ทำเนียบรัฐบาล--13 ธ.ค.--บิสนิวส์
คณะรัฐมนตรีรับทราบรายงานการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่องการตรวจสอบการถือ ครองและใช้ที่ดินพระราชทานเพื่อสาธารณประโยชน์ และการระบายน้ำ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ดังนี้กระทรวงมหาดไทยเสนอว่า คณะกรรมการเพื่อตรวจสอบข้อมูล ข้อเท็จจริง รวมทั้งการแก้ไขปัญหา การบุกรุกการออกเอกสารสิทธิ์เกี่ยวกับที่ดินสาธารณะที่ได้พระราชทานไว้ ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 เพื่อสา ธารณโยชน์และการระบายน้ำในเขตลาดกระบัง กรุงเทพมหานคร อำเภอบางพลี และอำเภอบางบ่อ จัง หวัดสมุทรปราการโดยมีปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นประธาน ได้ดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีแล้ว สรุปได้ดังนี้
1. ที่ดินพระราชทานตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติให้ดำเนินการตรวจสอบนั้นเป็นพื้นที่ตามประ กาศกระแสร์พระบรมราชโองการ เรื่องขยายการหวงห้ามและจัดซื้อที่ดิน สำหรับสร้างการทดน้ำ ไขน้ำ ในบริเวณเชียงรากน้อยและบางเหี้ย พุทธศักราช 2467 ซึ่งมีรายการถึง 21 คลอง ครอบคลุมพื้นที่ตั้ง แต่จังหวัดพระนครศรีอยุธยาปทุมธานี นนทบุรี นครนายก ฉะเชิงเทรา กรุงเทพมหานคร และ สมุทรปราการ รวม 7 จังหวัด
2. คณะกรรมการฯ ได้พิจารณาผลการตรวจสอบประกาศกระแสร์พระบรมราชโองการฯ พ. ศ. 2467 กฎหมายหรือระเบียบอื่น ๆ ที่เกี่ยวเนื่องสัมพันธ์ แก้ไขหรือยกเลิกประกาศกระแสร์พระบรม ราชโองการฯ พ.ศ. 2467 แล้วเห็นว่าไม่มีกฎหมายฉบับใดออกมายกเลิกหรือแก้ไขประกาศกระแสร์พระ บรมราชโองการฯ พ.ศ. 2467 และเห็นว่าประกาศกระแสร์พระบรมราชโองการฉบับดังกล่าวมีลักษณะ เช่นเดียวกับพระราชกฤษฎีกากำหนดแนวเขตที่ดินที่จะเวนคืน โดยมีกำหนดระยะเวลาดำเนินการตามประ กาศและกฎหมายที่เกี่ยวข้องรวม 15 ปี เมื่อพ้นเวลา 15 ปี การหวงห้ามที่ดินตามประกาศกระแสร์พระ บรมราชโองการฯ ก็เป็นอันสิ้นสุด
3. ผลการตรวจสอบผลการดำเนินการตามประกาศกระแสร์พระบรมราชโองการฯ พ.ศ. 2467
3.1 ตามประกาศกระแสร์พระบรมราชโองการฯ ได้กำหนดเขตที่ดินไว้เพื่อจัดซื้อที่ดินทำ การขุดคลองซ่อมคลอง ก่อสร้างทำนบประตูน้ำ ทำคันกั้นน้ำ ทำตลิ่งคันคลอง หรือการอื่น ๆ ที่จำเป็น ต้องกระทำขึ้นเกี่ยวกับการระบายน้ำ เชียงรากน้อย และบางเหี้ย ตามลำคลองต่าง ๆ รวม 21 ข้อ ซึ่ง จะอยู่ในเขตพื้นที่ตั้งแต่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา จังหวัดปทุมธานี จังหวัดนนทบุรี จังหวัดนครนายก จัง หวัดฉะเชิงเทรา จังหวัดสมุทรปราการ และกรุงเทพมหานคร และคลองทั้ง 21 ข้อ จะกำหนดแนวกัน เขตริมคลอง ระยะกว้างต่างกันไป ซึ่งถ้าคำนวณพื้นที่ตามแนวเขตที่กำหนดไว้ตามประกาศกระแสร์พระ บรมราชโองการแล้ว จะเป็นจำนวนเนื้อที่ประมาณ 144,535 - 0 - 00 ไร่ รวมความยาวคลองทั้ง หมด 21 คลอง ประมาณ 471.50 กิโลเมตร
3.2 จากการตรวจสอบของคณะกรรมการฯ ปรากฏว่ากระทรวงเกษตราธิการ และกระ ทรวงมหาดไทยในสมัยนั้น มิได้ดำเนินการปักหลักเขต และรังวัดจัดซื้อ ตามระยะหรือตามคลอง ทุกคลองที่กำหนดไว้ในประกาศกระแสร์พระบรมราชโองการฯ แต่จะดำเนินการตามความเหมาะสมและ เท่าที่จำเป็นต่อการใช้ประโยชน์ในกิจการชลประทานรวมพื้นที่ที่ใช้ประโยชน์ในกิจการชลประทาน ใน แนวเขตคลองตามประกาศกระแสร์พระบรมราชโองการฯ มีเนื้อที่ทั้งหมด 15,878 - 2 - 28 ไร่ แยกเป็นที่ดินซึ่งมีเอกสารสิทธิ์ โดยมีหลักฐานการจัดซื้อและราษฎรยกให้ เนื้อที่ 5,721 - 2 - 38 ไร่ และเป็นที่ดินรกร้างว่างเปล่าและที่สาธารณประโยชน์ (แนวคลองธรรมชาติเดิม) เนื้อที่ 10,156 - 3 - 90 ไร่ สรุปได้ดังนี้
- คลองบ้านม้า คลองช่องสะเดา คลองบ้านโพ คลองบ้านสวัสดิ์ คลองเชียงราก-บางชัน คลองรัง สิตจาก ปตร. เปรมเหนือรังสิต ถึงแม่น้ำเจ้าพระยา คลองบางเขน คลองสามเสน คลองสามวา คลองลำปลาทิว คลองจรเข้ใหญ่ คลองสิบหกและแม่น้ำบางเหี้ย (คลองด่าน) เป็นคลองธรรมชาติเดิมไม่พบหลักฐานว่ามีการ ดำเนินการปักหลักเขตและรังวัดจัดซื้อตามประกาศกระแสร์พระบรมราชโองการฯ
- คลองเชียงรากน้อย และคลองสายใต้ เป็นคลองธรรมชาติเดิมบางส่วนและขุดใหม่บางส่วนใน ส่วนของที่ดิน ซึ่งมีเอกสารสิทธิ์
- คลองขนานคลอง 1 และคลองส่งน้ำสายใหญ่ฝั่งขวา โครงการส่งน้ำและบำรุงรักษานครนายก ดำเนินการขุดคลองในส่วนของที่ดินซึ่งมีเอกสารสิทธิ์
- คลองเปรมประชากร คลองบางซื่อ คลองสิบเจ็ด และคลองพระองค์ไชยานุชิต ดำเนินการขุด ขยายความกว้างของคลองในส่วนของที่ดินซึ่งมีเอกสารสิทธิ์
- คลองชายทะเล ดำเนินการขุดคลองและทำคันกั้นน้ำเค็มในส่วนของที่ดินซึ่งมีเอกสารสิทธิ์
4. การออกเอกสารสิทธิ์ในที่ดินที่กรมชลประทานได้ดำเนินการปักหลักเขตและรังวัดไว้แล้ว ตามประกาศกระแสร์พระรบรมราชโองการฯ จากการตรวจสอบของกรมที่ดินและกรมธนารักษ์ปรากฏว่า ในพื้นที่เขตคลองตามประกาศกระแสร์พระบรมราชโองการฯ แต่ละจังหวัดไม่มีการออกโฉนดหรือเอก สารสิทธิ์ ในแนวเขตคลองกรมชลประทาน เว้นแต่จังหวัดสมุทรปราการ ได้มีการออกโฉนดในแนว เขตคลองตามประกาศกระแสร์พระบรมราชโองการฯ ให้แก่ นายปุ๋ย ทองเรือง รวม 3 โฉนด คือ โฉนดเลขที่ 95776 อำเภอเมืองสมุทรปราการ เนื้อที่ 40 - 1 - 32 ไร่ โฉนดเลขที่ 95781 อำ เภอเมืองสมุทรปราการ เนื้อที่ 2 - 3 - 49 ไร่ และโฉนดเลขที่ 95780 อำเภอเมืองสมุทรปราการ เนื้อที่ 2 - 0 - 61 ไร่ และนายปุ๋ยฯ ได้โอนโฉนดเลขที่ 95781 และ 95780 ให้แก่นายบังหลวง ทองเรือง (บุตร) ในวันที่รับโฉนด ต่อมานายบัวหลวงฯ ได้โอนขายที่ดินโฉนดเลขที่ 95781 และ 95780 ให้แก่ นายศิริชัย เตชพลกุล และนายวุฒิชัย เตชพลกุล ตามลำดับ และทั้งสองรายนี้ได้โอน ขายที่ดินทั้งสองโฉนดนี้ให้แก่บริษัท อัศวเหม โฮลดิ้งกรุ๊ปผู้ถือครองปัจจุบัน ซึ่งกรมธนารักษ์กำลังดำเนิน การตามกฎหมาย เพื่อเพิกถอนโฉนดดังกล่าวต่อไป5. การบุกรุกของราษฎรในแนวเขตคลองตามสภาพ ปัจจุบัน
5.1 มีผู้บุกรุก รวมทั้งสิ้น 5,990 ราย
5.2 สภาพของการบุกรุกส่วนใหญ่จะเป็นการปลูกบ้านอยู่อาศัยทั้งในลักษณะชั่วคราวและค่อน ข้างถาวร และมีบางรายในแนวเขตคลองชายทะเล บุกรุกทำนากุ้ง ก่อสร้างร้านค้าทำทางเชื่อมหรือสะ พานเข้าออกที่ดิน
5.3กรมชลประทานได้ดำเนินคดีกับผู้บุกรุกในเขตคลองที่กรมชลประทานดูแลรักษาอยู่ โดย ฟ้องคดีแล้ว 2,625 ราย ซึ่งศาลมีคำพิพากษาแล้วทั้งสิ้น ผู้บุกรุกรื้อถอนไปแล้ว 667 ราย อยู่ในระ หว่างบังคับคดี 1,957 ราย และอยู่ระหว่างเตรียมหลักฐานฟ้องคดี 697 ราย
6. ปัญหาและอุปสรรค
6.1 กรณีการออกโฉนดที่ดินในเขตชลประทาน ขณะนี้มีการออกโฉนดที่ดินในเขตชลประทาน ให้แก่ นายปุ๋ย ทองเรือง รวม 3 แปลง และกรมธนารักษ์ได้พิจารณาดำเนินการเพื่อฟ้องให้เพิกถอน โฉนด โดยได้มอบอำนาจให้จังหวัดสมุทรปราการดำเนินการต่อไป
6.2 ในเขตพื้นที่คลองชายทะเล จังหวัดสมุทรปราการเป็นพื้นที่ริมถนนสุขุมวิท มีผู้บุกรุก 1,487 รายกรมชลประทานใช้ประโยชน์ทั้ง 2 ฝั่งถนน คือ ฝั่งซ้ายของถนนใช้ประโยชน์เป็นคลองส่งน้ำ เป็นแนวยาวขนานไปตามถนน และฝั่งขวาของถนนเป็นพื้นที่คันกั้นน้ำเค็มชายทะเล ซึ่งสภาพปัจจุบันมีพื้นที่ ติดต่อกับแนวเขตถนนสุขุมวิท คลองด่าน พื้นที่ส่วนนี้กรมชลประทานได้ส่งคืนกรมธนารักษ์แล้วบางส่วน กรมธนารักษ์ได้อนุญาตให้ใช้ราชการไปแล้ว 18 หน่วยงาน (และยังมีอีกหลายหน่วยงานแจ้งความประ สงค์ขอใช้ราชการ) และจัดให้เอกชนเช่าทำเป็นทางเข้า-ออกไปแล้ว จำนวน 7 ราย พื้นที่ส่วนนี้คณะ กรรมการพิจารณาสถานที่ทำงานของหน่วยราชการในเขตกรุงเทพมหานครและเมืองหลักได้แต่งตั้งคณะ อนุกรรมการเฉพาะกิจกำหนดการใช้ที่ราชพัสดุ ทำหน้าที่พิจารณาความเหมาะสมในการใช้ที่ดินโดยเน้น ให้คำนึงถึงการรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมและกำหนดเขตสงวนรักษาและฟื้นฟูป่าชายเลนและการจัดพื้นที่สี เขียวของที่ดินไว้ด้วย
6.3 ลักษณะการบุกรุกในพื้นที่แปลงนี้ นอกจากเพื่ออยู่อาศัยและทำทางเข้า-ออก โดยทำเป็น ถนนสะพานไม้ สะพานคอนกรีตแล้ว ผู้บุกรุกได้ดำเนินการร้องขอออกเอกสารสิทธิ์ในที่ดินด้วย ขณะนี้สำนัก งานราชพัสดุได้ร้องคัดค้านไว้แล้ว 7 ราย กรมธนารักษ์ฟ้องร้องเป็นคดีแล้ว 2 ราย การบุกรุกที่ดินส่วน นี้ก่อให้เกิดปัญหาต่อการปกครองดูแลที่ดินกับทางราชการ และโดยที่พื้นที่ส่วนนี้น่าจะเป็นเขตพื้นที่สำคัญส่วน หนึ่งในการระบายน้ำลงสู่ทะเล ตามแนวพระราชดำริในเรื่องการป้องกันน้ำท่วมนอกจากนี้ คณะรัฐมนตรี ได้อนุมัติแนวทางแก้ไข ตามที่คณะกรรมการฯ เสนอ ดังนี้
1. ให้กรมชลประทานและกรมธนารักษ์ดูแลป้องกันมิให้มีการบุกรุกเพิ่มขึ้นในที่ดินที่ใช้ประ โยชน์ดังกล่าว และให้กรมชลประทานเร่งรัดการดำเนินคดีกับผู้บุกรุกให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว
2. ให้ดำเนินการแก้ไขปัญหาผู้บุกรุกในที่ดินตามแนวทางของคณะกรรมการแก้ไขปัญหาการ บุกรุกที่ดินของรัฐ (กบร.)
3. ให้คณะกรรมการพิจารณาสถานที่ทำงานของหน่วยราชการในเขตกรุงเทพมหานครและ เมืองหลักพิจารณาแก้ไขแผนการใช้ที่ดินในเขตจังหวัดสมุทรปราการใหม่ โดยให้คำนึงถึงการแก้ไขปัญหา ผู้บุกรุก และการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมตามแนวพระราชดำริ
4. ให้มีคณะกรรมการกำหนดพื้นที่ แนวทาง หรือวิธีการ และเส้นทางการระบายน้ำตาม โครงการป้องกันน้ำท่วมให้ชัดเจน เพื่อนำมากำหนดเป็นแนวทางการใช้ที่ดินสอดคล้อง และเกิดประ โยชน์ต่อโครงการป้องกันน้ำท่วมได้ถูกต้อง
5. การขอออกเอกสารสิทธิในแนวคลองในช่วงเวลา 2 ปี ให้กรมที่ดินเสนอเรื่องให้คณะ กรรมการพิจารณาก่อน
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดนายบรรหาร ศิลปอาชา)--วันที่ 12 ธันวาคม 2538--
คณะรัฐมนตรีรับทราบรายงานการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่องการตรวจสอบการถือ ครองและใช้ที่ดินพระราชทานเพื่อสาธารณประโยชน์ และการระบายน้ำ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ดังนี้กระทรวงมหาดไทยเสนอว่า คณะกรรมการเพื่อตรวจสอบข้อมูล ข้อเท็จจริง รวมทั้งการแก้ไขปัญหา การบุกรุกการออกเอกสารสิทธิ์เกี่ยวกับที่ดินสาธารณะที่ได้พระราชทานไว้ ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 เพื่อสา ธารณโยชน์และการระบายน้ำในเขตลาดกระบัง กรุงเทพมหานคร อำเภอบางพลี และอำเภอบางบ่อ จัง หวัดสมุทรปราการโดยมีปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นประธาน ได้ดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีแล้ว สรุปได้ดังนี้
1. ที่ดินพระราชทานตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติให้ดำเนินการตรวจสอบนั้นเป็นพื้นที่ตามประ กาศกระแสร์พระบรมราชโองการ เรื่องขยายการหวงห้ามและจัดซื้อที่ดิน สำหรับสร้างการทดน้ำ ไขน้ำ ในบริเวณเชียงรากน้อยและบางเหี้ย พุทธศักราช 2467 ซึ่งมีรายการถึง 21 คลอง ครอบคลุมพื้นที่ตั้ง แต่จังหวัดพระนครศรีอยุธยาปทุมธานี นนทบุรี นครนายก ฉะเชิงเทรา กรุงเทพมหานคร และ สมุทรปราการ รวม 7 จังหวัด
2. คณะกรรมการฯ ได้พิจารณาผลการตรวจสอบประกาศกระแสร์พระบรมราชโองการฯ พ. ศ. 2467 กฎหมายหรือระเบียบอื่น ๆ ที่เกี่ยวเนื่องสัมพันธ์ แก้ไขหรือยกเลิกประกาศกระแสร์พระบรม ราชโองการฯ พ.ศ. 2467 แล้วเห็นว่าไม่มีกฎหมายฉบับใดออกมายกเลิกหรือแก้ไขประกาศกระแสร์พระ บรมราชโองการฯ พ.ศ. 2467 และเห็นว่าประกาศกระแสร์พระบรมราชโองการฉบับดังกล่าวมีลักษณะ เช่นเดียวกับพระราชกฤษฎีกากำหนดแนวเขตที่ดินที่จะเวนคืน โดยมีกำหนดระยะเวลาดำเนินการตามประ กาศและกฎหมายที่เกี่ยวข้องรวม 15 ปี เมื่อพ้นเวลา 15 ปี การหวงห้ามที่ดินตามประกาศกระแสร์พระ บรมราชโองการฯ ก็เป็นอันสิ้นสุด
3. ผลการตรวจสอบผลการดำเนินการตามประกาศกระแสร์พระบรมราชโองการฯ พ.ศ. 2467
3.1 ตามประกาศกระแสร์พระบรมราชโองการฯ ได้กำหนดเขตที่ดินไว้เพื่อจัดซื้อที่ดินทำ การขุดคลองซ่อมคลอง ก่อสร้างทำนบประตูน้ำ ทำคันกั้นน้ำ ทำตลิ่งคันคลอง หรือการอื่น ๆ ที่จำเป็น ต้องกระทำขึ้นเกี่ยวกับการระบายน้ำ เชียงรากน้อย และบางเหี้ย ตามลำคลองต่าง ๆ รวม 21 ข้อ ซึ่ง จะอยู่ในเขตพื้นที่ตั้งแต่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา จังหวัดปทุมธานี จังหวัดนนทบุรี จังหวัดนครนายก จัง หวัดฉะเชิงเทรา จังหวัดสมุทรปราการ และกรุงเทพมหานคร และคลองทั้ง 21 ข้อ จะกำหนดแนวกัน เขตริมคลอง ระยะกว้างต่างกันไป ซึ่งถ้าคำนวณพื้นที่ตามแนวเขตที่กำหนดไว้ตามประกาศกระแสร์พระ บรมราชโองการแล้ว จะเป็นจำนวนเนื้อที่ประมาณ 144,535 - 0 - 00 ไร่ รวมความยาวคลองทั้ง หมด 21 คลอง ประมาณ 471.50 กิโลเมตร
3.2 จากการตรวจสอบของคณะกรรมการฯ ปรากฏว่ากระทรวงเกษตราธิการ และกระ ทรวงมหาดไทยในสมัยนั้น มิได้ดำเนินการปักหลักเขต และรังวัดจัดซื้อ ตามระยะหรือตามคลอง ทุกคลองที่กำหนดไว้ในประกาศกระแสร์พระบรมราชโองการฯ แต่จะดำเนินการตามความเหมาะสมและ เท่าที่จำเป็นต่อการใช้ประโยชน์ในกิจการชลประทานรวมพื้นที่ที่ใช้ประโยชน์ในกิจการชลประทาน ใน แนวเขตคลองตามประกาศกระแสร์พระบรมราชโองการฯ มีเนื้อที่ทั้งหมด 15,878 - 2 - 28 ไร่ แยกเป็นที่ดินซึ่งมีเอกสารสิทธิ์ โดยมีหลักฐานการจัดซื้อและราษฎรยกให้ เนื้อที่ 5,721 - 2 - 38 ไร่ และเป็นที่ดินรกร้างว่างเปล่าและที่สาธารณประโยชน์ (แนวคลองธรรมชาติเดิม) เนื้อที่ 10,156 - 3 - 90 ไร่ สรุปได้ดังนี้
- คลองบ้านม้า คลองช่องสะเดา คลองบ้านโพ คลองบ้านสวัสดิ์ คลองเชียงราก-บางชัน คลองรัง สิตจาก ปตร. เปรมเหนือรังสิต ถึงแม่น้ำเจ้าพระยา คลองบางเขน คลองสามเสน คลองสามวา คลองลำปลาทิว คลองจรเข้ใหญ่ คลองสิบหกและแม่น้ำบางเหี้ย (คลองด่าน) เป็นคลองธรรมชาติเดิมไม่พบหลักฐานว่ามีการ ดำเนินการปักหลักเขตและรังวัดจัดซื้อตามประกาศกระแสร์พระบรมราชโองการฯ
- คลองเชียงรากน้อย และคลองสายใต้ เป็นคลองธรรมชาติเดิมบางส่วนและขุดใหม่บางส่วนใน ส่วนของที่ดิน ซึ่งมีเอกสารสิทธิ์
- คลองขนานคลอง 1 และคลองส่งน้ำสายใหญ่ฝั่งขวา โครงการส่งน้ำและบำรุงรักษานครนายก ดำเนินการขุดคลองในส่วนของที่ดินซึ่งมีเอกสารสิทธิ์
- คลองเปรมประชากร คลองบางซื่อ คลองสิบเจ็ด และคลองพระองค์ไชยานุชิต ดำเนินการขุด ขยายความกว้างของคลองในส่วนของที่ดินซึ่งมีเอกสารสิทธิ์
- คลองชายทะเล ดำเนินการขุดคลองและทำคันกั้นน้ำเค็มในส่วนของที่ดินซึ่งมีเอกสารสิทธิ์
4. การออกเอกสารสิทธิ์ในที่ดินที่กรมชลประทานได้ดำเนินการปักหลักเขตและรังวัดไว้แล้ว ตามประกาศกระแสร์พระรบรมราชโองการฯ จากการตรวจสอบของกรมที่ดินและกรมธนารักษ์ปรากฏว่า ในพื้นที่เขตคลองตามประกาศกระแสร์พระบรมราชโองการฯ แต่ละจังหวัดไม่มีการออกโฉนดหรือเอก สารสิทธิ์ ในแนวเขตคลองกรมชลประทาน เว้นแต่จังหวัดสมุทรปราการ ได้มีการออกโฉนดในแนว เขตคลองตามประกาศกระแสร์พระบรมราชโองการฯ ให้แก่ นายปุ๋ย ทองเรือง รวม 3 โฉนด คือ โฉนดเลขที่ 95776 อำเภอเมืองสมุทรปราการ เนื้อที่ 40 - 1 - 32 ไร่ โฉนดเลขที่ 95781 อำ เภอเมืองสมุทรปราการ เนื้อที่ 2 - 3 - 49 ไร่ และโฉนดเลขที่ 95780 อำเภอเมืองสมุทรปราการ เนื้อที่ 2 - 0 - 61 ไร่ และนายปุ๋ยฯ ได้โอนโฉนดเลขที่ 95781 และ 95780 ให้แก่นายบังหลวง ทองเรือง (บุตร) ในวันที่รับโฉนด ต่อมานายบัวหลวงฯ ได้โอนขายที่ดินโฉนดเลขที่ 95781 และ 95780 ให้แก่ นายศิริชัย เตชพลกุล และนายวุฒิชัย เตชพลกุล ตามลำดับ และทั้งสองรายนี้ได้โอน ขายที่ดินทั้งสองโฉนดนี้ให้แก่บริษัท อัศวเหม โฮลดิ้งกรุ๊ปผู้ถือครองปัจจุบัน ซึ่งกรมธนารักษ์กำลังดำเนิน การตามกฎหมาย เพื่อเพิกถอนโฉนดดังกล่าวต่อไป5. การบุกรุกของราษฎรในแนวเขตคลองตามสภาพ ปัจจุบัน
5.1 มีผู้บุกรุก รวมทั้งสิ้น 5,990 ราย
5.2 สภาพของการบุกรุกส่วนใหญ่จะเป็นการปลูกบ้านอยู่อาศัยทั้งในลักษณะชั่วคราวและค่อน ข้างถาวร และมีบางรายในแนวเขตคลองชายทะเล บุกรุกทำนากุ้ง ก่อสร้างร้านค้าทำทางเชื่อมหรือสะ พานเข้าออกที่ดิน
5.3กรมชลประทานได้ดำเนินคดีกับผู้บุกรุกในเขตคลองที่กรมชลประทานดูแลรักษาอยู่ โดย ฟ้องคดีแล้ว 2,625 ราย ซึ่งศาลมีคำพิพากษาแล้วทั้งสิ้น ผู้บุกรุกรื้อถอนไปแล้ว 667 ราย อยู่ในระ หว่างบังคับคดี 1,957 ราย และอยู่ระหว่างเตรียมหลักฐานฟ้องคดี 697 ราย
6. ปัญหาและอุปสรรค
6.1 กรณีการออกโฉนดที่ดินในเขตชลประทาน ขณะนี้มีการออกโฉนดที่ดินในเขตชลประทาน ให้แก่ นายปุ๋ย ทองเรือง รวม 3 แปลง และกรมธนารักษ์ได้พิจารณาดำเนินการเพื่อฟ้องให้เพิกถอน โฉนด โดยได้มอบอำนาจให้จังหวัดสมุทรปราการดำเนินการต่อไป
6.2 ในเขตพื้นที่คลองชายทะเล จังหวัดสมุทรปราการเป็นพื้นที่ริมถนนสุขุมวิท มีผู้บุกรุก 1,487 รายกรมชลประทานใช้ประโยชน์ทั้ง 2 ฝั่งถนน คือ ฝั่งซ้ายของถนนใช้ประโยชน์เป็นคลองส่งน้ำ เป็นแนวยาวขนานไปตามถนน และฝั่งขวาของถนนเป็นพื้นที่คันกั้นน้ำเค็มชายทะเล ซึ่งสภาพปัจจุบันมีพื้นที่ ติดต่อกับแนวเขตถนนสุขุมวิท คลองด่าน พื้นที่ส่วนนี้กรมชลประทานได้ส่งคืนกรมธนารักษ์แล้วบางส่วน กรมธนารักษ์ได้อนุญาตให้ใช้ราชการไปแล้ว 18 หน่วยงาน (และยังมีอีกหลายหน่วยงานแจ้งความประ สงค์ขอใช้ราชการ) และจัดให้เอกชนเช่าทำเป็นทางเข้า-ออกไปแล้ว จำนวน 7 ราย พื้นที่ส่วนนี้คณะ กรรมการพิจารณาสถานที่ทำงานของหน่วยราชการในเขตกรุงเทพมหานครและเมืองหลักได้แต่งตั้งคณะ อนุกรรมการเฉพาะกิจกำหนดการใช้ที่ราชพัสดุ ทำหน้าที่พิจารณาความเหมาะสมในการใช้ที่ดินโดยเน้น ให้คำนึงถึงการรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมและกำหนดเขตสงวนรักษาและฟื้นฟูป่าชายเลนและการจัดพื้นที่สี เขียวของที่ดินไว้ด้วย
6.3 ลักษณะการบุกรุกในพื้นที่แปลงนี้ นอกจากเพื่ออยู่อาศัยและทำทางเข้า-ออก โดยทำเป็น ถนนสะพานไม้ สะพานคอนกรีตแล้ว ผู้บุกรุกได้ดำเนินการร้องขอออกเอกสารสิทธิ์ในที่ดินด้วย ขณะนี้สำนัก งานราชพัสดุได้ร้องคัดค้านไว้แล้ว 7 ราย กรมธนารักษ์ฟ้องร้องเป็นคดีแล้ว 2 ราย การบุกรุกที่ดินส่วน นี้ก่อให้เกิดปัญหาต่อการปกครองดูแลที่ดินกับทางราชการ และโดยที่พื้นที่ส่วนนี้น่าจะเป็นเขตพื้นที่สำคัญส่วน หนึ่งในการระบายน้ำลงสู่ทะเล ตามแนวพระราชดำริในเรื่องการป้องกันน้ำท่วมนอกจากนี้ คณะรัฐมนตรี ได้อนุมัติแนวทางแก้ไข ตามที่คณะกรรมการฯ เสนอ ดังนี้
1. ให้กรมชลประทานและกรมธนารักษ์ดูแลป้องกันมิให้มีการบุกรุกเพิ่มขึ้นในที่ดินที่ใช้ประ โยชน์ดังกล่าว และให้กรมชลประทานเร่งรัดการดำเนินคดีกับผู้บุกรุกให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว
2. ให้ดำเนินการแก้ไขปัญหาผู้บุกรุกในที่ดินตามแนวทางของคณะกรรมการแก้ไขปัญหาการ บุกรุกที่ดินของรัฐ (กบร.)
3. ให้คณะกรรมการพิจารณาสถานที่ทำงานของหน่วยราชการในเขตกรุงเทพมหานครและ เมืองหลักพิจารณาแก้ไขแผนการใช้ที่ดินในเขตจังหวัดสมุทรปราการใหม่ โดยให้คำนึงถึงการแก้ไขปัญหา ผู้บุกรุก และการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมตามแนวพระราชดำริ
4. ให้มีคณะกรรมการกำหนดพื้นที่ แนวทาง หรือวิธีการ และเส้นทางการระบายน้ำตาม โครงการป้องกันน้ำท่วมให้ชัดเจน เพื่อนำมากำหนดเป็นแนวทางการใช้ที่ดินสอดคล้อง และเกิดประ โยชน์ต่อโครงการป้องกันน้ำท่วมได้ถูกต้อง
5. การขอออกเอกสารสิทธิในแนวคลองในช่วงเวลา 2 ปี ให้กรมที่ดินเสนอเรื่องให้คณะ กรรมการพิจารณาก่อน
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดนายบรรหาร ศิลปอาชา)--วันที่ 12 ธันวาคม 2538--