ทำเนียบรัฐบาล--22 พ.ย.--บิสนิวส์
คณะรัฐมนตรีอนุมัติโครงการยกร่างกฎหมายเกี่ยวกับความคุ้มกันของรัฐต่างประเทศ (State Immunity)และแต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อศึกษาและพิจารณายกร่างกฎหมายเกี่ยวกับความคุ้มกัน ของรัฐต่างประเทศจากอำนาจศาลไทย (State Immunity) ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ โดยพิ จารณาเห็นว่าจะเป็นประโยชน์ต่อประเทศไทย เนื่องจากเอกชนไทยมีการติดต่อสัมพันธ์กับรัฐต่างประ เทศทั้งในรูปการค้าระหว่างประเทศ การลงทุนระหว่างประเทศในลักษณะการเคลื่อนย้ายทุน(Capital transfer) และในลักษณะกิจการร่วมค้า (joint venture) มากขึ้น นอกจากนี้ ยังช่วยแก้ไขข้อพิ พาทที่อาจเกิดขึ้นได้ด้วยเหตุที่รัฐต่างประเทศจะถูกฟ้องเป็นจำเลยต่อศาลไทยมีมากขึ้น ส่งผลให้รัฐต่าง ประเทศอาจยกเรื่องความคุ้มกันของรัฐ (State Immunity) ตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ ซึ่ง นานาอารยะประเทศต่างยอมรับนับถือกันโดยทั่วไปมาเป็นข้อต่อสู้ซึ่งจะทำให้ศาลไทยไม่มีเขตอำนาจใน การพิจารณาพิพากษาคดีดังกล่าว แต่เนื่องจากในปัจจุบันประเทศไทยยังไม่มีกฎหมายที่บัญญัติใน เรื่องความคุ้มกันของรัฐต่างประเทศไว้โดยตรง อีกทั้งไม่เคยปรากฏคำพิพากษาที่วางแนวทางเกี่ยวกับ เรื่องนี้จึงมีความจำเป็นเร่งด่วนที่จะต้องผลักดันให้มีกฎหมายนี้มาใช้บังคับในเร็ววัน เพื่อให้เกิดความชัด เจนในหลักเกณฑ์ที่จะนำมาปรับใช้กับปัญหาดังกล่าว และเกิดความเป็นธรรมแก่เอกชนที่ติดต่อสัมพันธ์กับรัฐ ต่างประเทศทั้งนี้ ในการดำเนินงานยกร่างกฎหมายดังกล่าว จำเป็นต้องอาศัยความรู้ความสามารถของ ผู้ทรงคุณวุฒิและผู้แทนจากหน่วยงานต่าง ๆ จึงอนุมัติให้ตั้งคณะกรรมการเพื่อศึกษาและพิจารณายกร่างกฎ หมายเกี่ยวกับความคุ้มกันของรัฐต่างประเทศจากอำนาจศาลไทย (State Immunity) อันประกอบด้วย
นายอรุณ ภาณุพงศ์ เป็นประธาน ปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นรองประธาน นายชาญณรงค์ ปราณีจิตต์ เป็นกรรมการและเลขานุการและกรรมการอื่นอีก 26 คน โดยมีอำนาจหน้าที่ศึกษาพิจารณา และเสนอ แนวทางในการยกร่างกฎหมายเกี่ยวกับความคุ้มกันของรัฐต่างประเทศ(State Immunity) และกฎ หมายที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งยกร่างกฎหมายเกี่ยวกับความคุ้มกันของรัฐต่างประเทศ (StateImmunity) และปรับปรุงแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้อง และให้มีอำนาจแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อดำเนินการในอำนาจ หน้าที่ได้ตามความเหมาะสม
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดนายบรรหาร ศิลปอาชา)--วันที่ 21 พฤศจิกายน 2538--
คณะรัฐมนตรีอนุมัติโครงการยกร่างกฎหมายเกี่ยวกับความคุ้มกันของรัฐต่างประเทศ (State Immunity)และแต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อศึกษาและพิจารณายกร่างกฎหมายเกี่ยวกับความคุ้มกัน ของรัฐต่างประเทศจากอำนาจศาลไทย (State Immunity) ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ โดยพิ จารณาเห็นว่าจะเป็นประโยชน์ต่อประเทศไทย เนื่องจากเอกชนไทยมีการติดต่อสัมพันธ์กับรัฐต่างประ เทศทั้งในรูปการค้าระหว่างประเทศ การลงทุนระหว่างประเทศในลักษณะการเคลื่อนย้ายทุน(Capital transfer) และในลักษณะกิจการร่วมค้า (joint venture) มากขึ้น นอกจากนี้ ยังช่วยแก้ไขข้อพิ พาทที่อาจเกิดขึ้นได้ด้วยเหตุที่รัฐต่างประเทศจะถูกฟ้องเป็นจำเลยต่อศาลไทยมีมากขึ้น ส่งผลให้รัฐต่าง ประเทศอาจยกเรื่องความคุ้มกันของรัฐ (State Immunity) ตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ ซึ่ง นานาอารยะประเทศต่างยอมรับนับถือกันโดยทั่วไปมาเป็นข้อต่อสู้ซึ่งจะทำให้ศาลไทยไม่มีเขตอำนาจใน การพิจารณาพิพากษาคดีดังกล่าว แต่เนื่องจากในปัจจุบันประเทศไทยยังไม่มีกฎหมายที่บัญญัติใน เรื่องความคุ้มกันของรัฐต่างประเทศไว้โดยตรง อีกทั้งไม่เคยปรากฏคำพิพากษาที่วางแนวทางเกี่ยวกับ เรื่องนี้จึงมีความจำเป็นเร่งด่วนที่จะต้องผลักดันให้มีกฎหมายนี้มาใช้บังคับในเร็ววัน เพื่อให้เกิดความชัด เจนในหลักเกณฑ์ที่จะนำมาปรับใช้กับปัญหาดังกล่าว และเกิดความเป็นธรรมแก่เอกชนที่ติดต่อสัมพันธ์กับรัฐ ต่างประเทศทั้งนี้ ในการดำเนินงานยกร่างกฎหมายดังกล่าว จำเป็นต้องอาศัยความรู้ความสามารถของ ผู้ทรงคุณวุฒิและผู้แทนจากหน่วยงานต่าง ๆ จึงอนุมัติให้ตั้งคณะกรรมการเพื่อศึกษาและพิจารณายกร่างกฎ หมายเกี่ยวกับความคุ้มกันของรัฐต่างประเทศจากอำนาจศาลไทย (State Immunity) อันประกอบด้วย
นายอรุณ ภาณุพงศ์ เป็นประธาน ปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นรองประธาน นายชาญณรงค์ ปราณีจิตต์ เป็นกรรมการและเลขานุการและกรรมการอื่นอีก 26 คน โดยมีอำนาจหน้าที่ศึกษาพิจารณา และเสนอ แนวทางในการยกร่างกฎหมายเกี่ยวกับความคุ้มกันของรัฐต่างประเทศ(State Immunity) และกฎ หมายที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งยกร่างกฎหมายเกี่ยวกับความคุ้มกันของรัฐต่างประเทศ (StateImmunity) และปรับปรุงแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้อง และให้มีอำนาจแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อดำเนินการในอำนาจ หน้าที่ได้ตามความเหมาะสม
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดนายบรรหาร ศิลปอาชา)--วันที่ 21 พฤศจิกายน 2538--