ทำเนียบรัฐบาล--4 พ.ค.--บิสนิวส์
คณะรัฐมนตรีรับทราบ เรื่อง สมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์เสนอข้อเรียกร้องต่อรัฐบาล ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ สรุปได้ดังนี้
รัฐมนตรีว่การกระทรวงคมนาคม ในฐานะผู้ได้รับมอบหมายจากรัฐบาลให้เป็นหัวหน้าคณะเจรจากับสมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ ได้มีการปรึกษาหารือระหว่างตัวแทนสมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์กับตัวแทนฝ่ายรัฐบาล 2 ครั้ง เมื่อวันที่ 29 เมษายน 2542 และเมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2542 ณ ห้องสีเขียว ตึกไทยคู่ฟ้า ผลการประชุมโดยสรุปเป็นดังนี้
1. การทำประชามติไม่มีผลให้ระงับการประกาศใช้พระราชบัญญัติทุนรัฐวิสาหกิจได้ เนื่องจากกฎหมายฉบับนี้ได้ผ่านการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร และวุฒิสภาแล้ว และนายกรัฐมนตรีต้องนำทูลเกล้าฯ เพื่อให้พระมหากษัตริย์ทรงลงพระปรมาภิไธย ภายใน 20 วัน นับแต่รัฐสภาเห็นชอบตามมาตรา 93 แห่งรัฐธรรมนูญฯ และขณะนี้รัฐบาลยังไม่ได้ดำเนินการดังกล่าว เนื่องจากอยู่ในระหว่างการรอวินิจฉัยตีความของศาลรัฐธรรมนูญว่า พระราชบัญญัติทุนรัฐวิสาหกิจขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือไม่
2. ในขณะนี้ยังไม่มีกฎ หรือหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการทำประชามติ รวมทั้งวิธีการและขั้นตอนที่จะให้ประชาชนแสดงประชามติซึ่งเป็นเรื่องยุ่งยากและใช้เวลามาก จึงเห็นว่า ไม่ควรทำประชามติ แต่ได้เสนอให้พนักงานรัฐวิสาหกิจมีส่วนเข้าร่วมพิจารณาในทุกขั้นตอนของกระบวนการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ
3. รัฐบาลจะไม่ชะลอการปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัติทุนรัฐวิสาหกิจแน่นอน เพราะรัฐบาลมุ่งที่จะใช้พระราชบัญญัติดังกล่าวเป็นเครื่องมือในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ
4. การยุบสภาไม่สามารถยับยั้งการประกาศใช้พระราชบัญญัติทุนรัฐวิสาหกิจ เนื่องจากกฎหมายฉบับนี้ได้ผ่านกระบวนการพิจารณาของรัฐสภาเรียบร้อยแล้ว และรัฐบาลชุดนี้ไม่มีความตั้งใจที่จะยุบสภาในขณะนี้ เพราะจะต้องดำเนินภารกิจในการแก้ไขปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจของชาติก่อน ซึ่งพนักงานรัฐวิสาหกิจยอมรับสภาพแล้วว่าไม่สามารถระงับใช้พระราชบัญญัติดังกล่าวได้
ฝ่ายรัฐบาลได้เสนอแนวทางที่จะแก้ไขปัญหาความกังวลของพนักงานรัฐวิสาหกิจที่เกี่ยวกับการแปรรูปรัฐวิสาหกิจซึ่งเห็นว่าการแปรรูปรัฐวิสาหกิจควรที่จะดำเนินการ โดยมุ่งประโยชน์ของประเทศชาติมิใช่ให้ต่างชาติเข้ามาครอบงำ มุ่งคุ้มครองประชาชนในเรื่องอัตราค่าบริการในอนาคต และดูแลมิให้พนักงานรัฐวิสาหกิจไม่ให้ได้รับผลกระทบในการแปรรูป ดังนี้
1) เพื่อประโยชน์ของประเทศชาติในการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ รัฐยังคงสัดส่วนการถือหุ้นบริษัทดังกล่าวไว้ไม่น้อยกว่าร้อยละ 30 อีกส่วนหนึ่งจะขายให้ประชาชน องค์กรชุมชน ซึ่งเป็นตัวแทนของประชาชน เช่น สหกรณ์ องค์การบริหารส่วนตำบล และพนักงานรัฐวิสาหกิจประมาณ ร้อยละ 30-40 ส่วนที่เหลือประมาณร้อยละ 25-30 จะขายให้กับพันธมิตรร่วมทุน หรือนักลงทุนเฉพาะรายกรณีการถือหุ้นเช่นว่านี้ถือว่าบริษัทดังกล่าวยังเป็นบริษัทไทยมิใช่ถือว่าเป็นการขายชาติ
2) เพื่อประโยชน์ของประชาชน เมื่อแปรรูปรัฐวิสาหกิจแล้วรัฐบาลจะไม่นำเงินภาษีของประชาชนมารับผิดชอบในการบริการงานของบริษัทดังกล่าวอีกต่อไป ในการนี้รัฐบาลจะขายหุ้นในบริษัทดังกล่าว ให้ประชาชนมีส่วนร่วมเป็นเจ้าของ โดยจะขายให้ประชาชนในราคาจอง
3) เพื่อคุ้มครองพนักงานรัฐวิสาหกิจไม่ให้เสียประโยชน์ รัฐบาลไม่มีนโยบายที่จะปลดพนักงานออกจากงาน ยกเว้นลาออกด้วยความสมัครใจ แต่อย่างไรก็ตาม หากในโอกาสภายหน้ากิจการดังกล่าวจำเป็นต้องปิดกิจการไปอันเนื่องจากการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ รัฐก็จะดูแลพนักงานรัฐวิสาหกิจดังกล่าว โดยให้มีการจัดตั้งกองทุนพนักงานที่รับผลกระทบจากการแปรรูป ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบในหลักการแล้ว และอยู่ในระหว่างการจัดตั้งกองทุนพนักงานฯ นอกจากนี้ จะให้พนักงานมีโอกาสซื้อหุ้นและเป็นเจ้าของกิจการบริษัทดังกล่าวได้ด้วยในราคาพิเศษต่ำกว่าราคาจอง
4) กรณีสมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์เสนอว่า เมื่อแปรรูปแล้วจะต้องไม่ขึ้นค่าบริการ ฝ่ายรัฐบาลได้ชี้แจงว่า มีบางกรณีจำเป็นต้องขึ้นค่าบริการ เช่น ค่าโดยสารเครื่องบิน เป็นต้น มิฉะนั้น จะกลายเป็นนำภาษีของประชาชนมาอุดหนุนบริการดังกล่าว ทั้ง ๆ ที่ไม่ใช่บริการทางสังคม อย่างไรก็ดี ในเรื่องกิจการสาธารณูปโภค สาธารณูปการ รัฐบาลจะจัดตั้งองค์กรกำกับรายสาขาที่มีหน้าที่พิจารณาอัตราโครงสร้างค่าบริกรสำหรับบริการดังกล่าวโดยเฉพาะ เพื่อคุ้มครองประชาชนผู้บริโภค
5) เห็นด้วยกับการให้มีตัวแทนสมาคมพนักงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์เข้าไปมีส่วนร่วมพิจารณาการแปรรูปรัฐวิสาหกิจทุกขั้นตอน
6) สำหรับผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการนโยบายทุนรัฐวิสาหกิจ และคณะกรรมการเตรียมการจัดตั้ง ฝ่ายรัฐบาลเห็นด้วยกับการให้ผู้แทนสมาพันธ์พนักงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิได้ด้วย แต่ทั้งนี้รัฐบาลจะเป็นผู้แต่งตั้งผู้ทรงคุณวุฒิดังกล่าว
7) ให้นำแนวทางดังกล่าวข้างต้น ตั้งแต่ข้อ 1-6 ไปใช้กับทุกรัฐวิสาหกิจ แม้จะไม่ได้ดำเนินการตามขั้นตอนของพระราชบัญญัติทุนรัฐวิสาหกิจก็ตาม
8) รัฐบาลยืนยันว่าในหลักการรัฐบาลสามารถนำเงินรายได้จากการแปรรูปรัฐวิสาหกิจไปปรับปรุงขยายงานรัฐวิสาหกิจได้อยู่แล้ว ตามระบบงบประมาณ แต่การไม่ให้นำรายได้จากการแปรรูปรัฐวิสาหกิจไปชำระหนี้ของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน รัฐบาลไม่สามารถรับได้ เพราะหนี้ของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ เป็นหนี้ของรัฐบาล หากไม่นำเงินส่วนนี้ไปชำระก็จะต้องไปเบียดหรือเจียดจ่ายงบประมาณรายรับซึ่งเก็บมาจากภาษีของประชาชน อันจะเป็นการสร้างความเดือดร้อนให้ประชาชน และทำให้การพัฒนาประเทศหยุดชะงัก
สำหรับประเด็นใน 1) และ 8) สมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจไม่เห็นด้วยกับผลการเจรจาในครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2
อนึ่ง การเจรจาระหว่างผู้แทนสมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์กับตัวแทนฝ่ายรัฐบาล ในวันที่ 3 พฤษภาคม 2542 ฝ่ายรัฐบาลได้แจ้งต่อผู้แทนสมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ว่า คณะกรรมการรัฐมนตรีว่าด้วยนโยบายเศรษฐกิจได้มีมติรับทราบ และเห็นด้วยในประเด็นที่ได้เจรจาไปแล้ว และได้มีมติสั่งการให้กระทรวงการคลังไปปรับปรุงวิธีการที่จะรับฟังความคิดเห็นของประชาชน วิธีการประชาสัมพันธ์ โดยให้ตั้งงบประมาณพิเศษ สำหรับทำความเข้าใจกับประชาชน และให้กระทรวงการคลังตั้งคณะกรรมการเพื่อตรวจสอบฐานะที่แท้จริงของรัฐวิสาหกิจแต่ละแห่งว่ามีหนี้สินเท่าใด ผลประกอบการในแต่ละปีมีกำไรหรือขาดทุนที่แท้จริงเท่าใด และนำมาชี้แจงให้ประชาชนทราบโดยละเอียดต่อไป นอกจากนี้ คณะกรรมการรัฐมนตรีว่าด้วยนโยบายเศรษฐกิจยืนยันว่า ไม่ว่ารัฐบาลจะถือหุ้นในรัฐวิสาหกิจเป็นจำนวนเท่าใดก็ตาม แต่เป็นจุดมุ่งหมายของรัฐบาลที่จะดูแลเรื่องอัตราค่าบริการไม่ให้เป็นภาระต่อประชาชน และจะไม่ทำประชามติเกี่ยวกับพระราชบัญญัติทุนรัฐวิสาหกิจ แต่จะดำเนินการประชาสัมพันธ์เพื่อให้ประชาชนมีความเข้าใจในเนื้อหาสาระของพระราชบัญญัติทุนรัฐวิสาหกิจและความจำเป็นของรัฐในการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ พร้อมทั้งแจ้งต่อที่ประชุมด้วยว่า พระราชบัญญัติทุนรัฐวิสาหกิจเป็นเรื่องที่รัฐบาลตัดสินใจได้เองไม่จำเป็นต้องทำประชามติ สำหรับการแปรรูปรัฐวิสาหกิจเป็นเรื่องนโยบายที่รัฐบาลจะแปรรูปรัฐวิสาหกิจใดหรือไม่ โดยวิธิใดและสัดส่วนการถือหุ้นโดยภาครัฐจะเป็นจำนวนเท่าใด และยืนยันว่ารัฐบาลจะดำเนินการตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องทุกฉบับ เช่น พระราชบัญญัติทุนรัฐวิสาหกิจ พระราชบัญญัติว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2535 ทั้งนี้เพื่อให้เกิดความโปร่งใสและตรวจสอบได้
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ชุดนายชวน หลีกภัย)--วันที่ 4 พฤษภาคม 2542--
คณะรัฐมนตรีรับทราบ เรื่อง สมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์เสนอข้อเรียกร้องต่อรัฐบาล ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ สรุปได้ดังนี้
รัฐมนตรีว่การกระทรวงคมนาคม ในฐานะผู้ได้รับมอบหมายจากรัฐบาลให้เป็นหัวหน้าคณะเจรจากับสมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ ได้มีการปรึกษาหารือระหว่างตัวแทนสมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์กับตัวแทนฝ่ายรัฐบาล 2 ครั้ง เมื่อวันที่ 29 เมษายน 2542 และเมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2542 ณ ห้องสีเขียว ตึกไทยคู่ฟ้า ผลการประชุมโดยสรุปเป็นดังนี้
1. การทำประชามติไม่มีผลให้ระงับการประกาศใช้พระราชบัญญัติทุนรัฐวิสาหกิจได้ เนื่องจากกฎหมายฉบับนี้ได้ผ่านการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร และวุฒิสภาแล้ว และนายกรัฐมนตรีต้องนำทูลเกล้าฯ เพื่อให้พระมหากษัตริย์ทรงลงพระปรมาภิไธย ภายใน 20 วัน นับแต่รัฐสภาเห็นชอบตามมาตรา 93 แห่งรัฐธรรมนูญฯ และขณะนี้รัฐบาลยังไม่ได้ดำเนินการดังกล่าว เนื่องจากอยู่ในระหว่างการรอวินิจฉัยตีความของศาลรัฐธรรมนูญว่า พระราชบัญญัติทุนรัฐวิสาหกิจขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือไม่
2. ในขณะนี้ยังไม่มีกฎ หรือหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการทำประชามติ รวมทั้งวิธีการและขั้นตอนที่จะให้ประชาชนแสดงประชามติซึ่งเป็นเรื่องยุ่งยากและใช้เวลามาก จึงเห็นว่า ไม่ควรทำประชามติ แต่ได้เสนอให้พนักงานรัฐวิสาหกิจมีส่วนเข้าร่วมพิจารณาในทุกขั้นตอนของกระบวนการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ
3. รัฐบาลจะไม่ชะลอการปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัติทุนรัฐวิสาหกิจแน่นอน เพราะรัฐบาลมุ่งที่จะใช้พระราชบัญญัติดังกล่าวเป็นเครื่องมือในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ
4. การยุบสภาไม่สามารถยับยั้งการประกาศใช้พระราชบัญญัติทุนรัฐวิสาหกิจ เนื่องจากกฎหมายฉบับนี้ได้ผ่านกระบวนการพิจารณาของรัฐสภาเรียบร้อยแล้ว และรัฐบาลชุดนี้ไม่มีความตั้งใจที่จะยุบสภาในขณะนี้ เพราะจะต้องดำเนินภารกิจในการแก้ไขปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจของชาติก่อน ซึ่งพนักงานรัฐวิสาหกิจยอมรับสภาพแล้วว่าไม่สามารถระงับใช้พระราชบัญญัติดังกล่าวได้
ฝ่ายรัฐบาลได้เสนอแนวทางที่จะแก้ไขปัญหาความกังวลของพนักงานรัฐวิสาหกิจที่เกี่ยวกับการแปรรูปรัฐวิสาหกิจซึ่งเห็นว่าการแปรรูปรัฐวิสาหกิจควรที่จะดำเนินการ โดยมุ่งประโยชน์ของประเทศชาติมิใช่ให้ต่างชาติเข้ามาครอบงำ มุ่งคุ้มครองประชาชนในเรื่องอัตราค่าบริการในอนาคต และดูแลมิให้พนักงานรัฐวิสาหกิจไม่ให้ได้รับผลกระทบในการแปรรูป ดังนี้
1) เพื่อประโยชน์ของประเทศชาติในการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ รัฐยังคงสัดส่วนการถือหุ้นบริษัทดังกล่าวไว้ไม่น้อยกว่าร้อยละ 30 อีกส่วนหนึ่งจะขายให้ประชาชน องค์กรชุมชน ซึ่งเป็นตัวแทนของประชาชน เช่น สหกรณ์ องค์การบริหารส่วนตำบล และพนักงานรัฐวิสาหกิจประมาณ ร้อยละ 30-40 ส่วนที่เหลือประมาณร้อยละ 25-30 จะขายให้กับพันธมิตรร่วมทุน หรือนักลงทุนเฉพาะรายกรณีการถือหุ้นเช่นว่านี้ถือว่าบริษัทดังกล่าวยังเป็นบริษัทไทยมิใช่ถือว่าเป็นการขายชาติ
2) เพื่อประโยชน์ของประชาชน เมื่อแปรรูปรัฐวิสาหกิจแล้วรัฐบาลจะไม่นำเงินภาษีของประชาชนมารับผิดชอบในการบริการงานของบริษัทดังกล่าวอีกต่อไป ในการนี้รัฐบาลจะขายหุ้นในบริษัทดังกล่าว ให้ประชาชนมีส่วนร่วมเป็นเจ้าของ โดยจะขายให้ประชาชนในราคาจอง
3) เพื่อคุ้มครองพนักงานรัฐวิสาหกิจไม่ให้เสียประโยชน์ รัฐบาลไม่มีนโยบายที่จะปลดพนักงานออกจากงาน ยกเว้นลาออกด้วยความสมัครใจ แต่อย่างไรก็ตาม หากในโอกาสภายหน้ากิจการดังกล่าวจำเป็นต้องปิดกิจการไปอันเนื่องจากการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ รัฐก็จะดูแลพนักงานรัฐวิสาหกิจดังกล่าว โดยให้มีการจัดตั้งกองทุนพนักงานที่รับผลกระทบจากการแปรรูป ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบในหลักการแล้ว และอยู่ในระหว่างการจัดตั้งกองทุนพนักงานฯ นอกจากนี้ จะให้พนักงานมีโอกาสซื้อหุ้นและเป็นเจ้าของกิจการบริษัทดังกล่าวได้ด้วยในราคาพิเศษต่ำกว่าราคาจอง
4) กรณีสมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์เสนอว่า เมื่อแปรรูปแล้วจะต้องไม่ขึ้นค่าบริการ ฝ่ายรัฐบาลได้ชี้แจงว่า มีบางกรณีจำเป็นต้องขึ้นค่าบริการ เช่น ค่าโดยสารเครื่องบิน เป็นต้น มิฉะนั้น จะกลายเป็นนำภาษีของประชาชนมาอุดหนุนบริการดังกล่าว ทั้ง ๆ ที่ไม่ใช่บริการทางสังคม อย่างไรก็ดี ในเรื่องกิจการสาธารณูปโภค สาธารณูปการ รัฐบาลจะจัดตั้งองค์กรกำกับรายสาขาที่มีหน้าที่พิจารณาอัตราโครงสร้างค่าบริกรสำหรับบริการดังกล่าวโดยเฉพาะ เพื่อคุ้มครองประชาชนผู้บริโภค
5) เห็นด้วยกับการให้มีตัวแทนสมาคมพนักงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์เข้าไปมีส่วนร่วมพิจารณาการแปรรูปรัฐวิสาหกิจทุกขั้นตอน
6) สำหรับผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการนโยบายทุนรัฐวิสาหกิจ และคณะกรรมการเตรียมการจัดตั้ง ฝ่ายรัฐบาลเห็นด้วยกับการให้ผู้แทนสมาพันธ์พนักงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิได้ด้วย แต่ทั้งนี้รัฐบาลจะเป็นผู้แต่งตั้งผู้ทรงคุณวุฒิดังกล่าว
7) ให้นำแนวทางดังกล่าวข้างต้น ตั้งแต่ข้อ 1-6 ไปใช้กับทุกรัฐวิสาหกิจ แม้จะไม่ได้ดำเนินการตามขั้นตอนของพระราชบัญญัติทุนรัฐวิสาหกิจก็ตาม
8) รัฐบาลยืนยันว่าในหลักการรัฐบาลสามารถนำเงินรายได้จากการแปรรูปรัฐวิสาหกิจไปปรับปรุงขยายงานรัฐวิสาหกิจได้อยู่แล้ว ตามระบบงบประมาณ แต่การไม่ให้นำรายได้จากการแปรรูปรัฐวิสาหกิจไปชำระหนี้ของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน รัฐบาลไม่สามารถรับได้ เพราะหนี้ของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ เป็นหนี้ของรัฐบาล หากไม่นำเงินส่วนนี้ไปชำระก็จะต้องไปเบียดหรือเจียดจ่ายงบประมาณรายรับซึ่งเก็บมาจากภาษีของประชาชน อันจะเป็นการสร้างความเดือดร้อนให้ประชาชน และทำให้การพัฒนาประเทศหยุดชะงัก
สำหรับประเด็นใน 1) และ 8) สมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจไม่เห็นด้วยกับผลการเจรจาในครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2
อนึ่ง การเจรจาระหว่างผู้แทนสมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์กับตัวแทนฝ่ายรัฐบาล ในวันที่ 3 พฤษภาคม 2542 ฝ่ายรัฐบาลได้แจ้งต่อผู้แทนสมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ว่า คณะกรรมการรัฐมนตรีว่าด้วยนโยบายเศรษฐกิจได้มีมติรับทราบ และเห็นด้วยในประเด็นที่ได้เจรจาไปแล้ว และได้มีมติสั่งการให้กระทรวงการคลังไปปรับปรุงวิธีการที่จะรับฟังความคิดเห็นของประชาชน วิธีการประชาสัมพันธ์ โดยให้ตั้งงบประมาณพิเศษ สำหรับทำความเข้าใจกับประชาชน และให้กระทรวงการคลังตั้งคณะกรรมการเพื่อตรวจสอบฐานะที่แท้จริงของรัฐวิสาหกิจแต่ละแห่งว่ามีหนี้สินเท่าใด ผลประกอบการในแต่ละปีมีกำไรหรือขาดทุนที่แท้จริงเท่าใด และนำมาชี้แจงให้ประชาชนทราบโดยละเอียดต่อไป นอกจากนี้ คณะกรรมการรัฐมนตรีว่าด้วยนโยบายเศรษฐกิจยืนยันว่า ไม่ว่ารัฐบาลจะถือหุ้นในรัฐวิสาหกิจเป็นจำนวนเท่าใดก็ตาม แต่เป็นจุดมุ่งหมายของรัฐบาลที่จะดูแลเรื่องอัตราค่าบริการไม่ให้เป็นภาระต่อประชาชน และจะไม่ทำประชามติเกี่ยวกับพระราชบัญญัติทุนรัฐวิสาหกิจ แต่จะดำเนินการประชาสัมพันธ์เพื่อให้ประชาชนมีความเข้าใจในเนื้อหาสาระของพระราชบัญญัติทุนรัฐวิสาหกิจและความจำเป็นของรัฐในการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ พร้อมทั้งแจ้งต่อที่ประชุมด้วยว่า พระราชบัญญัติทุนรัฐวิสาหกิจเป็นเรื่องที่รัฐบาลตัดสินใจได้เองไม่จำเป็นต้องทำประชามติ สำหรับการแปรรูปรัฐวิสาหกิจเป็นเรื่องนโยบายที่รัฐบาลจะแปรรูปรัฐวิสาหกิจใดหรือไม่ โดยวิธิใดและสัดส่วนการถือหุ้นโดยภาครัฐจะเป็นจำนวนเท่าใด และยืนยันว่ารัฐบาลจะดำเนินการตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องทุกฉบับ เช่น พระราชบัญญัติทุนรัฐวิสาหกิจ พระราชบัญญัติว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2535 ทั้งนี้เพื่อให้เกิดความโปร่งใสและตรวจสอบได้
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ชุดนายชวน หลีกภัย)--วันที่ 4 พฤษภาคม 2542--