ทำเนียบรัฐบาล-- 25 มี.ค.--บิสนิวส์
คณะรัฐมนตรีเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. .... ที่ผ่านการตรวจพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาแล้ว ตามที่สำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร ก่อนนำเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป
ทั้งนี้ เนื่องจากการฟอกเงินเป็นอาชญากรรมที่กระทำเพื่อปกปิดหรือเปลี่ยนสภาพทรัพย์สินที่ได้รับมาจากการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด อันเป็นผลให้ผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดใช้ทรัพย์สินดังกล่าวในการขยายการลักลอบค้ายาเสพติดให้กว้างขวางออกไป ซึ่งก่อให้เกิดการแพร่ระบาดของยาเสพติด อีกทั้งเป็นมูลฐานของการประกอบอาชญากรรมประเภทต่าง ๆ อีกด้วย ดังนั้น เพื่อความสงบเรียบร้อยทั้งทางสังคมและทางเศรษฐกิจ จำเป็นต้องปราบปรามการฟอกเงินเพื่อมิให้ผู้กระทำความผิดสามารถมีและใช้ประโยชน์จากทรัพย์สินเหล่านั้นได้ ทั้งนี้ โดยกำหนดมาตรการต่าง ๆ ทางกฎหมายเพื่อให้สามารถปราบปรามการฟอกเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งเพื่อให้สอดคล้องกับอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านการลักลอบค้ายาเสพติดและวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท ค.ศ. 1988
ร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวมีสาระสำคัญ ดังนี้
1. กำหนดชื่อร่างพระราชบัญญัติใหม่เป็น "ร่างพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. ....
2. กำหนดให้พระราชบัญญัติฉบับนี้มีผลใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนดเก้าสิบวันนับแต่วันประกาศในราชกิจจา-นุเบกษา
3. กำหนดให้มีคณะกรรมการขึ้น 2 ชุด ได้แก่ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินซึ่งเป็นคณะกรรมการนโยบายและกำกับดูแล และคณะกรรมการธุรกรรมซึ่งเป็นคณะกรรมการปฏิบัติการ
4. กำหนดความผิดฐานฟอกเงินและกำหนดความผิดที่เกี่ยวข้อง
5. กำหนดให้มีสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินขึ้น โดยมีอำนาจหน้าที่หลักในการดำเนินการตามมติของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน และคณะกรรมการธุรกรรมและปฏิบัติงานธุรการอื่น ๆ ปฏิบัติงานสนับสนุนการดำเนินการตามพระราชบัญญัตินี้ รวมทั้งการปฏิบัติตามกฎหมายอื่น
6. ในส่วนที่เกี่ยวกับบทบัญญัติว่าด้วยการดำเนินการเกี่ยวกับทรัพย์สิน ได้กำหนดให้ผู้ทำธุรกรรมซึ่งถูกสั่งยึดหรืออายัดทรัพย์สิน มีโอกาสแสดงหลักฐานว่าเงินหรือทรัพย์สินในการทำธุรกรรมนั้นมิใช่ทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดเพื่อขอให้เพิกถอนคำสั่งยึดหรืออายัด ให้มีการประกาศหรือแจ้งให้ผู้ที่อาจอ้างว่าเป็นเจ้าของทรัพย์สินมายื่นคำร้องขอเข้ามาในคดีได้ เมื่อมีการยื่นคำร้องต่อศาลของพนักงานอัยการเพื่อมีคำสั่งให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดิน กำหนดให้มีการขอคืนทรัพย์สินภายหลังที่ศาลมีคำสั่งไปแล้วได้ กำหนดให้พนักงานอัยการสามารถยื่นคำร้องขอให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดินได้ เมื่อมีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นหลังจากที่ศาลมีคำสั่งแล้ว และกำหนดวิธีการยึดหรืออายัดและการเก็บรักษาทรัพย์สินที่กรรมการธุรกรรมหรือเลขาธิการสั่งยึดหรืออายัดตามมาตรา 43 และกำหนดให้มีการดำเนินการเกี่ยวกับทรัพย์สินตามกฎหมายว่าด้วยมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด และให้การดำเนินการทางศาลตามหมวดนี้ให้ยื่นต่อศาลแพ่งเพื่อให้เกิดความชัดเจนในการแยกคดีฟ้องร้องผู้กระทำความผิดฐานฟอกเงินออกจากการร้องขอต่อศาลเพื่อมีคำสั่งให้ทรัพย์สินในการฟอกเงินนั้นตกเป็นของแผ่นดิน รวมทั้งกำหนดให้พนักงานอัยการได้รับยกเว้นค่าฤชาธรรมเนียมทั้งปวง
7. กำหนดโทษสำหรับนิติบุคคลให้มีโทษปรับสถานเดียว กำหนดโทษสำหรับการแจ้งเท็จหรือการปกปิดข้อความที่ต้องแจ้งเพิ่มขึ้น และกำหนดโทษผู้ที่กระทำการทำลายหลักฐาน เอกสารหรือบันทึก ข้อมูล หรือทรัพย์สินที่เจ้าพนักงานยึดหรืออายัดไว้
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ)--วันที่ 25 มีนาคม 2540--
คณะรัฐมนตรีเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. .... ที่ผ่านการตรวจพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาแล้ว ตามที่สำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร ก่อนนำเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป
ทั้งนี้ เนื่องจากการฟอกเงินเป็นอาชญากรรมที่กระทำเพื่อปกปิดหรือเปลี่ยนสภาพทรัพย์สินที่ได้รับมาจากการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด อันเป็นผลให้ผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดใช้ทรัพย์สินดังกล่าวในการขยายการลักลอบค้ายาเสพติดให้กว้างขวางออกไป ซึ่งก่อให้เกิดการแพร่ระบาดของยาเสพติด อีกทั้งเป็นมูลฐานของการประกอบอาชญากรรมประเภทต่าง ๆ อีกด้วย ดังนั้น เพื่อความสงบเรียบร้อยทั้งทางสังคมและทางเศรษฐกิจ จำเป็นต้องปราบปรามการฟอกเงินเพื่อมิให้ผู้กระทำความผิดสามารถมีและใช้ประโยชน์จากทรัพย์สินเหล่านั้นได้ ทั้งนี้ โดยกำหนดมาตรการต่าง ๆ ทางกฎหมายเพื่อให้สามารถปราบปรามการฟอกเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งเพื่อให้สอดคล้องกับอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านการลักลอบค้ายาเสพติดและวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท ค.ศ. 1988
ร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวมีสาระสำคัญ ดังนี้
1. กำหนดชื่อร่างพระราชบัญญัติใหม่เป็น "ร่างพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. ....
2. กำหนดให้พระราชบัญญัติฉบับนี้มีผลใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนดเก้าสิบวันนับแต่วันประกาศในราชกิจจา-นุเบกษา
3. กำหนดให้มีคณะกรรมการขึ้น 2 ชุด ได้แก่ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินซึ่งเป็นคณะกรรมการนโยบายและกำกับดูแล และคณะกรรมการธุรกรรมซึ่งเป็นคณะกรรมการปฏิบัติการ
4. กำหนดความผิดฐานฟอกเงินและกำหนดความผิดที่เกี่ยวข้อง
5. กำหนดให้มีสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินขึ้น โดยมีอำนาจหน้าที่หลักในการดำเนินการตามมติของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน และคณะกรรมการธุรกรรมและปฏิบัติงานธุรการอื่น ๆ ปฏิบัติงานสนับสนุนการดำเนินการตามพระราชบัญญัตินี้ รวมทั้งการปฏิบัติตามกฎหมายอื่น
6. ในส่วนที่เกี่ยวกับบทบัญญัติว่าด้วยการดำเนินการเกี่ยวกับทรัพย์สิน ได้กำหนดให้ผู้ทำธุรกรรมซึ่งถูกสั่งยึดหรืออายัดทรัพย์สิน มีโอกาสแสดงหลักฐานว่าเงินหรือทรัพย์สินในการทำธุรกรรมนั้นมิใช่ทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดเพื่อขอให้เพิกถอนคำสั่งยึดหรืออายัด ให้มีการประกาศหรือแจ้งให้ผู้ที่อาจอ้างว่าเป็นเจ้าของทรัพย์สินมายื่นคำร้องขอเข้ามาในคดีได้ เมื่อมีการยื่นคำร้องต่อศาลของพนักงานอัยการเพื่อมีคำสั่งให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดิน กำหนดให้มีการขอคืนทรัพย์สินภายหลังที่ศาลมีคำสั่งไปแล้วได้ กำหนดให้พนักงานอัยการสามารถยื่นคำร้องขอให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดินได้ เมื่อมีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นหลังจากที่ศาลมีคำสั่งแล้ว และกำหนดวิธีการยึดหรืออายัดและการเก็บรักษาทรัพย์สินที่กรรมการธุรกรรมหรือเลขาธิการสั่งยึดหรืออายัดตามมาตรา 43 และกำหนดให้มีการดำเนินการเกี่ยวกับทรัพย์สินตามกฎหมายว่าด้วยมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด และให้การดำเนินการทางศาลตามหมวดนี้ให้ยื่นต่อศาลแพ่งเพื่อให้เกิดความชัดเจนในการแยกคดีฟ้องร้องผู้กระทำความผิดฐานฟอกเงินออกจากการร้องขอต่อศาลเพื่อมีคำสั่งให้ทรัพย์สินในการฟอกเงินนั้นตกเป็นของแผ่นดิน รวมทั้งกำหนดให้พนักงานอัยการได้รับยกเว้นค่าฤชาธรรมเนียมทั้งปวง
7. กำหนดโทษสำหรับนิติบุคคลให้มีโทษปรับสถานเดียว กำหนดโทษสำหรับการแจ้งเท็จหรือการปกปิดข้อความที่ต้องแจ้งเพิ่มขึ้น และกำหนดโทษผู้ที่กระทำการทำลายหลักฐาน เอกสารหรือบันทึก ข้อมูล หรือทรัพย์สินที่เจ้าพนักงานยึดหรืออายัดไว้
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ)--วันที่ 25 มีนาคม 2540--