ทำเนียบรัฐบาล--7 มิ.ย.--บิสนิวส์
คณะกรรมการรัฐมนตรีว่าด้วยนโยบายเศรษฐกิจพิจารณาเกี่ยวกับยุทธศาสตร์สินค้าเกษตรหลัก ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ร่วมกับคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย กระทรวงอุตสาหกรรม และคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ได้ร่วมกันจัดทำแผนยุทธศาสตร์สินค้าเกษตรหลัก 12 ชนิด คือ ข้าว ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ มันสำปะหลัง ยางพารา อ้อย กาแฟ ปาล์มน้ำมัน ลำไย สับปะรด ทุเรียน กล้วยไม้ และกุ้งกุลาดำ ซึ่งกำหนดเป้าหมายที่จะดำเนินการภายในระยะเวลาของแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 8 (สิ้นสุด พ.ศ.2544)
ทั้งนี้ คณะกรรมการรัฐมนตรีว่าด้วยนโยบายเศรษฐกิจพิจารณาแล้วมีมติดังนี้
1. ให้ความเห็นชอบแนวทางการดำเนินการตามยุทธศาสตร์สินค้าเกษตรหลักในภาพรวมและรายพืช 12 ชนิด ตามที่กระทรวงพาณิชย์และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ
2. มอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันเร่งรัดดำเนินการตามแนวทางที่ได้กำหนดไว้ตามที่เสนอ โดยให้จัดทำแผนปฏิบัติการสินค้าหลักแต่ละชนิด เพื่อให้การพัฒนาด้านการผลิต การแปรรูป และการตลาดของสินค้าเกษตรหลักมีความเชื่อมโยงอย่างเป็นระบบครบวงจร
3. มอบหมายให้คณะกรรมการหรือองค์กรที่ดูแลแต่ละสินค้าเกษตรหลัก ประเมินผลการดำเนินงานโดยพิจารณาปรับปรุงองค์ประกอบและภารกิจ ให้สามารถดำเนินการให้เป็นระบบและมีประสิทธิภาพ
สำหรับแนวทางการดำเนินงานเพื่อให้หน่วยงานนำไปปฏิบัติในการพัฒนาสินค้าหลักดังกล่าว ประกอบด้วยแนวทางหลักที่สำคัญ 3 ด้าน คือ การผลิต การแปรรูป และการตลาด และแนวทางดำเนินการเพื่อรองรับการเปิดตลาดให้สามารถแข่งขันได้อย่างมีประสิทธิภาพอีก 2 แนวทาง คือ การป้องกันรักษาผลประโยชน์ทางการค้า และการบริการด้านสินเชื่อ สรุปสาระสำคัญแนวทางการดำเนินงาน ดังนี้
1. ด้านการผลิต
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม ควรเร่งรัดจัดทำแผนปฏิบัติการการปรับโครงสร้างการผลิตสินค้าเกษตรหลักแต่ละชนิดให้เป็นระบบและนำไปปฏิบัติได้อย่างเป็นรูปธรรม โดยความร่วมมือของกระทรวงการคลัง และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ในการปรับลดภาษีปัจจัยการผลิตและเครื่องจักรกล โดย
1) เพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตเพื่อลดต้นทุนการผลิตต่อหน่วย โดยการพัฒนาระบบชลประทาน ส่งเสริมการใช้พันธุ์ดี การใช้และเทคโนโลยีที่เหมาะสม และการส่งเสริมการผลิตในลักษณะแปลงใหญ่เชิงอุตสาหกรรม
2) การพัฒนาคุณภาพ เพื่อสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีในการควบคุมคุณภาพ รวมทั้งกำกับ ดูแลและป้องกันการผลิตที่ก่อให้เกิดปัญหาสภาพแวดล้อมและสุขอนามัย
3) การปรับปริมาณผลผลิตให้มีปริมาณสม่ำเสมอ เพื่อขจัดปัญหาสินค้าล้นตลาดและขาดแคลนในบางช่วงเวลา โดยสนับสนุนให้สถาบันเกษตรกรให้เข้ามามีส่วนร่วมในการจัดการ และจัดทำการผลิตครบวงจร (Contract Farming)
4) กำหนดเขตเกษตรเศรษฐกิจ เพื่อกำหนดพื้นที่เพาะปลูกและจัดทำทะเบียนเกษตรกรอย่างจริงจังและให้เป็นระบบ
2. การแปรรูป กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ควรร่วมกันศึกษาและจัดทำแผนงานในการส่งเสริมและสนับสนุนการแปรรูปผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรในเชิงธุรกิจใหม่ที่มีความซับซ้อนมากขึ้น โดย
1) พัฒนาคุณภาพผลผลิตและปริมาณสินค้าเกษตรหลักที่ใช้เป็นวัตถุดิบให้สอดรับกับความต้องการของอุตสาหกรรมแปรรูปสินค้าเกษตรหลัก
2) เร่งสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาขบวนการผลิตโดยใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมในการแปรรูปและเพิ่มความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ รวมทั้งผลิตบุคลากรที่มีความรู้ความชำนาญในด้านนี้ให้เพียงพอ
3) กำหนดมาตรฐานและควบคุมตรวจสอบคุณภาพของผลิตภัณฑ์ให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล และควบคุมดูแลมิให้เกิดปัญหาต่อสภาพแวดล้อมและสุขอนามัย
4) พัฒนาและส่งเสริมด้านการตลาดสินค้าเกษตรหลักแปรรูปอย่างจริงจัง โดยแสวงหาตลาดใหม่ ๆ และเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ
5) เร่งรัดจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมเกษตรในเขตเกษตรเศรษฐกิจ เพื่อผลิตสินค้าเกษตรหลักแปรรูปได้อย่างมีประสิทธิภาพ
3. ด้านการตลาด กระทรวงพาณิชย์ควรประสานกับภาคเอกชนโดยให้เข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาและจัดระบบรองรับตลาดสินค้าเกษตรหลักของประเทศ โดย
1) รักษาเสถียรภาพของราคาสินค้าเกษตรหลัก เพื่อสร้างความมั่นใจในการผลิตของเกษตรกร โดยให้ภาคเอกชนมีส่วนร่วมในการยกระดับราคาสินค้าแทนการแทรกแซงราคา โดยภาครัฐเพื่อแก้ไขปัญหาราคาสินค้าเกษตรหลักตกต่ำในช่วงผลผลิตออกสู่ตลาดมาก และควรมอบหมายให้คณะกรรมการนโยบายและมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร (คชก.) พิจารณาแนวทางชะลอผลผลิตออกสู่ตลาดที่มีประสิทธิภาพ
2) เร่งรัดการส่งออกและขยายตลาด โดยนำกลยุทธ์การตลาด (Market Strategy) ที่ใช้ในสินค้าเกษตรอุตสาหกรรมมาใช้กับสินค้าเกษตรหลัก และจะต้องมีระบบการดูแลในเรื่องคุณภาพและมาตรฐานสินค้าส่งออกที่มีอนาคตทุกประเภท ได้มีการรับรองคุณภาพจากส่วนราชการหรือสมาคมการค้าที่เกี่ยวข้อง ควบคู่ไปกับการสนับสนุนสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำและระยะยาว ให้แก่ผู้ส่งออกหรือผู้ซื้อในกรณีที่เป็นการส่งออกไปยังตลาดใหม่ ๆ
3) พัฒนาระบบตลาดกลางให้มีประสิทธิภาพ มีขนาดและสิ่งอำนวยความสะดวกเพียงพอในแหล่งผลิตและเขตเกษตรเศรษฐกิจ ส่งเสริมให้เป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ และพัฒนาระบบตลาดของสินค้าแต่ละชนิด รวมทั้งเปิดโอกาสให้แก่สถาบันเกษตรกรที่มีศักยภาพ สามารถจัดตั้งและบริหารตลาดกลางได้ด้วย
4) ปรับปรุงและก่อสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกและระบบในการจัดเก็บสินค้าเกษตรหลัก ได้แก่ ห้องเย็น เครื่องอบลดความชื้น และโกดังเก็บพืชผลทางการเกษตร การจัดตั้งศูนย์ส่งออกผักผลไม้เพื่อการส่งออกในรูปแบบ One-Stop-Service คลังสินค้าสาธารณะและการใช้ใบประทวนสินค้า (Warehouse Receipt) เป็นหลักประกันในการให้สินเชื่อ เพื่อเสริมสภาพคล่องและอำนาจซื้อสินค้าเกษตรหลักในช่วงต้นฤดูกาลได้อีกทางหนึ่ง
5) เร่งรัดการจัดตั้งตลาดซื้อขายสินค้าเกษตรหลักล่วงหน้า ซึ่งขณะนี้ร่าง พ.ร.บ. การซื้อขายสินค้าเกษตรหลักล่วงหน้า พ.ศ. …. ได้ผ่านความเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎรแล้ว และอยู่ในการพิจารณาของคณะกรรมาธิการวิสามัญของวุฒิสภา
6) กำหนดมาตรฐานสินค้าเกษตรหลัก จัดชั้นคุณภาพสินค้า และส่งเสริมให้มีการรับซื้อสินค้าตามคุณภาพอย่างจริงจัง
7) สนับสนุนให้มีการรวมตัวเป็นสมาคมการค้า เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการส่งออกและนำเข้า โดยให้ภาคเอกชนที่ประกอบวิสาหกิจที่เกี่ยวข้อง กำกับและดูแลกันเอง ทั้งด้านคุณภาพ ราคาและระยะเวลาที่ส่งมอบ ให้เกิดความเชื่อถือเพิ่มมากขึ้น
4. การป้องกันรักษาผลประโยชน์ทางการค้าในตลาดต่างประเทศ
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงพาณิชย์ควรร่วมกันทำการติดตามและตรวจสอบเงื่อนไขหรือกฎระเบียบของประเทศคู่ค้าถึงผลกระทบต่อการส่งออก สามารถนำไปใช้เป็นข้อมูลระบบเตือนภัยให้กับผู้เกี่ยวข้อง และเพิ่มบทบาทเจรจาการค้าทั้งในระดับพหุภาคี ทวิภาคีและภูมิภาค รวมทั้งพัฒนาองค์กรและบุคลากรทางด้านเจรจาการค้าโดยการปรับโครงสร้างกระทรวงพาณิชย์
5. สินเชื่อ มอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ประสานงานกับกระทรวงพาณิชย์ ธนาคารแห่งประเทศไทย ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร และธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย ในการจัดหาสินเชื่อที่เพียงพอเพื่อให้เกิดสภาพคล่องทางการเงิน และลดภาระดอกเบี้ยในภาคเกษตร โดย
1) สนับสนุนสินเชื่อด้านการผลิตระยะปานกลางและระยะยาวเพิ่มากขึ้น ซึ่งมีอัตราดอกเบี้ยต่ำและคงที่แก่เกษตรกรในเขตเกษตรเศรษฐกิจแต่ละสินค้าที่กำหนดขึ้น
2) พิจารณาแนวทางในการนำระบบคลังสินค้าสาธารณะและการใช้ใบประทวนสินค้า (Warehouse Receipt) มาเป็นหลักประกันสินเชื่อ ซึ่งรัฐสามารถใช้กลไกดอกเบี้ยผ่านใบประทวนสินค้า เพื่อรักษาเสถียรภาพราคาสินค้าเกษตรหลักได้ในระยะยาว 3) ส่งเสริมให้ธนาคารพาณิชย์รับซื้อลดตั๋วสัญญาใช้เงิน รับซื้อลดตั๋วและ Packing L/C สำหรับการค้าและการส่งออกสินค้าเกษตรหลักและผลิตภัณฑ์ในอัตราที่สูงเพียงพอให้ผู้ประกอบการมีเงินทุนหมุนเวียนในการทำธุรกิจได้ต่อเนื่อง รวมทั้งกำหนดแนวทางจูงใจให้ธนาคารพาณิชย์ช่วยอำนวยสินเชื่อ อัตราดอกเบี้ยต่ำแก่ผู้ประกอบการเป็นสัดส่วนกับอัตราดอกเบี้ยตลาดควบคู่กันไปด้วย
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ชุดนาย ชวน หลีกภัย)--วันที่ 7 มิถุนายน 2542--
คณะกรรมการรัฐมนตรีว่าด้วยนโยบายเศรษฐกิจพิจารณาเกี่ยวกับยุทธศาสตร์สินค้าเกษตรหลัก ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ร่วมกับคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย กระทรวงอุตสาหกรรม และคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ได้ร่วมกันจัดทำแผนยุทธศาสตร์สินค้าเกษตรหลัก 12 ชนิด คือ ข้าว ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ มันสำปะหลัง ยางพารา อ้อย กาแฟ ปาล์มน้ำมัน ลำไย สับปะรด ทุเรียน กล้วยไม้ และกุ้งกุลาดำ ซึ่งกำหนดเป้าหมายที่จะดำเนินการภายในระยะเวลาของแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 8 (สิ้นสุด พ.ศ.2544)
ทั้งนี้ คณะกรรมการรัฐมนตรีว่าด้วยนโยบายเศรษฐกิจพิจารณาแล้วมีมติดังนี้
1. ให้ความเห็นชอบแนวทางการดำเนินการตามยุทธศาสตร์สินค้าเกษตรหลักในภาพรวมและรายพืช 12 ชนิด ตามที่กระทรวงพาณิชย์และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ
2. มอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันเร่งรัดดำเนินการตามแนวทางที่ได้กำหนดไว้ตามที่เสนอ โดยให้จัดทำแผนปฏิบัติการสินค้าหลักแต่ละชนิด เพื่อให้การพัฒนาด้านการผลิต การแปรรูป และการตลาดของสินค้าเกษตรหลักมีความเชื่อมโยงอย่างเป็นระบบครบวงจร
3. มอบหมายให้คณะกรรมการหรือองค์กรที่ดูแลแต่ละสินค้าเกษตรหลัก ประเมินผลการดำเนินงานโดยพิจารณาปรับปรุงองค์ประกอบและภารกิจ ให้สามารถดำเนินการให้เป็นระบบและมีประสิทธิภาพ
สำหรับแนวทางการดำเนินงานเพื่อให้หน่วยงานนำไปปฏิบัติในการพัฒนาสินค้าหลักดังกล่าว ประกอบด้วยแนวทางหลักที่สำคัญ 3 ด้าน คือ การผลิต การแปรรูป และการตลาด และแนวทางดำเนินการเพื่อรองรับการเปิดตลาดให้สามารถแข่งขันได้อย่างมีประสิทธิภาพอีก 2 แนวทาง คือ การป้องกันรักษาผลประโยชน์ทางการค้า และการบริการด้านสินเชื่อ สรุปสาระสำคัญแนวทางการดำเนินงาน ดังนี้
1. ด้านการผลิต
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม ควรเร่งรัดจัดทำแผนปฏิบัติการการปรับโครงสร้างการผลิตสินค้าเกษตรหลักแต่ละชนิดให้เป็นระบบและนำไปปฏิบัติได้อย่างเป็นรูปธรรม โดยความร่วมมือของกระทรวงการคลัง และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ในการปรับลดภาษีปัจจัยการผลิตและเครื่องจักรกล โดย
1) เพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตเพื่อลดต้นทุนการผลิตต่อหน่วย โดยการพัฒนาระบบชลประทาน ส่งเสริมการใช้พันธุ์ดี การใช้และเทคโนโลยีที่เหมาะสม และการส่งเสริมการผลิตในลักษณะแปลงใหญ่เชิงอุตสาหกรรม
2) การพัฒนาคุณภาพ เพื่อสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีในการควบคุมคุณภาพ รวมทั้งกำกับ ดูแลและป้องกันการผลิตที่ก่อให้เกิดปัญหาสภาพแวดล้อมและสุขอนามัย
3) การปรับปริมาณผลผลิตให้มีปริมาณสม่ำเสมอ เพื่อขจัดปัญหาสินค้าล้นตลาดและขาดแคลนในบางช่วงเวลา โดยสนับสนุนให้สถาบันเกษตรกรให้เข้ามามีส่วนร่วมในการจัดการ และจัดทำการผลิตครบวงจร (Contract Farming)
4) กำหนดเขตเกษตรเศรษฐกิจ เพื่อกำหนดพื้นที่เพาะปลูกและจัดทำทะเบียนเกษตรกรอย่างจริงจังและให้เป็นระบบ
2. การแปรรูป กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ควรร่วมกันศึกษาและจัดทำแผนงานในการส่งเสริมและสนับสนุนการแปรรูปผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรในเชิงธุรกิจใหม่ที่มีความซับซ้อนมากขึ้น โดย
1) พัฒนาคุณภาพผลผลิตและปริมาณสินค้าเกษตรหลักที่ใช้เป็นวัตถุดิบให้สอดรับกับความต้องการของอุตสาหกรรมแปรรูปสินค้าเกษตรหลัก
2) เร่งสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาขบวนการผลิตโดยใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมในการแปรรูปและเพิ่มความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ รวมทั้งผลิตบุคลากรที่มีความรู้ความชำนาญในด้านนี้ให้เพียงพอ
3) กำหนดมาตรฐานและควบคุมตรวจสอบคุณภาพของผลิตภัณฑ์ให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล และควบคุมดูแลมิให้เกิดปัญหาต่อสภาพแวดล้อมและสุขอนามัย
4) พัฒนาและส่งเสริมด้านการตลาดสินค้าเกษตรหลักแปรรูปอย่างจริงจัง โดยแสวงหาตลาดใหม่ ๆ และเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ
5) เร่งรัดจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมเกษตรในเขตเกษตรเศรษฐกิจ เพื่อผลิตสินค้าเกษตรหลักแปรรูปได้อย่างมีประสิทธิภาพ
3. ด้านการตลาด กระทรวงพาณิชย์ควรประสานกับภาคเอกชนโดยให้เข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาและจัดระบบรองรับตลาดสินค้าเกษตรหลักของประเทศ โดย
1) รักษาเสถียรภาพของราคาสินค้าเกษตรหลัก เพื่อสร้างความมั่นใจในการผลิตของเกษตรกร โดยให้ภาคเอกชนมีส่วนร่วมในการยกระดับราคาสินค้าแทนการแทรกแซงราคา โดยภาครัฐเพื่อแก้ไขปัญหาราคาสินค้าเกษตรหลักตกต่ำในช่วงผลผลิตออกสู่ตลาดมาก และควรมอบหมายให้คณะกรรมการนโยบายและมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร (คชก.) พิจารณาแนวทางชะลอผลผลิตออกสู่ตลาดที่มีประสิทธิภาพ
2) เร่งรัดการส่งออกและขยายตลาด โดยนำกลยุทธ์การตลาด (Market Strategy) ที่ใช้ในสินค้าเกษตรอุตสาหกรรมมาใช้กับสินค้าเกษตรหลัก และจะต้องมีระบบการดูแลในเรื่องคุณภาพและมาตรฐานสินค้าส่งออกที่มีอนาคตทุกประเภท ได้มีการรับรองคุณภาพจากส่วนราชการหรือสมาคมการค้าที่เกี่ยวข้อง ควบคู่ไปกับการสนับสนุนสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำและระยะยาว ให้แก่ผู้ส่งออกหรือผู้ซื้อในกรณีที่เป็นการส่งออกไปยังตลาดใหม่ ๆ
3) พัฒนาระบบตลาดกลางให้มีประสิทธิภาพ มีขนาดและสิ่งอำนวยความสะดวกเพียงพอในแหล่งผลิตและเขตเกษตรเศรษฐกิจ ส่งเสริมให้เป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ และพัฒนาระบบตลาดของสินค้าแต่ละชนิด รวมทั้งเปิดโอกาสให้แก่สถาบันเกษตรกรที่มีศักยภาพ สามารถจัดตั้งและบริหารตลาดกลางได้ด้วย
4) ปรับปรุงและก่อสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกและระบบในการจัดเก็บสินค้าเกษตรหลัก ได้แก่ ห้องเย็น เครื่องอบลดความชื้น และโกดังเก็บพืชผลทางการเกษตร การจัดตั้งศูนย์ส่งออกผักผลไม้เพื่อการส่งออกในรูปแบบ One-Stop-Service คลังสินค้าสาธารณะและการใช้ใบประทวนสินค้า (Warehouse Receipt) เป็นหลักประกันในการให้สินเชื่อ เพื่อเสริมสภาพคล่องและอำนาจซื้อสินค้าเกษตรหลักในช่วงต้นฤดูกาลได้อีกทางหนึ่ง
5) เร่งรัดการจัดตั้งตลาดซื้อขายสินค้าเกษตรหลักล่วงหน้า ซึ่งขณะนี้ร่าง พ.ร.บ. การซื้อขายสินค้าเกษตรหลักล่วงหน้า พ.ศ. …. ได้ผ่านความเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎรแล้ว และอยู่ในการพิจารณาของคณะกรรมาธิการวิสามัญของวุฒิสภา
6) กำหนดมาตรฐานสินค้าเกษตรหลัก จัดชั้นคุณภาพสินค้า และส่งเสริมให้มีการรับซื้อสินค้าตามคุณภาพอย่างจริงจัง
7) สนับสนุนให้มีการรวมตัวเป็นสมาคมการค้า เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการส่งออกและนำเข้า โดยให้ภาคเอกชนที่ประกอบวิสาหกิจที่เกี่ยวข้อง กำกับและดูแลกันเอง ทั้งด้านคุณภาพ ราคาและระยะเวลาที่ส่งมอบ ให้เกิดความเชื่อถือเพิ่มมากขึ้น
4. การป้องกันรักษาผลประโยชน์ทางการค้าในตลาดต่างประเทศ
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงพาณิชย์ควรร่วมกันทำการติดตามและตรวจสอบเงื่อนไขหรือกฎระเบียบของประเทศคู่ค้าถึงผลกระทบต่อการส่งออก สามารถนำไปใช้เป็นข้อมูลระบบเตือนภัยให้กับผู้เกี่ยวข้อง และเพิ่มบทบาทเจรจาการค้าทั้งในระดับพหุภาคี ทวิภาคีและภูมิภาค รวมทั้งพัฒนาองค์กรและบุคลากรทางด้านเจรจาการค้าโดยการปรับโครงสร้างกระทรวงพาณิชย์
5. สินเชื่อ มอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ประสานงานกับกระทรวงพาณิชย์ ธนาคารแห่งประเทศไทย ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร และธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย ในการจัดหาสินเชื่อที่เพียงพอเพื่อให้เกิดสภาพคล่องทางการเงิน และลดภาระดอกเบี้ยในภาคเกษตร โดย
1) สนับสนุนสินเชื่อด้านการผลิตระยะปานกลางและระยะยาวเพิ่มากขึ้น ซึ่งมีอัตราดอกเบี้ยต่ำและคงที่แก่เกษตรกรในเขตเกษตรเศรษฐกิจแต่ละสินค้าที่กำหนดขึ้น
2) พิจารณาแนวทางในการนำระบบคลังสินค้าสาธารณะและการใช้ใบประทวนสินค้า (Warehouse Receipt) มาเป็นหลักประกันสินเชื่อ ซึ่งรัฐสามารถใช้กลไกดอกเบี้ยผ่านใบประทวนสินค้า เพื่อรักษาเสถียรภาพราคาสินค้าเกษตรหลักได้ในระยะยาว 3) ส่งเสริมให้ธนาคารพาณิชย์รับซื้อลดตั๋วสัญญาใช้เงิน รับซื้อลดตั๋วและ Packing L/C สำหรับการค้าและการส่งออกสินค้าเกษตรหลักและผลิตภัณฑ์ในอัตราที่สูงเพียงพอให้ผู้ประกอบการมีเงินทุนหมุนเวียนในการทำธุรกิจได้ต่อเนื่อง รวมทั้งกำหนดแนวทางจูงใจให้ธนาคารพาณิชย์ช่วยอำนวยสินเชื่อ อัตราดอกเบี้ยต่ำแก่ผู้ประกอบการเป็นสัดส่วนกับอัตราดอกเบี้ยตลาดควบคู่กันไปด้วย
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ชุดนาย ชวน หลีกภัย)--วันที่ 7 มิถุนายน 2542--