ทำเนียบรัฐบาล--28 ก.ค.--บิสนิวส์
คณะรัฐมนตรีเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการออกเสียงประชามติ พ.ศ. …. และร่างพระราช-บัญญัติว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย พ.ศ. …. ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ และให้ส่งสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาเป็นเรื่องด่วนต่อไป โดยมีสาระสำคัญดังนี้
1. ร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการออกเสียงประชามติ พ.ศ. …. มีสาระสำคัญดังนี้
1) กำหนดรายละเอียดในประกาศของนายกรัฐมนตรีที่กำหนดให้มีการจัดทำประชามติ โดยต้องระบุวันออกเสียงประชามติที่แน่นอน และกำหนดเรื่องที่จะให้ผู้มีสิทธิออกเสียงสามารถใช้สิทธิออกเสียงประชามติว่าเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบกับเรื่องดังกล่าวได้
2) กำหนดให้เป็นหน้าที่ของคณะกรรมการการเลือกตั้งที่จะต้องจัดให้มีการแสดงความคิดเห็นอย่างเป็นธรรม และเผยแพร่เรื่องที่จะจัดให้มีประชามติ
3) กำหนดให้คณะกรรมการการเลือกตั้งจัดทำและปิดประกาศรายชื่อผู้มีสิทธิออกเสียง ซึ่งปกติจะใช้ข้อมูลจากบัญชีรายชื่อผู้มีสิทธิเลือกตั้ง และให้เป็นผู้กำหนดหน่วยออกเสียงและที่ออกเสียง รวมทั้งแต่งตั้งเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับการออกเสียง
4) กำหนดวิธีการลงคะแนนออกเสียงซึ่งได้ใช้วิธีการเดียวกับการลงคะแนนเลือกตั้ง กล่าวคือ เมื่อถึงเวลาลงคะแนนผู้มีสิทธิออกเสียงประชามติต้องมาแสดงตนเพื่อหย่อนบัตรลงคะแนนในหีบบัตรออกเสียง ซึ่งจัดไว้ในที่ออกเสียง และเมื่อหมดเวลาลงคะแนนจะมีการนับคะแนนในที่ออกเสียงนั้น แล้วส่งผลคะแนนมารวมกันที่คณะกรรมการการเลือกตั้งเพื่อประกาศผลทั่วประเทศและแจ้งนายกรัฐมนตรีต่อไป นอกจากนี้ ได้กำหนดให้มีการคัดค้านผลการออกเสียงประชามติไว้เช่นเดียวกับการคัดค้านผลการเลือกตั้ง
5) เนื่องจากการจัดทำประชามติเป็นเพียงวิธีการเพื่อรับฟังความคิดเห็นในลักษณะเป็นการให้คำปรึกษาแก่รัฐบาล และการออกเสียงประชามติดังกล่าวก็มิได้กำหนดเป็นหน้าที่ดังเช่นการไปลงคะแนนเลือกตั้ง จึงมิได้มีบทกำหนดโทษที่รุนแรงเป็นพิเศษไว้โดยเฉพาะ แต่ถ้าหากในการดำเนินการจัดทำประชามติมีการกระทำที่เป็นการทุจริตหรือปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ชอบด้วยกฎหมายก็จะต้องมีความผิดและรับโทษตามกฎหมายที่เป็นอยู่ในปัจจุบันอยู่แล้ว เช่น กรณีใช้บัตรออกเสียงประชามติปลอมก็จะมีความผิดฐานใช้เอกสารปลอมตามประมวลกฎหมายอาญา เป็นต้น
2. ร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย พ.ศ. ….
โดยที่มาตรา 170 ของรัฐธรรมนูญได้บัญญัติให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งจำนวนห้าหมื่นคนมีสิทธิเข้าชื่อเสนอกฎหมายให้รัฐสภาได้ โดยรัฐธรรมนูญมิได้เปิดโอกาสให้กำหนดเรื่องอื่น ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งมิได้มีข้อจำกัดในการเสนอกฎหมายไว้แต่อย่างใด การตรากฎหมายฉบับนี้จึงมีขอบเขตในการร่างจำกัดเฉพาะวิธีการเข้าชื่อให้ครบห้าหมื่นคนและวิธีการตรวจสอบความถูกต้องของบุคคลที่เข้าชื่อเพียงเท่าที่เห็นว่า จะกำหนดเป็นหลักเกณฑ์ได้เท่านั้น โดยมีสาระสำคัญดังนี้
1) กำหนดให้ต้องมีผู้ริเริ่มเสนอกฎหมาย ซึ่งจะเป็นผู้จัดทำร่างพระราชบัญญัติที่จะเสนอ แล้วยื่นคำขอต่อคณะกรรมการการเลือกตั้งเพื่อให้เป็นผู้ดำเนินการจัดให้มีการเข้าชื่อ
2) หลังจากที่ผู้ริเริ่มเสนอกฎหมายได้ยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการการเลือกตั้งแล้ว คณะกรรมการการเลือกตั้งจะเป็นผู้ดำเนินการจัดให้มีการเข้าชื่อเสนอกฎหมายขึ้นทุกจังหวัด และผู้มีสิทธิเลือกตั้งในจังหวัดใดให้มีสิทธิเข้าชื่อในจังหวัดนั้น ทั้งนี้ โดยจะต้องมีการประกาศให้ทราบรายละเอียดของกฎหมายที่เสนอให้เข้าชื่อ ระยะเวลาเข้าชื่อและสถานที่เข้าชื่อ ซึ่งระยะเวลาการเข้าชื่อนั้นจะต้องกำหนดไว้ไม่น้อยกว่า 90 วัน นับแต่วันประกาศ อย่างไรก็ตาม เนื่องจากเป็นการดำเนินการในแต่ละจังหวัด จึงกำหนดให้คณะกรรมการการเลือกตั้งมอบหมายให้คณะกรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัดหรือผู้ที่คณะกรรมการการเลือกตั้งแต่งตั้งเป็นผู้ดำเนินการในจังหวัดได้
3) วิธีการการเข้าชื่อเสนอกฎหมายให้กระทำโดยการไปลงชื่อในแบบพิมพ์การเข้าชื่อเสนอกฎหมายที่คณะกรรมการการเลือกตั้งจัดทำขึ้น และต้องไปลงชื่อด้วยตนเอง เพื่อที่จะสามารถตรวจสอบได้ว่าเป็นผู้มีสิทธิเลือกตั้งจริงหรือไม่
4) เมื่อครบกำหนดระยะเวลาการเข้าชื่อเสนอกฎหมายแล้วให้คณะกรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัดหรือผู้ที่คณะกรรมการการเลือกตั้งแต่งตั้งรวบรวมแบบพิมพ์ที่มีการเข้าชื่อจัดส่งให้คณะกรรมการการเลือกตั้งเพื่อจัดทำบัญชีรายชื่อผู้เข้าชื่อเสนอกฎหมาย และถ้ามีการลงชื่อครบห้าหมื่นคนให้ประธานกรรมการการเลือกตั้งส่งเอกสารที่เกี่ยวข้องให้ประธานรัฐสภา เพื่อเสนอกฎหมายให้รัฐสภาพิจารณาต่อไป แต่ถ้าไม่ครบห้าหมื่นคนให้จำหน่ายเรื่องและแจ้งผู้ยื่นคำขอให้มีการเข้าชื่อเสนอกฎหมายทราบ
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ชุดนายชวน หลีกภัย)--วันที่ 28 กรกฎาคม 2541--
คณะรัฐมนตรีเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการออกเสียงประชามติ พ.ศ. …. และร่างพระราช-บัญญัติว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย พ.ศ. …. ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ และให้ส่งสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาเป็นเรื่องด่วนต่อไป โดยมีสาระสำคัญดังนี้
1. ร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการออกเสียงประชามติ พ.ศ. …. มีสาระสำคัญดังนี้
1) กำหนดรายละเอียดในประกาศของนายกรัฐมนตรีที่กำหนดให้มีการจัดทำประชามติ โดยต้องระบุวันออกเสียงประชามติที่แน่นอน และกำหนดเรื่องที่จะให้ผู้มีสิทธิออกเสียงสามารถใช้สิทธิออกเสียงประชามติว่าเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบกับเรื่องดังกล่าวได้
2) กำหนดให้เป็นหน้าที่ของคณะกรรมการการเลือกตั้งที่จะต้องจัดให้มีการแสดงความคิดเห็นอย่างเป็นธรรม และเผยแพร่เรื่องที่จะจัดให้มีประชามติ
3) กำหนดให้คณะกรรมการการเลือกตั้งจัดทำและปิดประกาศรายชื่อผู้มีสิทธิออกเสียง ซึ่งปกติจะใช้ข้อมูลจากบัญชีรายชื่อผู้มีสิทธิเลือกตั้ง และให้เป็นผู้กำหนดหน่วยออกเสียงและที่ออกเสียง รวมทั้งแต่งตั้งเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับการออกเสียง
4) กำหนดวิธีการลงคะแนนออกเสียงซึ่งได้ใช้วิธีการเดียวกับการลงคะแนนเลือกตั้ง กล่าวคือ เมื่อถึงเวลาลงคะแนนผู้มีสิทธิออกเสียงประชามติต้องมาแสดงตนเพื่อหย่อนบัตรลงคะแนนในหีบบัตรออกเสียง ซึ่งจัดไว้ในที่ออกเสียง และเมื่อหมดเวลาลงคะแนนจะมีการนับคะแนนในที่ออกเสียงนั้น แล้วส่งผลคะแนนมารวมกันที่คณะกรรมการการเลือกตั้งเพื่อประกาศผลทั่วประเทศและแจ้งนายกรัฐมนตรีต่อไป นอกจากนี้ ได้กำหนดให้มีการคัดค้านผลการออกเสียงประชามติไว้เช่นเดียวกับการคัดค้านผลการเลือกตั้ง
5) เนื่องจากการจัดทำประชามติเป็นเพียงวิธีการเพื่อรับฟังความคิดเห็นในลักษณะเป็นการให้คำปรึกษาแก่รัฐบาล และการออกเสียงประชามติดังกล่าวก็มิได้กำหนดเป็นหน้าที่ดังเช่นการไปลงคะแนนเลือกตั้ง จึงมิได้มีบทกำหนดโทษที่รุนแรงเป็นพิเศษไว้โดยเฉพาะ แต่ถ้าหากในการดำเนินการจัดทำประชามติมีการกระทำที่เป็นการทุจริตหรือปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ชอบด้วยกฎหมายก็จะต้องมีความผิดและรับโทษตามกฎหมายที่เป็นอยู่ในปัจจุบันอยู่แล้ว เช่น กรณีใช้บัตรออกเสียงประชามติปลอมก็จะมีความผิดฐานใช้เอกสารปลอมตามประมวลกฎหมายอาญา เป็นต้น
2. ร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย พ.ศ. ….
โดยที่มาตรา 170 ของรัฐธรรมนูญได้บัญญัติให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งจำนวนห้าหมื่นคนมีสิทธิเข้าชื่อเสนอกฎหมายให้รัฐสภาได้ โดยรัฐธรรมนูญมิได้เปิดโอกาสให้กำหนดเรื่องอื่น ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งมิได้มีข้อจำกัดในการเสนอกฎหมายไว้แต่อย่างใด การตรากฎหมายฉบับนี้จึงมีขอบเขตในการร่างจำกัดเฉพาะวิธีการเข้าชื่อให้ครบห้าหมื่นคนและวิธีการตรวจสอบความถูกต้องของบุคคลที่เข้าชื่อเพียงเท่าที่เห็นว่า จะกำหนดเป็นหลักเกณฑ์ได้เท่านั้น โดยมีสาระสำคัญดังนี้
1) กำหนดให้ต้องมีผู้ริเริ่มเสนอกฎหมาย ซึ่งจะเป็นผู้จัดทำร่างพระราชบัญญัติที่จะเสนอ แล้วยื่นคำขอต่อคณะกรรมการการเลือกตั้งเพื่อให้เป็นผู้ดำเนินการจัดให้มีการเข้าชื่อ
2) หลังจากที่ผู้ริเริ่มเสนอกฎหมายได้ยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการการเลือกตั้งแล้ว คณะกรรมการการเลือกตั้งจะเป็นผู้ดำเนินการจัดให้มีการเข้าชื่อเสนอกฎหมายขึ้นทุกจังหวัด และผู้มีสิทธิเลือกตั้งในจังหวัดใดให้มีสิทธิเข้าชื่อในจังหวัดนั้น ทั้งนี้ โดยจะต้องมีการประกาศให้ทราบรายละเอียดของกฎหมายที่เสนอให้เข้าชื่อ ระยะเวลาเข้าชื่อและสถานที่เข้าชื่อ ซึ่งระยะเวลาการเข้าชื่อนั้นจะต้องกำหนดไว้ไม่น้อยกว่า 90 วัน นับแต่วันประกาศ อย่างไรก็ตาม เนื่องจากเป็นการดำเนินการในแต่ละจังหวัด จึงกำหนดให้คณะกรรมการการเลือกตั้งมอบหมายให้คณะกรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัดหรือผู้ที่คณะกรรมการการเลือกตั้งแต่งตั้งเป็นผู้ดำเนินการในจังหวัดได้
3) วิธีการการเข้าชื่อเสนอกฎหมายให้กระทำโดยการไปลงชื่อในแบบพิมพ์การเข้าชื่อเสนอกฎหมายที่คณะกรรมการการเลือกตั้งจัดทำขึ้น และต้องไปลงชื่อด้วยตนเอง เพื่อที่จะสามารถตรวจสอบได้ว่าเป็นผู้มีสิทธิเลือกตั้งจริงหรือไม่
4) เมื่อครบกำหนดระยะเวลาการเข้าชื่อเสนอกฎหมายแล้วให้คณะกรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัดหรือผู้ที่คณะกรรมการการเลือกตั้งแต่งตั้งรวบรวมแบบพิมพ์ที่มีการเข้าชื่อจัดส่งให้คณะกรรมการการเลือกตั้งเพื่อจัดทำบัญชีรายชื่อผู้เข้าชื่อเสนอกฎหมาย และถ้ามีการลงชื่อครบห้าหมื่นคนให้ประธานกรรมการการเลือกตั้งส่งเอกสารที่เกี่ยวข้องให้ประธานรัฐสภา เพื่อเสนอกฎหมายให้รัฐสภาพิจารณาต่อไป แต่ถ้าไม่ครบห้าหมื่นคนให้จำหน่ายเรื่องและแจ้งผู้ยื่นคำขอให้มีการเข้าชื่อเสนอกฎหมายทราบ
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ชุดนายชวน หลีกภัย)--วันที่ 28 กรกฎาคม 2541--