ทำเนียบรัฐบาล--8 ก.พ.--บิสนิวส์
คณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบในร่างอนุสัญญาเพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้อนระหว่างประเทศไทย-สาธารณรัฐแอฟริกาใต้ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และอนุมัติให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการทางการทูตเพื่อให้มีการลงนามอย่างเป็นทางการและมีการแจ้งดังกล่าวระหว่างกันต่อไป สาระสำคัญของอนุสัญญา ฯ มีดังนี้
1. ขอบข่ายของอนุสัญญา ฯ อนุสัญญานี้จะใช้กับผู้มีถิ่นที่อยู่ในประเทศไทยหรือสาธารณรัฐแอฟริกาใต้หรือทั้งสองประเทศ และจะใช้บังคับกับภาษีเก็บจากฐานเงินได้
2. วิธีขจัดภาษีซ้อน ประเทศไทยจะยอมให้นำภาษีแอฟริกาใต้ที่เสียไว้แล้ว มาหักออกจากภาษีที่ต้องชำระในประเทศไทย และสาธารณรัฐแอฟริกาใต้จะยอมให้นำภาษีไทยที่เสียไว้แล้ว มาหักออกจากภาษีที่ต้องชำระในสาธารณรัฐแอฟริกาใต้ โดยมีมาตรการ Tax Sparing Credit ด้วย
3. การเก็บภาษีจากกำไรธุรกิจ ประเทศที่มีการจ่ายเงินได้จะเก็บภาษีจากผู้รับเงินได้ ซึ่งเป็นวิสาหกิจของอีกประเทศหนึ่งได้ต่อเมื่อวิสาหกิจนั้นดำเนินธุรกิจผ่านสถานประกอบการถาวรในประเทศที่มีการจ่ายเงินได้นั้น
4. การเก็บภาษีจากการขนส่งระหว่างประเทศ เงินได้จากการขนส่งทางอากาศระหว่างประเทศของวิสาหกิจของอีกประเทศหนึ่งได้ต่อเมื่อวิสาหกิจนั้นดำเนินธุรกิจผ่านสถานประกอบการถาวรในประเทศที่มีการจ่ายเงินได้นั้น
5. การเก็บภาษีจากทรัพย์สิน กรณีเงินปันผล ดอกเบี้ย และค่าสิทธิจะได้รับการลดอัตราภาษีลงในประเทศผู้จ่ายตามที่อนุสัญญาฯกำหนดไว้กรณีค่าเช่าอสังหาริมทรัพย์และผลได้จากการจำหน่ายทรัพย์สินให้เก็บภาษีได้ในประเทศที่ทรัพย์สินตั้งอยู่ เว้นแต่ ผลได้จากการจำหน่ายเรือหรืออากาศยานที่ใช้ในการขนส่งระหว่างประเทศให้เก็บภาษีได้เฉพาะในประเทศที่ผู้จำหน่ายมีถิ่นที่อยู่
6. การเก็บภาษีจากค่าตอบแทนจากการให้บริการ หากมีการให้บริการในประเทศใดให้ประเทศนั้นมีสิทธิเก็บภาษีได้ แต่อาจได้รับยกเว้นภาษีตามเงื่อนไขที่อนุสัญญา ฯ กำหนดไว้
7. บทบัญญัติพิเศษอื่น ๆ มีการบัญญัติขึ้นเพื่อมิให้เกิดการเลือกปฏิบัติระหว่างคนชาติ และได้มีการประสานงานเพื่อประโยชน์ในการบริหารจัดเก็บภาษีของประเทศคู่สัญญา
8. การเริ่มใช้และการเลิกใช้อนุสัญญา ฯ เมื่อประเทศคู่สัญญาได้ดำเนินการตามแบบพิธีที่มีอยู่ตามกฎหมายภายในของตนในอันที่จะให้อนุสัญญา ฯ มีผลบังคับ และได้บอกกล่าวโดยวิธีทางการทูตให้ประเทศคู่สัญญาของตนทราบถึงการดำเนินการดังกล่าวแล้ว อนุสัญญา ฯ จะมีผลบังคับได้โดยในส่วนของภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่ายนั้นจะใช้บังคับกับเงินได้ที่จ่ายในหรือหลังจากวันแรกของเดือนมกราคมถัดจากปีที่อนุสัญญานี้ใช้บังคับ สำหรับการเลิกใช้นั้นประเทศคู่สัญญาสามารถแจ้งการเลิกใช้ด้วยวิธีทางการทูตภายหลังที่อนุสัญญานี้ใช้บังคับแล้ว 5 ปี โดยแจ้งภายในระยะเวลาที่กำหนดไว้ และจะมีผลเลิกใช้กับเงินได้ที่เกิดขึ้นในปีภาษีหรือกรอบระยะเวลาบัญชีในปีถัดจากปีที่มีการแจ้งการบอกเลิก
ทั้งนี้ การมีอนุสัญญา ฯ นี้จะก่อให้เกิดประโยชน์กับประเทศไทย คือ
1. ช่วยขจัดหรือบรรเท่าภาระภาษีซ้ำซ้อนอันเป็นอุปสรรคของการลงทุนระหว่างประเทศให้หมดไปในระดับหนึ่ง ทำให้ภาระภาษีซึ่งถือเป็นต้นทุนอย่างหนึ่งของนักลงทุนลดต่ำลงด้วย
2. จะทำให้เกิดหลักประกันในการเสียภาษีทีแน่นอนและชัดเจน
3. ช่วยส่งเสริมให้เกิดการเคลื่อนย้ายเงินทุนและเทคโนโลยีระหว่างประเทศมากยิ่งขึ้น
4. ช่วยส่งเสริมความสัมพันธ์ทางการค้า และส่งเสริมธุรกิจการท่องเที่ยวกับกระชับความสัมพันธ์ทางการทูตอีกทางหนึ่ง
5. เพิ่มศักยภาพให้กับประเทศไทยในการแข่งขันกับประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาคเดียวกันให้เพิ่มมากขึ้น
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดนายชวน หลีกภัย)--วันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2538--
คณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบในร่างอนุสัญญาเพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้อนระหว่างประเทศไทย-สาธารณรัฐแอฟริกาใต้ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และอนุมัติให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการทางการทูตเพื่อให้มีการลงนามอย่างเป็นทางการและมีการแจ้งดังกล่าวระหว่างกันต่อไป สาระสำคัญของอนุสัญญา ฯ มีดังนี้
1. ขอบข่ายของอนุสัญญา ฯ อนุสัญญานี้จะใช้กับผู้มีถิ่นที่อยู่ในประเทศไทยหรือสาธารณรัฐแอฟริกาใต้หรือทั้งสองประเทศ และจะใช้บังคับกับภาษีเก็บจากฐานเงินได้
2. วิธีขจัดภาษีซ้อน ประเทศไทยจะยอมให้นำภาษีแอฟริกาใต้ที่เสียไว้แล้ว มาหักออกจากภาษีที่ต้องชำระในประเทศไทย และสาธารณรัฐแอฟริกาใต้จะยอมให้นำภาษีไทยที่เสียไว้แล้ว มาหักออกจากภาษีที่ต้องชำระในสาธารณรัฐแอฟริกาใต้ โดยมีมาตรการ Tax Sparing Credit ด้วย
3. การเก็บภาษีจากกำไรธุรกิจ ประเทศที่มีการจ่ายเงินได้จะเก็บภาษีจากผู้รับเงินได้ ซึ่งเป็นวิสาหกิจของอีกประเทศหนึ่งได้ต่อเมื่อวิสาหกิจนั้นดำเนินธุรกิจผ่านสถานประกอบการถาวรในประเทศที่มีการจ่ายเงินได้นั้น
4. การเก็บภาษีจากการขนส่งระหว่างประเทศ เงินได้จากการขนส่งทางอากาศระหว่างประเทศของวิสาหกิจของอีกประเทศหนึ่งได้ต่อเมื่อวิสาหกิจนั้นดำเนินธุรกิจผ่านสถานประกอบการถาวรในประเทศที่มีการจ่ายเงินได้นั้น
5. การเก็บภาษีจากทรัพย์สิน กรณีเงินปันผล ดอกเบี้ย และค่าสิทธิจะได้รับการลดอัตราภาษีลงในประเทศผู้จ่ายตามที่อนุสัญญาฯกำหนดไว้กรณีค่าเช่าอสังหาริมทรัพย์และผลได้จากการจำหน่ายทรัพย์สินให้เก็บภาษีได้ในประเทศที่ทรัพย์สินตั้งอยู่ เว้นแต่ ผลได้จากการจำหน่ายเรือหรืออากาศยานที่ใช้ในการขนส่งระหว่างประเทศให้เก็บภาษีได้เฉพาะในประเทศที่ผู้จำหน่ายมีถิ่นที่อยู่
6. การเก็บภาษีจากค่าตอบแทนจากการให้บริการ หากมีการให้บริการในประเทศใดให้ประเทศนั้นมีสิทธิเก็บภาษีได้ แต่อาจได้รับยกเว้นภาษีตามเงื่อนไขที่อนุสัญญา ฯ กำหนดไว้
7. บทบัญญัติพิเศษอื่น ๆ มีการบัญญัติขึ้นเพื่อมิให้เกิดการเลือกปฏิบัติระหว่างคนชาติ และได้มีการประสานงานเพื่อประโยชน์ในการบริหารจัดเก็บภาษีของประเทศคู่สัญญา
8. การเริ่มใช้และการเลิกใช้อนุสัญญา ฯ เมื่อประเทศคู่สัญญาได้ดำเนินการตามแบบพิธีที่มีอยู่ตามกฎหมายภายในของตนในอันที่จะให้อนุสัญญา ฯ มีผลบังคับ และได้บอกกล่าวโดยวิธีทางการทูตให้ประเทศคู่สัญญาของตนทราบถึงการดำเนินการดังกล่าวแล้ว อนุสัญญา ฯ จะมีผลบังคับได้โดยในส่วนของภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่ายนั้นจะใช้บังคับกับเงินได้ที่จ่ายในหรือหลังจากวันแรกของเดือนมกราคมถัดจากปีที่อนุสัญญานี้ใช้บังคับ สำหรับการเลิกใช้นั้นประเทศคู่สัญญาสามารถแจ้งการเลิกใช้ด้วยวิธีทางการทูตภายหลังที่อนุสัญญานี้ใช้บังคับแล้ว 5 ปี โดยแจ้งภายในระยะเวลาที่กำหนดไว้ และจะมีผลเลิกใช้กับเงินได้ที่เกิดขึ้นในปีภาษีหรือกรอบระยะเวลาบัญชีในปีถัดจากปีที่มีการแจ้งการบอกเลิก
ทั้งนี้ การมีอนุสัญญา ฯ นี้จะก่อให้เกิดประโยชน์กับประเทศไทย คือ
1. ช่วยขจัดหรือบรรเท่าภาระภาษีซ้ำซ้อนอันเป็นอุปสรรคของการลงทุนระหว่างประเทศให้หมดไปในระดับหนึ่ง ทำให้ภาระภาษีซึ่งถือเป็นต้นทุนอย่างหนึ่งของนักลงทุนลดต่ำลงด้วย
2. จะทำให้เกิดหลักประกันในการเสียภาษีทีแน่นอนและชัดเจน
3. ช่วยส่งเสริมให้เกิดการเคลื่อนย้ายเงินทุนและเทคโนโลยีระหว่างประเทศมากยิ่งขึ้น
4. ช่วยส่งเสริมความสัมพันธ์ทางการค้า และส่งเสริมธุรกิจการท่องเที่ยวกับกระชับความสัมพันธ์ทางการทูตอีกทางหนึ่ง
5. เพิ่มศักยภาพให้กับประเทศไทยในการแข่งขันกับประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาคเดียวกันให้เพิ่มมากขึ้น
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดนายชวน หลีกภัย)--วันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2538--