ทำเนียบรัฐบาล--26 พ.ค.--บิสนิวส์
คณะรัฐมนตรีอนุมัติในหลักการและเงื่อนไขการขอรับความช่วยเหลือทางวิชาการและการเงินจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ ฉบับที่ 4 ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ซึ่งได้มีการปรับปรุงภาพรวมและนโยบายเศรษฐกิจมหภาค การปฏิรูประบบสถาบันการเงินการสนับสนุนและฟื้นฟูภาคการผลิต และการสร้างความโปร่งใสในนโยบายเศรษฐกิจ และมอบหมายให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย เป็นผู้ลงนามในหนังสือแจ้งความจำนงฯ ฉบับที่ 4 เพื่อจะได้จัดส่งให้กองทุนการเงินระหว่างประเทศพิจารณาอนุมัติความช่วยเหลือด้านการเงินงวดต่อไป โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้
1. ภาพรวมและนโยบายเศรษฐกิจมหภาค
รัฐบาลได้ประเมินภาวะเศรษฐกิจใหม่ เนื่องจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจมากกว่าที่ได้คาดการณ์ โดยได้ปรับตัวเลขภาพรวมเศรษฐกิจในปี 2541 ที่สำคัญ ได้แก่ การปรับอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจจากติดลบร้อยละ 3 ถึง 3.5 เป็นติดลบร้อยละ 4 ถึง 5.5 การปรับตัวเลขอัตราเงินเฟ้อจากร้อยละ 11.6 เป็นร้อยละ 10.5 การปรับตัวเลขของดุลบัญชีเดินสะพัดจากเกินดุล 4.4 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือเท่ากับร้อยละ 3.9 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ เป็นเกินดุล 8.5 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือเทียบเท่ากับร้อยละ 6.9 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ สำหรับตัวเลขทุนสำรองระหว่างประเทศได้ปรับเพิ่มขึ้นจากระดับ 23 ถึง 25 พันล้านเหรียญสหรัฐฯเป็น 26 ถึง 28 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ
1.1 นโยบายการเงินและอัตราแลกเปลี่ยน
การปรับตัวของอัตราแลกเปลี่ยนที่มีเสถียรภาพมากขึ้นตั้งแต่ช่วงเดือนมกราคม 2541 ประกอบกับการที่ทุนสำรองระหว่างประเทศเพิ่มขึ้นในระดับที่มีเสถียรภาพ ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยข้ามวันอาจสามารถปรับลดลงได้แต่จะต้องดำเนินการอย่างระมัดระวัง เพื่อเป็นการเสริมสภาพคล่องให้กับภาคธุรกิจ ทั้งนี้ รัฐบาลจะยังคงให้ความสำคัญกับเสถียภาพของอัตราแลกเปลี่ยนเป็นอันดับแรก และพร้อมที่จะใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดขึ้นหากอัตราแลกเปลี่ยนขาดเสถียรภาพอีก
นอกจากนี้ รัฐบาลมีนโยบายในการนำรายได้ส่วนหนึ่งจากการออกพันธบัตรรัฐบาลมาใช้เป็นค่าใช้จ่ายในการเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับสถาบันการเงินเฉพาะกิจ เพื่อให้สถาบันการเงินดังกล่าวสามารถมีส่วนร่วมในการเสริมสภาพคล่องให้กับภาคธุรกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งธุรกิจส่งออก
1.2 นโยบายการคลัง
รัฐบาลได้ดำเนินมาตรการการคลังอย่างเข้มงวดมาโดยตลอด แต่การชะลอตัวของเศรษฐกิจในระยะที่ผ่านมาคาดว่าจะส่งผลให้การจัดเก็บรายได้ของรัฐบาลต่ำกว่าที่ได้เคยประมาณการไว้ นอกจากนี้ รัฐบาลเล็งเห็นความสำคัญของผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อสังคมและแรงงานจากวิกฤตการณ์เศรษฐกิจในปัจจุบัน จึงได้จัดสรรงบประมาณเพิ่มเติมให้กับดครงการเพื่อบรรเทาผลกระทบต่อสังคมและแรงงาน การลดลงของรายได้และการเพิ่มขึ้นของรายจ่ายด้านสังคมจะส่งผลให้ฐานะการคลังของรัฐบาลในปี 2541 ขาดดุลเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 2 เป็นร้อยละ 3 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ โดยแยกเป็นการขาดดุลของรัฐบาลกลางร้อยละ 2.4 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ และการขาดดุลของรัฐวิสาหกิจร้อยละ 0.6 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ
สำหรับฐานะการคลังในปีงบประมาณ 2542 รัฐบาลและกองทุนการเงินระหว่างประเทศคาดว่าเศรษฐกิจจะมีการฟื้นตัว ซึ่งจะส่งผลให้ฐานะการคลังขาดดุลลดลงเหลือร้อยละ 2.5 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ โดยแยกเป็นกาารขาดดุลของรัฐบาลกลางร้อยละ 1.5 ซึ่งการขาดดุลดังกล่าวรัฐบาลได้รวมค่าใช้จ่ายในการแก้ไขปัญหาระบบสถาบันการเงินไว้เรียบร้อยแล้ว และการขาดดุลของรัฐวิสาหกิจร้อยละ 1 ทั้งนี้ การคาดการณ์ดังกล่าวจะมีการทบทวนอีกครั้งในช่วงเดือนสิงหาคม 2541
1.3 นโยบายด้านต่างประเทศ
รัฐบาลจะรักษาระดับทุนสำรองระหว่างประเทศให้ได้ตามเป้าหมายที่ได้ตกลงไว้กับกองทุนการเงินระหว่างประเทศ โดยคาดว่าระดับของทุนสำรองระหว่างประเทศ ณ สิ้นปี 2541 จะสูงกว่าการประเมินครั้งที่แล้ว ในขณะที่ดุลบัญชีเดินสะพัดได้มีการเกินดุลอย่างต่อเนื่อง และคาดการณ์ว่าดุลบัญชีเดินสะพัดจะเกินดุลสูงถึง 8.5 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือเทียบเท่าร้อยละ 6.9 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ ณ สิ้นปี 2541 ซึ่งสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ในการประเมินครั้งที่แล้วอย่างมาก นอกจากนี้ รัฐบาลยังมีนโยบายที่จะออกพันธบัตรรัฐบาลเพื่อจำหน่ายในต่างประเทศในเร็ววันนี้อีกด้วย
2. การปฏิรูประบบสถาบันการเงิน
2.1 การเสริมสร้างความแข็งแกร่งของระบบธนาคารพาณิชย์
รัฐบาลจะดำเนินการอย่างต่อเนื่องในการให้สถาบันการเงินทั้งหมดต้องเพิ่มทุนตามเกณฑ์การจัดชั้นสินเชื่อและกันสำรองตามมาตรฐานที่เข้มงวดขึ้น ซึ่งได้ประกาศไปแล้วเมื่อปลายเดือนมีนาคม 2541 ปรากฏว่าธนาคารพาณิชย์ใหญ่หลายแห่งประสบความสำเร็จในการเพิ่ทุนแล้ว และธนาคารขนาดเล็กลงมาอยู่ในขั้นตอนในการตกลงกับผู้ร่วมทุนต่างชาติ ซึ่งตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2540เป็นต้นมา ได้มีเงินทุนไหลเข้ามาในระบบเพื่อการนี้ประมาณ 3 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยส่วนใหญ่จะมาจากนักลงทุนต่างประเทศ
สำหรับธนาคารพาณิชย์ที่รัฐบาลเข้าแทรกแซงทั้ง 4 แห่ง ยังคงดำเนินการตามปกติภายใต้การกำกับดูแลที่เข้มงวดของธนาคารแห่งประเทศไทย นอกจากนี้แล้ว รัฐบาลกำลังพัฒนาแนวทางที่จะแก้ปัญหา และการแปรรูปโดยได้มีการว่าจ้างสถาบันการเงินวาณิชธนกิจเป็นที่ปรึกษาดำเนินการเสนอแนวทางแก้ไขปัญหาที่มีค่าใช้จ่ายน้อยที่สุด โดยคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในกลางปี 2541และรัฐบาลจะดำเนินการปฏิบัติตามแนวทางที่เหมาะสมให้แล้วเสร็จภายในเดือนกรกฎาคม 2541
2.2 แนวทางในการเสริมสร้างความแข็งแกร่งสำหรับสถาบันการเงินที่เปิดดำเนินกิจการอยู่
บริษัทเงินทุน 35 แห่ง ที่ยังเปิดดำเนินการอยู่ถูกจัดอยู่ในแผนการเพิ่มทุน การจัดชั้นสินเชื่อ และการกันสำรองเช่นเดียวกับธนาคารพาณิชย์ ซึ่งบางบริษัทได้ดำเนินการบ้างแล้ว แต่อย่างไรก็ตามยังมีอีกหลายบริษัทที่ต้องมีการควบกิจการ ซึ่งเมื่อวันที่ 18พฤษภาคม 2541 รัฐบาลได้เข้าแทรกแซงบริษัทเงินทุนอีก 7 แห่ง ที่ไม่สามารถดำเนินการเพิ่มทุนได้ โดยมีบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์กรุงไทยธนกิจ จำกัด (มหาชน) เป็นแกนนำในการควบกิจการ นโยบายการควบกิจการนี้จะถูกใช้กับบริษัทเงินทุนอื่น ๆ ที่ไม่สามารถดำเนินการได้ตามบันทึกความเข้าใจกับธนาคารแห่งประเทศไทย
นอกจากนี้ รัฐบาลจะเพิ่มบทบาทของสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐให้มีส่วนในการเพิ่มวงเงินสินเชื่อในระบบเศรษฐกิจมากขึ้น โดยอยู่ภายใต้การควบคุมดูแลที่เหมาะสมจากภาครัฐ และจะมีการเสนอแนวทางการปฏิบัติของสถาบันการเงินเหล่านี้ภายใต้ความช่วยเหลือจากธนาคารโลก
2.3 การจำหน่ายจ่ายโอนสินทรัพย์ของบริษัทเงินทุน 56 แห่งที่ถูกปิดกิจการ
องค์การเพื่อการปฏิรูประบบสถาบันการเงิน (ปรส.) ได้ดำเนินการจัดระเบียบและกฎเกณฑ์การประมูลเสร็จแล้วภายใต้ความช่วยเหลือของธนาคารโลก ซึ่งที่ผ่านมาได้มีความคืบหน้าในการจำหน่ายสินทรัพย์บางส่วนไปแล้วจำนวนมาก และจะได้มีการดำเนินการประมูลลูกหนี้เช่าซื้อและลูกหนี้สินเชื่อต่อไป โดยในเบื้องต้นคาดว่าจะมีมูลค่าในชั้นแรกไม่น้อยกว่า 1.2 พันล้านเหรียญสหรัฐฯและมีการจ้างตัวแทนวาณิชธนกิจทำการตลาดเพื่อที่จะดึงดูดความสนใจของนักลงทุนทั้งจากสถาบันการเงินที่ดำเนินกิจการในเมืองไทย รวมไปถึงกิจการวิเทศธนกิจ นอกจากนี้แล้ว จะมีการแก้ไขกฎหมายที่เป็นอุปสรรคต่อการโอนสินทรัพย์โดยจะออกเป็นพระราชกำหนดภายในเดือนพฤษภาคม 2541
ในส่วนของการจัดองค์กรและขั้นตอนการทำงานของบรรษัทบริหารสินทรัพย์สถาบันการเงิน (บบส.) สามารถสรุปได้ว่ามีความคืบหน้า โดยสามารถเพิ่มทุนเป็น 1 หมื่นล้านบาทได้ นอกจากนี้แล้ว บบส. และธนาคารรัตนสินจะดำเนินการกำหนดหลักเกณฑ์ในการเข้าประมูลและจัดหาแหล่งเงินทุน นอกจากนี้ เพื่อให้เกิดความมีประสิทธิภาพและเป็นที่ยอมรับในกระบวนการประมูลสินทรัพย์ รัฐบาลจะให้บุคคลที่สามทบทวนขั้นตอนที่เกี่ยวข้องกับการประมูลของ ปรส./บบส./รัตนสิน โดยคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในเดือนกันยายน 2541
2.4 นโยบายและการดำเนินงานของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน
รัฐบาลได้ตัดสินใจรับภาระความเสียหายที่ผ่านมาทั้งหมดของกองทุนฟื้นฟูฯ โดยการแปลงหนี้ของกองทุนฟื้นฟูเป็นหนี้ของรัฐบาล ซึ่งรัฐบาลจะออกพันธบัตรรัฐบาลจำนวน 500,000 ล้านบาท ในปี 2541/42 โดยดอกเบี้ยจะมาจากงบประมาณประจำปีและการชำระคืนต้นเงินส่วนหนึ่งจะจัดสรรจากกำไรในอนาคตของธนาคารแห่งประเทศไทยในอัตราร้อยละ 90 ของกำไรดังกล่าว และอีกส่วนหนึ่งจะจัดสรรจากรายได้จากการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ โดยกระทรวงการคลังกำลังทำการศึกษาถึงรายละเอียดของการออกพันธบัตรนี้ซึ่งคาดหวังว่าจะเป็นการแยกภาระการกู้เงินของกองทุนฟื้นฟูฯ ให้ออกจากการจัดการอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นของธนาคารแห่งประเทศไทยและในอนาคตกองทุนฟื้นฟูฯ จะกลายเป็นผู้ให้กู้แหล่งสุดท้ายแก่สถาบันการเงิน ซึ่งจะคิดอัตราดอกเบี้ยสูงที่สุดในระบบการเงินสำหรับการปล่อยกู้รายใหม่ นอกจากนี้ รัฐบาลให้ความสำคัญอย่างมากในการเร่งจัดทำกลไกประกันเงินฝากเพื่อนำมาใช้แทนการค้ำประกันผู้ฝากเงินและเจ้าหน้าที่ในปัจจุบันของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน
2.5 การปรับปรุงระบบกำกับและตรวจสอบสถาบันการเงิน
สำหรับมาตรการในการกำกับและควบคุมดูแลสถาบันการเงินนั้น ธนาคารแห่งประเทศไทยจะให้ความสำคัญกับมูลค่าสินเชื่อและความเพียงพอของเงินกองทุนของสถาบันการเงิน โดยธนาคารแห่งประเทศไทยได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจกับธนาคารพาณิชย์และบริษัทเงินทุนที่มีเงินทุนไม่เพียงพอ นอกจากนี้ ธนาคารแห่งประเทศไทยจะให้สถาบันการเงินทุกแห่งลงนามในบันทึกความเข้าใจเกี่ยวกับการเพิ่มทุนใหม่เป็นระยะ ๆ เพื่อให้สอดคล้องกับกฎเกณฑ์การกันสำรองตามมาตรฐานสากลที่จะมีการบังคับใช้อย่างเป็นขั้นตอนและแล้วเสร็จภายในปี 2543สำหรับสินเชื่อด้อยคุณภาพที่จะต้องได้รับการปรับโครงสร้างใหม่ ก็มีความจำเป็นที่จะต้องมีแผนรายละเอียดแนวทางปฏิบัติเพื่อที่จะทำให้เกณฑ์การจัดชั้นสินเชื่อและการกันสำรองใหม่มีประสิทธิภาพ และสร้างแรงจูงใจต่อสถาบันการเงินในการปรับโครงสร้างสินเชื่อ แนวทางปฏิบัตินี้จะมีความเป็นมาตรฐานสากล ซึ่งมีความสำคัญต่อการหมุนเวียนของสินเชื่อในระบบการเงินอย่างยิ่งโดยเฉพาะในขณะที่ผู้ขอสินเชื่อไทยยังคงประสบความยากลำบากในวิกฤตการณ์นี้ โดยรัฐบาลไทยคาดว่าแนวทางปฏิบัตินี้จะเริ่มในเดือนพฤษภาคม 2541 นอกจากนี้ จะมีการนำแนวทางในการประเมินมูลค่าหลักประกันมาใช้ในสิ้นเดือนมิถุนายน 2541
รัฐบาลกำลังทบทวนกฎหมายด้านการธนาคารและสถาบันการเงิน เพื่อที่จะนำไปสู่การปฏิรูปกฎหมายและข้อบังคับที่เกี่ยวข้องต่อไปภายในปีนี้ ขณะนี้รัฐบาลได้ขอความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญจากธนาคารกลางของกลุ่มประเทศ G-7 เพื่อให้คำแนะนำในการเสริมสร้างความแข็งแกร่งของธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งรวมถึงงานด้านกำกับและตรวจสอบสถาบันการเงิน นอกจากนี้ธนาคารแห่งประเทศไทยจะเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับพนักงานด้านการกำกับและตรวจสอบสถาบันการเงิน โดยการจัดฝึกอบรมและสรรหาพนักงานเพิ่มขึ้น
3. การสนับสนุนและการฟื้นฟูเศรษฐกิจโดยรวม
รัฐบาลจะเร่งออกมาตรการเพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจโดยรวม และบรรเทาผลกระทบต่อสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ใช้แรงงานจากวิกฤตการณ์ที่เกิดขึ้น โดยมาตรการต่าง ๆ ประกอบด้วย
3.1 การปรับโครงสร้างของธุรกิจและการปฏิรูปกฎหมาย
รัฐบาลได้ดำเนิการและอำนวยความสะดวกในการปรับโครงสร้างหนี้ภาคเอกชน โดยผ่านกระบวนการด้านการปฏิรูปโครงสร้างภาษีและกฎหมาย ซึ่งรวมถึงการแก้ไขกฎหมายล้มละลาย การแก้ไขกฎระเบียบเกี่ยวกับการบังคับหลักประกัน นอกจากนี้ยังสนับสนุนให้ธนาคารและธุรกิจจัดตั้งคณะกรรมการเพื่อปรับปรุงโครงสร้างหนี้ โดยคณะกรรมการชุดดังกล่าวซึ่งประกอบด้วย เจ้าหนี้ภายในประเทศและลูกหนี้ต่าง ๆ ได้เสนอข้อแนะนำเบื้องต้นให้มีการจัดทำกฎเกณฑ์ของการลงบัญชี และการกันสำรองให้ชัดเจนสำหรับการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ ซึ่งรัฐบาลเห็นว่ามาตรการดังกล่าวจะช่วยลดอุปสรรคในการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อเป็นการสนับสนุนให้มีการเจรจาผ่อนผันการชำระหนี้มากกว่าที่จะให้มีการฟ้องล้มละลาย รัฐบาลได้ประกาศว่ายังคงยืนยันที่จะไม่นำเงินของภาครัฐมาโอบอุ้มธุรกิจเอกชน
เพื่อเป็นการปรับปรุงการบริหารและการดำเนินธุรกิจ รัฐบาลโดยสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์จะกำหนดให้บริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ดำเนินการเปิดเผยข้อมูล โดยเฉพาะอย่างยิ่งการจัดทำระบบบัญชีให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล ภายในสิ้นปี 2541 นอกจากนี้ รัฐบาลจะออกมาตรการที่ให้ผู้ถือหุ้นมีส่วนรับผิดชอบในการดำเนินธุรกิจมากขึ้นโดยมาตรการดังกล่าวจะเสริมสร้างให้การดำเนินธุรกิจเป็นไปอย่างมีระเบียบแบบแผน ซึ่งมาตรการดังกล่าวจะแล้วเสร็จภายในวันที่ 30 มิถุนายน 2541
3.2 การแปรรูปรัฐวิสาหกิจและการส่งเสริมการแข่งขัน
จากการที่รัฐบาลได้ระบุไว้ในหนังสือแจ้งความจำนง ฉบับที่ 3 เกี่ยวกับการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ ในฉบับนี้รัฐบาลได้วางมาตรการเกี่ยวกับการแปรรูปรัฐวิสาหกิจไว้อย่างชัดเจน และรัฐบาลกำลังเจรจากับพนักงานรัฐวิสาหกิจหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อจูงใจให้เห็นพ้องต้องกันในการแปรรูปดังกล่าว ทั้งนี้ แผนการแปรรูปรัฐวิสาหกิจแต่ละแห่งจะต้องแล้วเสร็จภายในการประเมินผลครั้งหน้า
ในด้านการแข่งขัน รัฐบาลได้ให้ความสำคัญเป็นอย่างมากในการเปิดเสรี โดยเฉพาะอย่างยิ่งการลงทุนจากต่างประเทศ ซึ่งจะช่วยในการเสริมสภาพคล่องให้กับภาคเศรษฐกิจที่สำคัญ โดยเฉพาะภาคอสังหาริมทรัพย์ ในช่วงครึ่งปีหลังรัฐบาลจะเสนอให้มีการแก้ไขกฎหมาย ปว.281 และกฎหมายต่าง ๆ เพื่อเป็นการเอื้ออำนวยต่อการลงทุนจากต่างประเทศในภาคธุรกิจต่าง ๆ เช่น ธุรกิจหลักทรัพย์และอสังหาริมทรัพย์
3.3 โครงการด้านสังคม
รัฐบาลจะดำเนินมาตรการด้านสังคม เพื่อช่วยเหลือผู้ที่ประสบปัญหาจากวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจอย่างจริงจังต่อไป โดยในหนังสือแจ้งความจำนง ฉบับที่ 4 ได้ระบุถึงมาตรการต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับโครงการทางด้านสังคมที่เป็นรูปธรรมมากขึ้น ซึ่งโครงการดังกล่าวได้รับการสนับสนุนจากธนาคารพัฒนาเอเซีย ธนาคารโลก และกองทุนความร่วมมือทางเศรษฐกิจโพ้นทะเล นอกจากนั้นรัฐบาลจะกระตุ้นให้เกิดการจ้างงานในโครงการสาธารณูปโภคพื้นฐานขนาดเล็กในภาคการเกษตร และมีการเพิ่มเงินสนับสนุนในโครงการด้านการพัฒนาฝีมือแรงงานและการให้เงินกู้กับแรงงานที่ว่างงาน เพื่อช่วยในการสร้างงานให้กับแรงงานดังกล่าว
4. การเปิดเผยข้อมูลและความโปร่งใสของนโยบายเศรษฐกิจ
การเปิดเผยข้อมูลทางเศรษฐกิจอย่างถูกต้องและรวดเร็วเป็นสิ่งสำคัญในการสร้างความเชื่อมั่น และประกันเสถียรภาพของการฟื้นฟูเศรษฐกิจ ซึ่งรัฐบาลได้เริ่มใช้มาตรฐานการเผยแพร่ข้อมูลภายใต้กรอบของ Special Data DisseminationStandard (SDDS) แล้ว และจะให้มีการปฏิบัติตามมาตรฐานดังกล่าวอย่างเต็มรูปแบบภายในสิ้นปี 2541 นอกจากนี้ รัฐบาลมีนโยบายที่จะพัฒนาระบบข้อมูลและการเผยแพร่ข้อมูล โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อมูลทางเศรษฐกิจของธนาคารแห่งประเทศไทยให้มีความโปร่งใส รวดเร็วและครอบคลุมขอบเขตที่กว้างมากขึ้นอีกด้วย
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ชุดนายชวน หลีกภัย)--วันที่ 26 พฤษภาคม 2541--
คณะรัฐมนตรีอนุมัติในหลักการและเงื่อนไขการขอรับความช่วยเหลือทางวิชาการและการเงินจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ ฉบับที่ 4 ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ซึ่งได้มีการปรับปรุงภาพรวมและนโยบายเศรษฐกิจมหภาค การปฏิรูประบบสถาบันการเงินการสนับสนุนและฟื้นฟูภาคการผลิต และการสร้างความโปร่งใสในนโยบายเศรษฐกิจ และมอบหมายให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย เป็นผู้ลงนามในหนังสือแจ้งความจำนงฯ ฉบับที่ 4 เพื่อจะได้จัดส่งให้กองทุนการเงินระหว่างประเทศพิจารณาอนุมัติความช่วยเหลือด้านการเงินงวดต่อไป โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้
1. ภาพรวมและนโยบายเศรษฐกิจมหภาค
รัฐบาลได้ประเมินภาวะเศรษฐกิจใหม่ เนื่องจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจมากกว่าที่ได้คาดการณ์ โดยได้ปรับตัวเลขภาพรวมเศรษฐกิจในปี 2541 ที่สำคัญ ได้แก่ การปรับอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจจากติดลบร้อยละ 3 ถึง 3.5 เป็นติดลบร้อยละ 4 ถึง 5.5 การปรับตัวเลขอัตราเงินเฟ้อจากร้อยละ 11.6 เป็นร้อยละ 10.5 การปรับตัวเลขของดุลบัญชีเดินสะพัดจากเกินดุล 4.4 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือเท่ากับร้อยละ 3.9 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ เป็นเกินดุล 8.5 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือเทียบเท่ากับร้อยละ 6.9 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ สำหรับตัวเลขทุนสำรองระหว่างประเทศได้ปรับเพิ่มขึ้นจากระดับ 23 ถึง 25 พันล้านเหรียญสหรัฐฯเป็น 26 ถึง 28 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ
1.1 นโยบายการเงินและอัตราแลกเปลี่ยน
การปรับตัวของอัตราแลกเปลี่ยนที่มีเสถียรภาพมากขึ้นตั้งแต่ช่วงเดือนมกราคม 2541 ประกอบกับการที่ทุนสำรองระหว่างประเทศเพิ่มขึ้นในระดับที่มีเสถียรภาพ ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยข้ามวันอาจสามารถปรับลดลงได้แต่จะต้องดำเนินการอย่างระมัดระวัง เพื่อเป็นการเสริมสภาพคล่องให้กับภาคธุรกิจ ทั้งนี้ รัฐบาลจะยังคงให้ความสำคัญกับเสถียภาพของอัตราแลกเปลี่ยนเป็นอันดับแรก และพร้อมที่จะใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดขึ้นหากอัตราแลกเปลี่ยนขาดเสถียรภาพอีก
นอกจากนี้ รัฐบาลมีนโยบายในการนำรายได้ส่วนหนึ่งจากการออกพันธบัตรรัฐบาลมาใช้เป็นค่าใช้จ่ายในการเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับสถาบันการเงินเฉพาะกิจ เพื่อให้สถาบันการเงินดังกล่าวสามารถมีส่วนร่วมในการเสริมสภาพคล่องให้กับภาคธุรกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งธุรกิจส่งออก
1.2 นโยบายการคลัง
รัฐบาลได้ดำเนินมาตรการการคลังอย่างเข้มงวดมาโดยตลอด แต่การชะลอตัวของเศรษฐกิจในระยะที่ผ่านมาคาดว่าจะส่งผลให้การจัดเก็บรายได้ของรัฐบาลต่ำกว่าที่ได้เคยประมาณการไว้ นอกจากนี้ รัฐบาลเล็งเห็นความสำคัญของผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อสังคมและแรงงานจากวิกฤตการณ์เศรษฐกิจในปัจจุบัน จึงได้จัดสรรงบประมาณเพิ่มเติมให้กับดครงการเพื่อบรรเทาผลกระทบต่อสังคมและแรงงาน การลดลงของรายได้และการเพิ่มขึ้นของรายจ่ายด้านสังคมจะส่งผลให้ฐานะการคลังของรัฐบาลในปี 2541 ขาดดุลเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 2 เป็นร้อยละ 3 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ โดยแยกเป็นการขาดดุลของรัฐบาลกลางร้อยละ 2.4 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ และการขาดดุลของรัฐวิสาหกิจร้อยละ 0.6 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ
สำหรับฐานะการคลังในปีงบประมาณ 2542 รัฐบาลและกองทุนการเงินระหว่างประเทศคาดว่าเศรษฐกิจจะมีการฟื้นตัว ซึ่งจะส่งผลให้ฐานะการคลังขาดดุลลดลงเหลือร้อยละ 2.5 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ โดยแยกเป็นกาารขาดดุลของรัฐบาลกลางร้อยละ 1.5 ซึ่งการขาดดุลดังกล่าวรัฐบาลได้รวมค่าใช้จ่ายในการแก้ไขปัญหาระบบสถาบันการเงินไว้เรียบร้อยแล้ว และการขาดดุลของรัฐวิสาหกิจร้อยละ 1 ทั้งนี้ การคาดการณ์ดังกล่าวจะมีการทบทวนอีกครั้งในช่วงเดือนสิงหาคม 2541
1.3 นโยบายด้านต่างประเทศ
รัฐบาลจะรักษาระดับทุนสำรองระหว่างประเทศให้ได้ตามเป้าหมายที่ได้ตกลงไว้กับกองทุนการเงินระหว่างประเทศ โดยคาดว่าระดับของทุนสำรองระหว่างประเทศ ณ สิ้นปี 2541 จะสูงกว่าการประเมินครั้งที่แล้ว ในขณะที่ดุลบัญชีเดินสะพัดได้มีการเกินดุลอย่างต่อเนื่อง และคาดการณ์ว่าดุลบัญชีเดินสะพัดจะเกินดุลสูงถึง 8.5 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือเทียบเท่าร้อยละ 6.9 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ ณ สิ้นปี 2541 ซึ่งสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ในการประเมินครั้งที่แล้วอย่างมาก นอกจากนี้ รัฐบาลยังมีนโยบายที่จะออกพันธบัตรรัฐบาลเพื่อจำหน่ายในต่างประเทศในเร็ววันนี้อีกด้วย
2. การปฏิรูประบบสถาบันการเงิน
2.1 การเสริมสร้างความแข็งแกร่งของระบบธนาคารพาณิชย์
รัฐบาลจะดำเนินการอย่างต่อเนื่องในการให้สถาบันการเงินทั้งหมดต้องเพิ่มทุนตามเกณฑ์การจัดชั้นสินเชื่อและกันสำรองตามมาตรฐานที่เข้มงวดขึ้น ซึ่งได้ประกาศไปแล้วเมื่อปลายเดือนมีนาคม 2541 ปรากฏว่าธนาคารพาณิชย์ใหญ่หลายแห่งประสบความสำเร็จในการเพิ่ทุนแล้ว และธนาคารขนาดเล็กลงมาอยู่ในขั้นตอนในการตกลงกับผู้ร่วมทุนต่างชาติ ซึ่งตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2540เป็นต้นมา ได้มีเงินทุนไหลเข้ามาในระบบเพื่อการนี้ประมาณ 3 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยส่วนใหญ่จะมาจากนักลงทุนต่างประเทศ
สำหรับธนาคารพาณิชย์ที่รัฐบาลเข้าแทรกแซงทั้ง 4 แห่ง ยังคงดำเนินการตามปกติภายใต้การกำกับดูแลที่เข้มงวดของธนาคารแห่งประเทศไทย นอกจากนี้แล้ว รัฐบาลกำลังพัฒนาแนวทางที่จะแก้ปัญหา และการแปรรูปโดยได้มีการว่าจ้างสถาบันการเงินวาณิชธนกิจเป็นที่ปรึกษาดำเนินการเสนอแนวทางแก้ไขปัญหาที่มีค่าใช้จ่ายน้อยที่สุด โดยคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในกลางปี 2541และรัฐบาลจะดำเนินการปฏิบัติตามแนวทางที่เหมาะสมให้แล้วเสร็จภายในเดือนกรกฎาคม 2541
2.2 แนวทางในการเสริมสร้างความแข็งแกร่งสำหรับสถาบันการเงินที่เปิดดำเนินกิจการอยู่
บริษัทเงินทุน 35 แห่ง ที่ยังเปิดดำเนินการอยู่ถูกจัดอยู่ในแผนการเพิ่มทุน การจัดชั้นสินเชื่อ และการกันสำรองเช่นเดียวกับธนาคารพาณิชย์ ซึ่งบางบริษัทได้ดำเนินการบ้างแล้ว แต่อย่างไรก็ตามยังมีอีกหลายบริษัทที่ต้องมีการควบกิจการ ซึ่งเมื่อวันที่ 18พฤษภาคม 2541 รัฐบาลได้เข้าแทรกแซงบริษัทเงินทุนอีก 7 แห่ง ที่ไม่สามารถดำเนินการเพิ่มทุนได้ โดยมีบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์กรุงไทยธนกิจ จำกัด (มหาชน) เป็นแกนนำในการควบกิจการ นโยบายการควบกิจการนี้จะถูกใช้กับบริษัทเงินทุนอื่น ๆ ที่ไม่สามารถดำเนินการได้ตามบันทึกความเข้าใจกับธนาคารแห่งประเทศไทย
นอกจากนี้ รัฐบาลจะเพิ่มบทบาทของสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐให้มีส่วนในการเพิ่มวงเงินสินเชื่อในระบบเศรษฐกิจมากขึ้น โดยอยู่ภายใต้การควบคุมดูแลที่เหมาะสมจากภาครัฐ และจะมีการเสนอแนวทางการปฏิบัติของสถาบันการเงินเหล่านี้ภายใต้ความช่วยเหลือจากธนาคารโลก
2.3 การจำหน่ายจ่ายโอนสินทรัพย์ของบริษัทเงินทุน 56 แห่งที่ถูกปิดกิจการ
องค์การเพื่อการปฏิรูประบบสถาบันการเงิน (ปรส.) ได้ดำเนินการจัดระเบียบและกฎเกณฑ์การประมูลเสร็จแล้วภายใต้ความช่วยเหลือของธนาคารโลก ซึ่งที่ผ่านมาได้มีความคืบหน้าในการจำหน่ายสินทรัพย์บางส่วนไปแล้วจำนวนมาก และจะได้มีการดำเนินการประมูลลูกหนี้เช่าซื้อและลูกหนี้สินเชื่อต่อไป โดยในเบื้องต้นคาดว่าจะมีมูลค่าในชั้นแรกไม่น้อยกว่า 1.2 พันล้านเหรียญสหรัฐฯและมีการจ้างตัวแทนวาณิชธนกิจทำการตลาดเพื่อที่จะดึงดูดความสนใจของนักลงทุนทั้งจากสถาบันการเงินที่ดำเนินกิจการในเมืองไทย รวมไปถึงกิจการวิเทศธนกิจ นอกจากนี้แล้ว จะมีการแก้ไขกฎหมายที่เป็นอุปสรรคต่อการโอนสินทรัพย์โดยจะออกเป็นพระราชกำหนดภายในเดือนพฤษภาคม 2541
ในส่วนของการจัดองค์กรและขั้นตอนการทำงานของบรรษัทบริหารสินทรัพย์สถาบันการเงิน (บบส.) สามารถสรุปได้ว่ามีความคืบหน้า โดยสามารถเพิ่มทุนเป็น 1 หมื่นล้านบาทได้ นอกจากนี้แล้ว บบส. และธนาคารรัตนสินจะดำเนินการกำหนดหลักเกณฑ์ในการเข้าประมูลและจัดหาแหล่งเงินทุน นอกจากนี้ เพื่อให้เกิดความมีประสิทธิภาพและเป็นที่ยอมรับในกระบวนการประมูลสินทรัพย์ รัฐบาลจะให้บุคคลที่สามทบทวนขั้นตอนที่เกี่ยวข้องกับการประมูลของ ปรส./บบส./รัตนสิน โดยคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในเดือนกันยายน 2541
2.4 นโยบายและการดำเนินงานของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน
รัฐบาลได้ตัดสินใจรับภาระความเสียหายที่ผ่านมาทั้งหมดของกองทุนฟื้นฟูฯ โดยการแปลงหนี้ของกองทุนฟื้นฟูเป็นหนี้ของรัฐบาล ซึ่งรัฐบาลจะออกพันธบัตรรัฐบาลจำนวน 500,000 ล้านบาท ในปี 2541/42 โดยดอกเบี้ยจะมาจากงบประมาณประจำปีและการชำระคืนต้นเงินส่วนหนึ่งจะจัดสรรจากกำไรในอนาคตของธนาคารแห่งประเทศไทยในอัตราร้อยละ 90 ของกำไรดังกล่าว และอีกส่วนหนึ่งจะจัดสรรจากรายได้จากการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ โดยกระทรวงการคลังกำลังทำการศึกษาถึงรายละเอียดของการออกพันธบัตรนี้ซึ่งคาดหวังว่าจะเป็นการแยกภาระการกู้เงินของกองทุนฟื้นฟูฯ ให้ออกจากการจัดการอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นของธนาคารแห่งประเทศไทยและในอนาคตกองทุนฟื้นฟูฯ จะกลายเป็นผู้ให้กู้แหล่งสุดท้ายแก่สถาบันการเงิน ซึ่งจะคิดอัตราดอกเบี้ยสูงที่สุดในระบบการเงินสำหรับการปล่อยกู้รายใหม่ นอกจากนี้ รัฐบาลให้ความสำคัญอย่างมากในการเร่งจัดทำกลไกประกันเงินฝากเพื่อนำมาใช้แทนการค้ำประกันผู้ฝากเงินและเจ้าหน้าที่ในปัจจุบันของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน
2.5 การปรับปรุงระบบกำกับและตรวจสอบสถาบันการเงิน
สำหรับมาตรการในการกำกับและควบคุมดูแลสถาบันการเงินนั้น ธนาคารแห่งประเทศไทยจะให้ความสำคัญกับมูลค่าสินเชื่อและความเพียงพอของเงินกองทุนของสถาบันการเงิน โดยธนาคารแห่งประเทศไทยได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจกับธนาคารพาณิชย์และบริษัทเงินทุนที่มีเงินทุนไม่เพียงพอ นอกจากนี้ ธนาคารแห่งประเทศไทยจะให้สถาบันการเงินทุกแห่งลงนามในบันทึกความเข้าใจเกี่ยวกับการเพิ่มทุนใหม่เป็นระยะ ๆ เพื่อให้สอดคล้องกับกฎเกณฑ์การกันสำรองตามมาตรฐานสากลที่จะมีการบังคับใช้อย่างเป็นขั้นตอนและแล้วเสร็จภายในปี 2543สำหรับสินเชื่อด้อยคุณภาพที่จะต้องได้รับการปรับโครงสร้างใหม่ ก็มีความจำเป็นที่จะต้องมีแผนรายละเอียดแนวทางปฏิบัติเพื่อที่จะทำให้เกณฑ์การจัดชั้นสินเชื่อและการกันสำรองใหม่มีประสิทธิภาพ และสร้างแรงจูงใจต่อสถาบันการเงินในการปรับโครงสร้างสินเชื่อ แนวทางปฏิบัตินี้จะมีความเป็นมาตรฐานสากล ซึ่งมีความสำคัญต่อการหมุนเวียนของสินเชื่อในระบบการเงินอย่างยิ่งโดยเฉพาะในขณะที่ผู้ขอสินเชื่อไทยยังคงประสบความยากลำบากในวิกฤตการณ์นี้ โดยรัฐบาลไทยคาดว่าแนวทางปฏิบัตินี้จะเริ่มในเดือนพฤษภาคม 2541 นอกจากนี้ จะมีการนำแนวทางในการประเมินมูลค่าหลักประกันมาใช้ในสิ้นเดือนมิถุนายน 2541
รัฐบาลกำลังทบทวนกฎหมายด้านการธนาคารและสถาบันการเงิน เพื่อที่จะนำไปสู่การปฏิรูปกฎหมายและข้อบังคับที่เกี่ยวข้องต่อไปภายในปีนี้ ขณะนี้รัฐบาลได้ขอความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญจากธนาคารกลางของกลุ่มประเทศ G-7 เพื่อให้คำแนะนำในการเสริมสร้างความแข็งแกร่งของธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งรวมถึงงานด้านกำกับและตรวจสอบสถาบันการเงิน นอกจากนี้ธนาคารแห่งประเทศไทยจะเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับพนักงานด้านการกำกับและตรวจสอบสถาบันการเงิน โดยการจัดฝึกอบรมและสรรหาพนักงานเพิ่มขึ้น
3. การสนับสนุนและการฟื้นฟูเศรษฐกิจโดยรวม
รัฐบาลจะเร่งออกมาตรการเพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจโดยรวม และบรรเทาผลกระทบต่อสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ใช้แรงงานจากวิกฤตการณ์ที่เกิดขึ้น โดยมาตรการต่าง ๆ ประกอบด้วย
3.1 การปรับโครงสร้างของธุรกิจและการปฏิรูปกฎหมาย
รัฐบาลได้ดำเนิการและอำนวยความสะดวกในการปรับโครงสร้างหนี้ภาคเอกชน โดยผ่านกระบวนการด้านการปฏิรูปโครงสร้างภาษีและกฎหมาย ซึ่งรวมถึงการแก้ไขกฎหมายล้มละลาย การแก้ไขกฎระเบียบเกี่ยวกับการบังคับหลักประกัน นอกจากนี้ยังสนับสนุนให้ธนาคารและธุรกิจจัดตั้งคณะกรรมการเพื่อปรับปรุงโครงสร้างหนี้ โดยคณะกรรมการชุดดังกล่าวซึ่งประกอบด้วย เจ้าหนี้ภายในประเทศและลูกหนี้ต่าง ๆ ได้เสนอข้อแนะนำเบื้องต้นให้มีการจัดทำกฎเกณฑ์ของการลงบัญชี และการกันสำรองให้ชัดเจนสำหรับการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ ซึ่งรัฐบาลเห็นว่ามาตรการดังกล่าวจะช่วยลดอุปสรรคในการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อเป็นการสนับสนุนให้มีการเจรจาผ่อนผันการชำระหนี้มากกว่าที่จะให้มีการฟ้องล้มละลาย รัฐบาลได้ประกาศว่ายังคงยืนยันที่จะไม่นำเงินของภาครัฐมาโอบอุ้มธุรกิจเอกชน
เพื่อเป็นการปรับปรุงการบริหารและการดำเนินธุรกิจ รัฐบาลโดยสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์จะกำหนดให้บริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ดำเนินการเปิดเผยข้อมูล โดยเฉพาะอย่างยิ่งการจัดทำระบบบัญชีให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล ภายในสิ้นปี 2541 นอกจากนี้ รัฐบาลจะออกมาตรการที่ให้ผู้ถือหุ้นมีส่วนรับผิดชอบในการดำเนินธุรกิจมากขึ้นโดยมาตรการดังกล่าวจะเสริมสร้างให้การดำเนินธุรกิจเป็นไปอย่างมีระเบียบแบบแผน ซึ่งมาตรการดังกล่าวจะแล้วเสร็จภายในวันที่ 30 มิถุนายน 2541
3.2 การแปรรูปรัฐวิสาหกิจและการส่งเสริมการแข่งขัน
จากการที่รัฐบาลได้ระบุไว้ในหนังสือแจ้งความจำนง ฉบับที่ 3 เกี่ยวกับการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ ในฉบับนี้รัฐบาลได้วางมาตรการเกี่ยวกับการแปรรูปรัฐวิสาหกิจไว้อย่างชัดเจน และรัฐบาลกำลังเจรจากับพนักงานรัฐวิสาหกิจหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อจูงใจให้เห็นพ้องต้องกันในการแปรรูปดังกล่าว ทั้งนี้ แผนการแปรรูปรัฐวิสาหกิจแต่ละแห่งจะต้องแล้วเสร็จภายในการประเมินผลครั้งหน้า
ในด้านการแข่งขัน รัฐบาลได้ให้ความสำคัญเป็นอย่างมากในการเปิดเสรี โดยเฉพาะอย่างยิ่งการลงทุนจากต่างประเทศ ซึ่งจะช่วยในการเสริมสภาพคล่องให้กับภาคเศรษฐกิจที่สำคัญ โดยเฉพาะภาคอสังหาริมทรัพย์ ในช่วงครึ่งปีหลังรัฐบาลจะเสนอให้มีการแก้ไขกฎหมาย ปว.281 และกฎหมายต่าง ๆ เพื่อเป็นการเอื้ออำนวยต่อการลงทุนจากต่างประเทศในภาคธุรกิจต่าง ๆ เช่น ธุรกิจหลักทรัพย์และอสังหาริมทรัพย์
3.3 โครงการด้านสังคม
รัฐบาลจะดำเนินมาตรการด้านสังคม เพื่อช่วยเหลือผู้ที่ประสบปัญหาจากวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจอย่างจริงจังต่อไป โดยในหนังสือแจ้งความจำนง ฉบับที่ 4 ได้ระบุถึงมาตรการต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับโครงการทางด้านสังคมที่เป็นรูปธรรมมากขึ้น ซึ่งโครงการดังกล่าวได้รับการสนับสนุนจากธนาคารพัฒนาเอเซีย ธนาคารโลก และกองทุนความร่วมมือทางเศรษฐกิจโพ้นทะเล นอกจากนั้นรัฐบาลจะกระตุ้นให้เกิดการจ้างงานในโครงการสาธารณูปโภคพื้นฐานขนาดเล็กในภาคการเกษตร และมีการเพิ่มเงินสนับสนุนในโครงการด้านการพัฒนาฝีมือแรงงานและการให้เงินกู้กับแรงงานที่ว่างงาน เพื่อช่วยในการสร้างงานให้กับแรงงานดังกล่าว
4. การเปิดเผยข้อมูลและความโปร่งใสของนโยบายเศรษฐกิจ
การเปิดเผยข้อมูลทางเศรษฐกิจอย่างถูกต้องและรวดเร็วเป็นสิ่งสำคัญในการสร้างความเชื่อมั่น และประกันเสถียรภาพของการฟื้นฟูเศรษฐกิจ ซึ่งรัฐบาลได้เริ่มใช้มาตรฐานการเผยแพร่ข้อมูลภายใต้กรอบของ Special Data DisseminationStandard (SDDS) แล้ว และจะให้มีการปฏิบัติตามมาตรฐานดังกล่าวอย่างเต็มรูปแบบภายในสิ้นปี 2541 นอกจากนี้ รัฐบาลมีนโยบายที่จะพัฒนาระบบข้อมูลและการเผยแพร่ข้อมูล โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อมูลทางเศรษฐกิจของธนาคารแห่งประเทศไทยให้มีความโปร่งใส รวดเร็วและครอบคลุมขอบเขตที่กว้างมากขึ้นอีกด้วย
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ชุดนายชวน หลีกภัย)--วันที่ 26 พฤษภาคม 2541--