ทำเนียบรัฐบาล--21 เม.ย.--บิสนิวส์
คณะรัฐมนตรีอนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการสมยอมกันในการเสนอราคา พ.ศ. .... ตามที่สำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป โดยร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวมีสาระสำคัญ ดังนี้
1. กำหนดนิยามและลักษณะความผิดที่เป็นการกระทำในการสมยอมในการเสนอราคา โดยหากมีการกระทำเข้าหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้จะมีความผิดฐานฉ้อโกงรัฐ และการเสนอราคาตามร่างพระราชบัญญัตินี้รวมถึงการดำเนินการเกี่ยวกับการพัสดุทุกกรณีไม่ว่าจะเป็นการจัดหาหรือจำหน่าย
2. กำหนดให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติเป็นหน่วยงานกลางที่จะสอบสวนข้อเท็จจริงที่เกี่ยวกับการสมยอมในการเสนอราคา และมีอำนาจกล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวนเพื่อให้ดำเนินคดีต่อไปได้ แทนหน่วยงานของรัฐเจ้าของโครงการ อย่างไรก็ตามไม่ตัดสิทธิผู้เสียหายอื่น หรือหน่วยงานของรัฐนั้นจะกล่าวโทษเองด้วย
3. กำหนดโทษผู้กระทำผิดไว้ 2 ระดับ คือ
3.1 สำหรับผู้กระทำการสมยอม ใช้อัตราโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี โดยเทียบกับความผิดฐานให้สินบนเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา ส่วนโทษปรับกำหนดเป็นจำนวนร้อยละสิบของมูลค่าในการดำเนินการเกี่ยวกับการพัสดุในคราวที่กระทำผิดนั้น และเมื่อปรับในลักษณะนี้แล้วก็ไม่จำเป็นต้องมีโทษในทางแพ่งอีก ส่วนกรณีนิติบุคคลทำผิดให้มีบทสันนิษฐานว่า กรรมการผู้จัดการผู้จัดการ หรือผู้แทนของนิติบุคคลนั้นต้องรับผิดชอบด้วย เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่า ตนมิได้มีส่วนรู้เห็นหรือยินยอมในการกระทำความผิดนั้น3.2 สำหรับเจ้าหน้าที่ของรัฐที่กระทำการทุจริตรู้เห็นเป็นใจด้วยนั้น ใช้อัตราโทษจำคุกตั้งแต่ 5 ปี ถึง 20 ปี หรือจำคุกตลอดชีวิตและปรับตั้งแต่ 20,000 บาท ถึง 200,000 บาท โดยเทียบเคียงกับความผิดฐานเจ้าพนักงานทุจริตในการจัดซื้อตามประมวลกฎหมายอาญา
นอกจากนี้ คณะรัฐมนตรีเห็นชอบข้อสังเกตของคณะกรรมการพิจารณาร่างกฎหมายป้องกันการสมยอมกันในการเสนอราคาและปรับปรุงแก้ไขระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ (กรสพ.) ดังนี้คือ ตามร่างมาตรา 7 แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการสมยอมในการเสนอราคา พ.ศ. .... ได้กำหนดให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ มีอำนาจสอบสวนข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการกระทำที่เป็นการสมยอมในการเสนอราคาโดยอาศัยอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ตามมาตรา 301 (6) รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ซึ่งบัญญัติไว้ว่า "ดำเนินการอื่นตามที่กฎหมายบัญญัติ" แต่มีคณะกรรมการบางท่านมีข้อสังเกตว่า ตามมาตรา 7 แห่งร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้มุ่งใช้บังคับกับผู้เสนอราคาที่มีการสมยอมในการเสนอราคา ซึ่งเป็นภาคเอกชน จึงอาจจะมีปัญหาว่าไม่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยที่กำหนดให้มีคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ โดยให้มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับการตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ ซึ่งมุ่งใช้บังคับดำเนินการกับผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและเจ้าหน้าที่ของรัฐเป็นสำคัญ
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ชุดนายชวน หลีกภัย)--วันที่ 21 เมษายน 2541--
คณะรัฐมนตรีอนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการสมยอมกันในการเสนอราคา พ.ศ. .... ตามที่สำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป โดยร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวมีสาระสำคัญ ดังนี้
1. กำหนดนิยามและลักษณะความผิดที่เป็นการกระทำในการสมยอมในการเสนอราคา โดยหากมีการกระทำเข้าหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้จะมีความผิดฐานฉ้อโกงรัฐ และการเสนอราคาตามร่างพระราชบัญญัตินี้รวมถึงการดำเนินการเกี่ยวกับการพัสดุทุกกรณีไม่ว่าจะเป็นการจัดหาหรือจำหน่าย
2. กำหนดให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติเป็นหน่วยงานกลางที่จะสอบสวนข้อเท็จจริงที่เกี่ยวกับการสมยอมในการเสนอราคา และมีอำนาจกล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวนเพื่อให้ดำเนินคดีต่อไปได้ แทนหน่วยงานของรัฐเจ้าของโครงการ อย่างไรก็ตามไม่ตัดสิทธิผู้เสียหายอื่น หรือหน่วยงานของรัฐนั้นจะกล่าวโทษเองด้วย
3. กำหนดโทษผู้กระทำผิดไว้ 2 ระดับ คือ
3.1 สำหรับผู้กระทำการสมยอม ใช้อัตราโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี โดยเทียบกับความผิดฐานให้สินบนเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา ส่วนโทษปรับกำหนดเป็นจำนวนร้อยละสิบของมูลค่าในการดำเนินการเกี่ยวกับการพัสดุในคราวที่กระทำผิดนั้น และเมื่อปรับในลักษณะนี้แล้วก็ไม่จำเป็นต้องมีโทษในทางแพ่งอีก ส่วนกรณีนิติบุคคลทำผิดให้มีบทสันนิษฐานว่า กรรมการผู้จัดการผู้จัดการ หรือผู้แทนของนิติบุคคลนั้นต้องรับผิดชอบด้วย เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่า ตนมิได้มีส่วนรู้เห็นหรือยินยอมในการกระทำความผิดนั้น3.2 สำหรับเจ้าหน้าที่ของรัฐที่กระทำการทุจริตรู้เห็นเป็นใจด้วยนั้น ใช้อัตราโทษจำคุกตั้งแต่ 5 ปี ถึง 20 ปี หรือจำคุกตลอดชีวิตและปรับตั้งแต่ 20,000 บาท ถึง 200,000 บาท โดยเทียบเคียงกับความผิดฐานเจ้าพนักงานทุจริตในการจัดซื้อตามประมวลกฎหมายอาญา
นอกจากนี้ คณะรัฐมนตรีเห็นชอบข้อสังเกตของคณะกรรมการพิจารณาร่างกฎหมายป้องกันการสมยอมกันในการเสนอราคาและปรับปรุงแก้ไขระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ (กรสพ.) ดังนี้คือ ตามร่างมาตรา 7 แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการสมยอมในการเสนอราคา พ.ศ. .... ได้กำหนดให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ มีอำนาจสอบสวนข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการกระทำที่เป็นการสมยอมในการเสนอราคาโดยอาศัยอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ตามมาตรา 301 (6) รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ซึ่งบัญญัติไว้ว่า "ดำเนินการอื่นตามที่กฎหมายบัญญัติ" แต่มีคณะกรรมการบางท่านมีข้อสังเกตว่า ตามมาตรา 7 แห่งร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้มุ่งใช้บังคับกับผู้เสนอราคาที่มีการสมยอมในการเสนอราคา ซึ่งเป็นภาคเอกชน จึงอาจจะมีปัญหาว่าไม่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยที่กำหนดให้มีคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ โดยให้มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับการตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ ซึ่งมุ่งใช้บังคับดำเนินการกับผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและเจ้าหน้าที่ของรัฐเป็นสำคัญ
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ชุดนายชวน หลีกภัย)--วันที่ 21 เมษายน 2541--