทั้งนี้ ได้พิจารณาเห็นว่าเนื่องจากประเทศไทยกำลังประสบปัญหาขาดแคลนกำลังคนด้านช่างศิลปกรรมไทยสาขาสถาปัตยกรรมไทยและช่างสิบหมู่รวมทั้งนักวิชาการที่มีความสามารถในการศึกษา ค้นคว้า วิจัยเพื่อการอนุรักษ์พัฒนา สืบทอด เผยแพร่สร้างสรรค์ศิลปวัฒนธรรมด้านการช่างศิลป์ไทยและด้านนาฏศิลป์ดนตรีประกอบกับความเจริญทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่ส่งผลกระทบต่อศิลปวัฒนธรรมอันเป็นเอกลักษณ์ของชาติ ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างสับสนในเรื่องของมโนทัศน์และค่านิยม ซึ่งจะเป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อความมั่นคงของชาติจึงจำเป็นต้องเร่งอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมไทยอย่างจริงจัง เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายการพัฒนาในแผนพัฒนาการศึกษา ศาสนาและศิลปวัฒน-ธรรมระยะที่ 7 (พ.ศ. 2535 - 2539) ของกระทรวงศึกษาธิการด้วยการเร่งผลิตบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถอย่างแท้จริงที่สามารถนำเอาหลักการและความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมาใช้เป็นเครื่องมือในการอนุรักษ์ พัฒนาศิลปวัฒนธรรมได้จึงสมควรให้มีการยกฐานะสถานศึกษาในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการหรือแยกกิจกรรมบางส่วนของสถานศึกษาในสังกัดกรมศิลปากร กระทรวงศึกษาธิการ แล้วจัดตั้งขึ้นเป็นสถาบันศิลปบัณฑิต
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ)--วันที่ 21 มกราคม 2540--
คณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติสถาบันศิลปบัณฑิตพ.ศ. .... ที่ค้างการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร และต้องตกไปเนื่องจากได้มีพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2539 ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ โดยมีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้
1. ยกฐานะสถานศึกษาในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการหรือแยกกิจกรรมบางส่วนของสถานศึกษาในสังกัดกรมศิลปากร กระทรวงศึกษาธิการ และจัดตั้งขึ้นเป็นสถาบันศิลปบัณฑิตโดยให้เปิดทำการสอนในระดับปริญญา
2. กำหนดชื่อ วันใช้บังคับ บทนิยาม ผู้รักษาการตามพระราชบัญญัติ
3. ให้สถาบันศิลปบัณฑิตเป็นสถาบันการศึกษาและวิจัยมีวัตถุประสงค์ให้การศึกษา ส่งเสริมวิชาการวิชาชีพและวิชาชีพพิเศษด้านนาฏศิลป์ ดุริยางคศิลป์ ช่างศิลป์ทั้งไทยและสากล ผลิตช่างศิลปกรรม ศิลปินนักวิชาการนักวิจัยและครูศิลปะ ในระดับอนุปริญญา ปริญญา และประกาศนียบัตรชั้นสูงให้การศึกษาวิชาชีพและวิชาชีพพิเศษอื่น ๆทางศิลปวัฒนธรรมเพื่อการอนุรักษ์ พัฒนา สืบทอด เผยแพร่ สร้างสรรค์ และให้บริการทางวิชาการแก่สังคมหรือการกระทำกิจกรรมอื่นใดตามที่สภาให้ความเห็นชอบ
4. ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการมีอำนาจยกฐานะสถานศึกษาในสังกัดกรมศิลปากรที่ดำเนินการสอนอยู่แล้ว ในวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับหรือแยกกิจกรรมบางส่วนของสถานศึกษาในสังกัดกรมศิลปากร กระทรวงศึกษาธิการและจัดตั้งขึ้นเป็นสถาบันโดยเสนอให้สภาสถาบันให้ความเห็นชอบ
5. กำหนดให้มีการแบ่งส่วนราชการในสถาบันศิลปบัณฑิต
6. สถาบันศิลปบัณฑิตอาจรับสถาบันการศึกษาหรือสถาบันวิชาการชั้นสูงอื่นเข้าสมทบและสถาบันอาจเข้าสมทบกับมหาวิทยาลัยและสถาบันอุดมศึกษาอื่นได้
7. งบประมาณที่ใช้ในการบริหารงานของสถาบันอาจได้มาสองทางคืองบประมาณแผ่นดินกับรายได้อื่น ๆ
8. การจัดการทรัพย์สินของสถาบันต้องจัดการเพื่อประโยชน์ของสถาบันหากเป็นทรัพย์สินที่มีผู้ให้แก่สถาบันจะต้องจัดการตามเงื่อนไขที่ผู้ให้กำหนดไว้
9. การดำเนินกิจการของสถาบันกำหนดให้มีสภาสถาบันมีอำนาจหน้าที่ควบคุมดูแลกิจการทั่วไปของสถาบัน รวมทั้งกำหนดองค์ประกอบ วาระของกรรมการ การประชุม การลงมติของสภาสถาบัน
10. กำหนดให้อธิการบดีเป็นผู้บังคับบัญชาและรับผิดชอบในการบริหารงานในแต่ละสถาบัน และจะให้มีรองอธิการบดีด้วยก็ได้ และกำหนดวุฒิการศึกษาของอธิการบดีและรองอธิการบดีรวมทั้งการปฏิบัติงานในกรณีที่อธิการบดีไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้
11. กำหนดให้มีสภาคณาจารย์และคณะกรรมการประจำสถาบัน องค์ประกอบอำนาจหน้าที่ หลักเกณฑ์วิธีการได้มาซึ่งกรรมการประจำสถาบัน การประชุมของคณะกรรมการประจำสถาบัน
12. กำหนดให้มีส่วนราชการในสถาบัน ผู้บังคับบัญชารวมทั้งการแต่งตั้งและวาระของผู้บังคับบัญชาในสำนักงานอธิการบดี คณะ และหน่วยงานที่เรียกชื่ออย่างอื่นเพื่อส่งเสริมวิชาการ
13. กำหนดให้คณาจารย์ในสถาบันที่มีตำแหน่งทางวิชาการ คุณวุฒิคุณสมบัติ หลักเกณฑ์วิธีการแต่งตั้งรวมทั้งการใช้อักษรย่อนำหน้านามของคณาจารย์
14. กำหนดตำแหน่งสำหรับบุคลากรที่มีหน้าที่บริการทางวิชาการ
15. สถาบันมีอำนาจให้ปริญญาตรีในสาขาที่มีการสอนในสถาบัน
16. สภาอาจกำหนดให้ผู้สำเร็จการศึกษาชั้นปริญญาตรีได้รับปริญญาเกียรตินิยมอันดับหนึ่งหรือปริญญาเกียรตินิยมอันดับสองได้
17. สภาอาจกำหนดให้มีอนุปริญญาหรือประกาศนียบัตรในสาขาที่มีการสอนในสถาบัน
18. สถาบันมีอำนาจให้ปริญญากิตติมศักดิ์แก่ผู้ทรงคุณวุฒิได้
19. สภาอาจกำหนดให้มีครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่ง รวมทั้งกำหนดเครื่องแบบหรือเครื่องแต่งกายของนักศึกษา
20. กำหนดบทลงโทษสำหรับบุคคลที่ไม่มีสิทธิที่จะใช้ครุยเครื่องหมาย เครื่องแบบหรือปริญญาต่าง ๆ ของสถาบัน
21. กำหนดบทเฉพาะกาลให้มีสภาสถาบัน
ทั้งนี้ ได้พิจารณาเห็นว่าเนื่องจากประเทศไทยกำลังประสบปัญหาขาดแคลนกำลังคนด้านช่างศิลปกรรมไทยสาขาสถาปัตยกรรมไทยและช่างสิบหมู่รวมทั้งนักวิชาการที่มีความสามารถในการศึกษา ค้นคว้า วิจัยเพื่อการอนุรักษ์พัฒนา สืบทอด เผยแพร่สร้างสรรค์ศิลปวัฒนธรรมด้านการช่างศิลป์ไทยและด้านนาฏศิลป์ดนตรีประกอบกับความเจริญทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่ส่งผลกระทบต่อศิลปวัฒนธรรมอันเป็นเอกลักษณ์ของชาติ ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างสับสนในเรื่องของมโนทัศน์และค่านิยม ซึ่งจะเป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อความมั่นคงของชาติจึงจำเป็นต้องเร่งอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมไทยอย่างจริงจัง เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายการพัฒนาในแผนพัฒนาการศึกษา ศาสนาและศิลปวัฒน-ธรรมระยะที่ 7 (พ.ศ. 2535 - 2539) ของกระทรวงศึกษาธิการด้วยการเร่งผลิตบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถอย่างแท้จริงที่สามารถนำเอาหลักการและความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมาใช้เป็นเครื่องมือในการอนุรักษ์ พัฒนาศิลปวัฒนธรรมได้จึงสมควรให้มีการยกฐานะสถานศึกษาในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการหรือแยกกิจกรรมบางส่วนของสถานศึกษาในสังกัดกรมศิลปากร กระทรวงศึกษาธิการ แล้วจัดตั้งขึ้นเป็นสถาบันศิลปบัณฑิต
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ)--วันที่ 21 มกราคม 2540--