คณะรัฐมนตรีรับทราบตามที่กระทรวงพาณิชย์รายงาน การค้าระหว่างประเทศของไทยในระยะ 10 เดือนแรกของปี 2548 (มกราคม — ตุลาคม) ดังนี้
การค้าระหว่างประเทศของไทยในระยะ 10 เดือนแรกของปี 2548 (มกราคม-ตุลาคม)
1. การส่งออก การส่งออกเดือนตุลาคม มีมูลค่า 9,574 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันปีก่อนร้อยละ 8.4 การส่งออกยังคงเพิ่มขึ้นในอัตราค่อนข้างสูง แต่ชะลอตัวจากไตรมาสที่ 3 โดยสินค้าอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นร้อยละ 11.7 ขณะที่สินค้าเกษตร/อุตสาหกรรมการเกษตรลดลงจากเดือนเดียวกันปีก่อนร้อยละ 4.4
สินค้าเกษตร/อุตสาหกรรมการเกษตร สินค้าที่ส่งออกเพิ่มขึ้น ได้แก่ มันสำปะหลัง กุ้งแช่แข็ง ผักและผลไม้ และไก่แปรรูป สินค้าที่ส่งออกลดลงได้แก่ ข้าว ยางพารา น้ำตาลและกุ้งแปรรูป โดยลดลงทั้งปริมาณและมูลค่า เนื่องจากประสบปัญหาผลผลิตในประเทศลดลงจากปัญหาภัยแล้ง ขณะที่ราคาส่งออกยังมีแนวโน้มสูงขึ้น
สินค้าอุตสาหกรรม การส่งออกมีอัตราการเพิ่มชะลอตัวลงจากช่วงไตรมาสที่ 3 เช่นเดียวกัน สินค้าที่ขยายตัวในอัตราสูงต่อเนื่อง คือ ยานยนต์ แผงวงจรไฟฟ้า ขณะที่ส่วนใหญ่เพิ่มขึ้นในอัตราที่ลดลง ได้แก่ ส่วนประกอบคอมพิวเตอร์ พลาสติก เหล็กกล้า อัญมณี ผลิตภัณฑ์ยาง เครื่องเดินทางและเครื่องหนัง สิ่งพิมพ์และกระดาษ และ เครื่องสำอาง สำหรับสินค้าที่ส่งออกลดลงได้แก่ เครื่องใช้ไฟฟ้า สิ่งทอ เฟอร์นิเจอร์ เครื่องใช้เครื่องประดับตกแต่ง และของเล่น เป็นต้น
การส่งออกในระยะ 10 เดือนแรกของปี 2548 (ม.ค.-ต.ค.) มีมูลค่า 91,595 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 15.3 เป็นการขยายตัวของการส่งออกสินค้าเกษตรกรรม/อุตสาหกรรมการเกษตรร้อยละ 5.6 และสินค้าอุตสาหกรรมร้อยละ 16.1
สินค้าสำคัญที่ส่งออกเพิ่มขึ้น ได้แก่ สินค้าอาหาร (ปลา ผัก ผลไม้ กุ้งแช่แข็ง ไก่แปรรูป) ยานยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องอิเล็กทรอนิกส์ พลาสติก เหล็กกล้า อัญมณี ผลิตภัณฑ์ยาง สิ่งทอ เครื่องเดินทางและเครื่องหนัง และ เฟอร์นิเจอร์
สินค้าสำคัญที่ส่งออกลดลง ได้แก่ ข้าว มันเม็ดและมันเส้น ไก่สดแช่แข็ง
ตลาดส่งออกสำคัญ การส่งออกขยายตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องทั้งในตลาดใหม่และตลาดหลัก โดย เพิ่มขึ้นร้อยละ 23.7 และ 10.2 ตามลำดับ ตลาดสำคัญที่ขยายตัวในอัตราสูง ได้แก่ อินเดีย (ร้อยละ 63.2) ลาตินอเมริกา (ร้อยละ 41.8) ออสเตรเลีย (ร้อยละ 29.3) จีน (ร้อยละ 29.0) อินโดจีนและพม่า (ร้อยละ 27.0) ยุโรปตะวันออก (ร้อยละ 23.7) ตะวันออกกลาง (ร้อยละ 22.7) และ แอฟริกา (ร้อยละ 18.1)
การส่งออกไปตลาดหลักขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 10.2 ตามการขยายตัวของการส่งออกไปญี่ปุ่น สหรัฐฯ และ อาเซียนที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 13.6, 12.2 และ 10.4 ตามลำดับ ขณะที่การส่งออกไปสหภาพยุโรปขยายตัวเพิ่มขึ้นในอัตราต่ำเพียงร้อยละ 4.2
2. การนำเข้า
การนำเข้าในเดือนตุลาคม 2548 มีมูลค่า 9,759.5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อนเพิ่มขึ้นร้อยละ 18.3 และเทียบกับเดือนกันยายน 2548 เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.9
สินค้าที่มีมูลค่าการนำเข้าสูง ในเดือนตุลาคม 2548 ได้แก่ สินค้าเชื้อเพลิง ทุน วัตถุดิบ/ กึ่งสำเร็จรูป โดยการนำเข้าเทียบกับระยะเดียวกันของปีก่อนเพิ่มขึ้นร้อยละ 65.1, 23.2 และ 2.8 ตามลำดับ สินค้านำเข้าที่สำคัญมีดังนี้
- สินค้าเชื้อเพลิง นำเข้ามูลค่า 1,831 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เทียบกับเดือนเดียวกันปีก่อน เพิ่มขึ้นร้อยละ 65.1 หรือคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 18.8 ของมูลค่านำเข้ารวมในเดือนตุลาคม 2548 โดยเป็นการนำเข้าน้ำมันดิบมูลค่า 1,448 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 56.3 (สัดส่วนร้อยละ 14.8 ของมูลค่านำเข้ารวม) และเป็นน้ำมันสำเร็จรูปนำเข้า มูลค่า 198 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 381.7 (สัดส่วนร้อยละ 2.0 ของมูลค่านำเข้ารวม)
สำหรับการนำเข้าน้ำมันดิบนั้น รัฐบาลได้ใช้มาตรการบริหารการนำเข้าโดยขอความร่วมมือให้นำเข้าไม่เกิน 0.85 ล้านบาร์เรลต่อวัน ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2548 ทำให้ปริมาณการนำเข้าลดลงตามลำดับ โดยเดือนกรกฎาคม 2548 นำเข้าเฉลี่ย 0.87 ล้านบาร์เรลต่อวัน เดือนสิงหาคมนำเข้าเฉลี่ย 0.83 ล้านบาร์เรลต่อวัน ลดลงจากเดือนกรกฎาคม ร้อยละ 3.99 เดือนกันยายนนำเข้าเฉลี่ย 0.74 ล้านบาร์เรลต่อวัน ลดลงจากเดือนสิงหาคม ร้อยละ 11 สำหรับเดือนตุลาคม 2548 นำเข้าเฉลี่ย 0.78 ล้านบาร์เรลต่อวัน เพิ่มขึ้นจากเดือนกันยายน ร้อยละ 4.95
- เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ นำเข้ามูลค่า 847 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เทียบกับระยะเดียวกันของปีก่อนเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.0 (สัดส่วนร้อยละ 8.7 ของมูลค่านำเข้ารวม)
- เครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนประกอบ นำเข้ามูลค่า 810 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เทียบกับระยะเดียวกันของปีก่อนเพิ่มขึ้นร้อยละ 26.6 (สัดส่วนร้อยละ 8.3 ของมูลค่านำเข้ารวม)
- เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ นำเข้ามูลค่า 580 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เทียบกับระยะเดียวกันของปีก่อนเพิ่มขึ้นร้อยละ 19.4 (สัดส่วนร้อยละ 5.9 ของมูลค่านำเข้ารวม)
- เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ นำเข้ามูลค่า 559 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เทียบกับระยะเดียวกันของปีก่อนลดลงร้อยละ 5.9 (สัดส่วนร้อยละ 5.7 ของมูลค่านำเข้ารวม) โดยการบริหารการนำเข้า ทำให้ปริมาณการนำเข้าเหล็กมีแนวโน้มลดลงจากเฉลี่ยเดือนละ 1.5 ล้านตันในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2548 โดยในเดือนตุลาคมมีการนำเข้า 0.92 ล้านตัน เพิ่มขึ้นจากเดือนกันยายน 2548 ร้อยละ 8.06 และลดลงเมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 23
- ทองคำ นำเข้ามูลค่า 166 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เทียบกับระยะเดียวของปีก่อนเพิ่มขึ้น ร้อยละ 85.8 (สัดส่วนร้อยละ 1.7 ของมูลค่านำเข้ารวม) ปริมาณการนำเข้ามีแนวโน้มลดลงหลังจากมีมาตรการขอความ ร่วมมือให้ลดการนำเข้า โดยในเดือนสิงหาคม 2548 นำเข้า 16 ตัน เดือนกันยายนนำเข้า 12.5 ตัน และ เดือนตุลาคมนำเข้า 12.8 ตัน ต่ำกว่าปริมาณการนำเข้าเดือนสิงหาคม 3.2 ตัน แต่เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน ร้อยละ 2.2 และเพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 82.6
การนำเข้าในระยะ 10 เดือนแรกของปี 2548 (มกราคม-ตุลาคม) มีมูลค่า 99,188 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เทียบกับระยะเดียวกันของปีก่อนเพิ่มขึ้นร้อยละ 26.9 เป็นการขยายตัวของการนำเข้าในทุกหมวด ที่สำคัญได้แก่ วัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูป สินค้าทุน และสินค้าเชื้อเพลิง เพิ่มขึ้นร้อยละ 40.2, 29.2 และ 18.8 ตามลำดับ
3. สรุปแนวโน้มการส่งออกและนำเข้าของปี 2548
แนวโน้มการส่งออกในช่วง 2 เดือนสุดท้ายของปี 2548 (พ.ย.-ธ.ค.) สินค้าที่ตัวเลขการส่งออกลดลงหรือชะลอตัวลงในเดือนตุลาคม คือ กุ้ง ไก่ เครื่องอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องใช้ไฟฟ้า สิ่งทอ อัญมณี และเฟอร์นิเจอร์ นั้น ในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปี 2548 จะยังขยายตัวต่อเนื่องและเชื่อมั่นว่าจะสามารถส่งออกได้ตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ เนื่องจากมีคำสั่งซื้อเข้ามามาก โดยเฉพาะสินค้าสิ่งทอ ยกเว้นเครื่องใช้ไฟฟ้า ซึ่งจะส่งออกได้ต่ำกว่าเป้าหมาย
อย่างไรก็ตาม กระทรวงพาณิชย์จะได้เชิญสมาคมและผู้ส่งออกสินค้าสำคัญมาประชุมหารืออีกครั้งหนึ่ง เพื่อประเมินและวิเคราะห์ถึงสถานการณ์และแนวโน้มการส่งออกของปี 2548 และ 2549 ต่อไป
แนวโน้มการนำเข้าในช่วง 2 เดือนสุดท้ายของปี 2548 (พ.ย.-ธ.ค.) จากการประชุมกับผู้นำเข้า รวม 6 กลุ่มสินค้า ได้แก่ น้ำมันดิบ เหล็ก ทองคำ คอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ และเคมีภัณฑ์ คิดเป็นสัดส่วนการนำเข้าเป็นร้อยละ 43.9 ของมูลค่าการนำเข้ารวมในเดือนตุลาคม 2548 และการประชุมร่วมกับหน่วยงานภาครัฐและรัฐวิสาหกิจที่นำเข้าสินค้าตามโครงการของรัฐเพื่อขอความร่วมมือในการชะลอการนำเข้า คาดว่าการนำเข้าในช่วง 2 เดือนสุดท้ายของปี 2548 (พฤศจิกายน-ธันวาคม) จะมีแนวโน้มการนำเข้าสินค้าสำคัญ ดังนี้
- น้ำมันดิบ ราคาน้ำมันโลกยังคงผันผวน และมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นตามความต้องการที่ เพิ่มขึ้นของประเทศในซีกโลกเหนือที่ได้เข้าสู่ฤดูหนาว แต่คาดว่าราคาจะไม่สูงขึ้นจากระดับปัจจุบันมากนัก ดังนั้น ปริมาณนำเข้าน้ำมันดิบในช่วงเดือนพฤศจิกายน- ธันวาคม 2548 คาดว่าจะไม่เกินปริมาณ 0.85 ล้านบาร์เรลต่อวัน ตามที่ให้ความร่วมมือไว้
- เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ ภาวะการผลิตเหล็กในตลาดโลกยังคงทรงตัว ประกอบกับความต้องการใช้เหล็กภายในประเทศชะลอตัวลงตามทิศทางของอุตสาหกรรมก่อสร้าง และผู้ผลิตยังมีสินค้าคงคลัง ดังนั้น การนำเข้าในช่วง 2 เดือนหลังของปี 2548 (พ.ย.-ธ.ค.) คาดว่า จะมีการนำเข้า 0.93 และ 1.07 ล้านตัน ตามลำดับ ตามที่ผู้นำเข้าแจ้งแผนการนำเข้าไว้กับกระทรวงพาณิชย์
- ทองคำ การนำเข้าทองคำของไทยยังมีแนวโน้มสูงขึ้น เพื่อใช้ในการผลิตอัญมณีและเครื่องประดับ โดยคาดว่าในช่วง 2 เดือนสุดท้ายของปี 2548 จะมีการนำเข้า 11.4 ตัน และ 12 ตัน ตามลำดับ ตามที่ผู้นำเข้าแจ้งแผนการนำเข้าไว้กับกระทรวงพาณิชย์
- คอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ ส่วนใหญ่เป็นการนำเข้ามาเป็นวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตเพื่อส่งออกและไทยได้ดุลการค้าจากสินค้ากลุ่มนี้ตลอดมา สำหรับการนำเข้าในช่วง 2 เดือนที่เหลือของปี 2548 คาดว่าจะนำเข้าเพิ่มขึ้นตามภาวะการผลิตของภาคอุตสาหกรรมที่เพิ่มขึ้น โดยคาดว่า จะนำเข้าประมาณเดือนละ 464-698 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
- เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ เป็นการนำเข้าเพื่อใช้ในอุตสาหกรรมการผลิตที่เป็นกิจการของตนเอง โดยเครื่องจักรที่นำเข้าส่วนใหญ่ไม่สามารถผลิตได้ภายในประเทศ เพราะใช้เทคโนโลยีการผลิตสูง คาดว่าเดือนพฤศจิกายน—ธันวาคม 2548 จะนำเข้าประมาณเดือนละ 854-1,029 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
- เคมีภัณฑ์ นำเข้าเพื่อใช้เป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมต่อเนื่อง โดยสินค้าเคมีภัณฑ์ส่วนใหญ่ไม่สามารถผลิตได้เองในประเทศ หรือหากผลิตได้ก็มีปริมาณไม่เพียงพอต่อการใช้ ซึ่งกรมการค้าต่างประเทศได้เชิญผู้นำเข้าเคมีภัณฑ์มาหารือเพื่อขอความร่วมมือในการนำเข้าให้เหมาะสมกับความต้องการใช้ในแต่ละอุตสาหกรรม คาดว่าการนำเข้าในช่วง 2 เดือนสุดท้าย จะนำเข้าประมาณเดือนละ 700 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
- การนำเข้าสินค้าตามโครงการลงทุนขนาดใหญ่ จากการหารือและการแจ้งแผนการนำเข้าของ 17 หน่วยงาน พบว่า หน่วยงานมีแผนนำเข้ามูลค่ารวม 549.9 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ได้แก่ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) นำเข้าเครื่องบินโดยสารมูลค่ารวม 272.10 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และบริษัท ปตท จำกัด (มหาชน) นำเข้าท่อส่งก๊าซมูลค่ารวม 191.6 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
4. ดุลการค้า
เดือนตุลาคม 2548 ไทยขาดดุลการค้า 185.3 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ทำให้ดุลการค้าในระยะ 10 เดือนแรกของปี 2548 ขาดดุลรวม 7,593 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
อย่างไรก็ตาม ในช่วง 4 เดือนที่ผ่านมา (ก.ค.-ต.ค. 48) ดุลการค้าของไทยเกินดุล 560.2 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เมื่อเทียบกับช่วงครึ่งปีแรกของปี 2548 (ม.ค.-มิ.ย. 48 ที่ขาดดุล 8,153.5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (เฉลี่ยขาดดุลเดือนละ1,359 ล้านเหรียญสหรัฐฯ) ดุลการค้าของไทยมีแนวโน้มดีขึ้น
สาเหตุที่ทำให้ขาดดุลการค้าในเดือนตุลาคม เนื่องจากมีการนำเข้าสินค้าทุนจำนวนมากตาม โครงการขนาดใหญ่ของรัฐ (Mega Projects) เช่น เครื่องบิน (140 ล้านเหรียญสหรัฐฯ) และการนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงที่มีมูลค่าเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 65.1 อย่างไรก็ตาม ปริมาณการนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นยังคงต่ำกว่าปริมาณ การนำเข้าขั้นสูงตามมาตรการประหยัดพลังงาน
อีกปัจจัยที่ทำให้ขาดดุลการค้าในเดือนตุลาคมคือ การส่งออกขยายตัวต่ำกว่าเป้าหมายโดยเฉพาะสินค้าเกษตรที่สำคัญ เช่น ข้าว ไก่สดแช่แข็ง เพราะต้องแข่งขันราคากับเวียดนามและปัญหาไข้หวัดนก เป็นต้น ) รวมทั้งผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวในตลาดสำคัญ เช่น สหรัฐฯ และยุโรป อันเนื่องมาจากภัยพิบัติทางธรรมชาติ นอกจากนี้ การส่งออกน้ำมันดิบและน้ำมันสำเร็จรูปได้ลดลงจากระดับปกติ ซึ่งเคยส่งออกเดือนละประมาณ 350 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เป็นประมาณ 250 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในเดือนตุลาคมนี้
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร) วันที่ 29 พฤศจิกายน 2548--จบ--
การค้าระหว่างประเทศของไทยในระยะ 10 เดือนแรกของปี 2548 (มกราคม-ตุลาคม)
1. การส่งออก การส่งออกเดือนตุลาคม มีมูลค่า 9,574 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันปีก่อนร้อยละ 8.4 การส่งออกยังคงเพิ่มขึ้นในอัตราค่อนข้างสูง แต่ชะลอตัวจากไตรมาสที่ 3 โดยสินค้าอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นร้อยละ 11.7 ขณะที่สินค้าเกษตร/อุตสาหกรรมการเกษตรลดลงจากเดือนเดียวกันปีก่อนร้อยละ 4.4
สินค้าเกษตร/อุตสาหกรรมการเกษตร สินค้าที่ส่งออกเพิ่มขึ้น ได้แก่ มันสำปะหลัง กุ้งแช่แข็ง ผักและผลไม้ และไก่แปรรูป สินค้าที่ส่งออกลดลงได้แก่ ข้าว ยางพารา น้ำตาลและกุ้งแปรรูป โดยลดลงทั้งปริมาณและมูลค่า เนื่องจากประสบปัญหาผลผลิตในประเทศลดลงจากปัญหาภัยแล้ง ขณะที่ราคาส่งออกยังมีแนวโน้มสูงขึ้น
สินค้าอุตสาหกรรม การส่งออกมีอัตราการเพิ่มชะลอตัวลงจากช่วงไตรมาสที่ 3 เช่นเดียวกัน สินค้าที่ขยายตัวในอัตราสูงต่อเนื่อง คือ ยานยนต์ แผงวงจรไฟฟ้า ขณะที่ส่วนใหญ่เพิ่มขึ้นในอัตราที่ลดลง ได้แก่ ส่วนประกอบคอมพิวเตอร์ พลาสติก เหล็กกล้า อัญมณี ผลิตภัณฑ์ยาง เครื่องเดินทางและเครื่องหนัง สิ่งพิมพ์และกระดาษ และ เครื่องสำอาง สำหรับสินค้าที่ส่งออกลดลงได้แก่ เครื่องใช้ไฟฟ้า สิ่งทอ เฟอร์นิเจอร์ เครื่องใช้เครื่องประดับตกแต่ง และของเล่น เป็นต้น
การส่งออกในระยะ 10 เดือนแรกของปี 2548 (ม.ค.-ต.ค.) มีมูลค่า 91,595 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 15.3 เป็นการขยายตัวของการส่งออกสินค้าเกษตรกรรม/อุตสาหกรรมการเกษตรร้อยละ 5.6 และสินค้าอุตสาหกรรมร้อยละ 16.1
สินค้าสำคัญที่ส่งออกเพิ่มขึ้น ได้แก่ สินค้าอาหาร (ปลา ผัก ผลไม้ กุ้งแช่แข็ง ไก่แปรรูป) ยานยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องอิเล็กทรอนิกส์ พลาสติก เหล็กกล้า อัญมณี ผลิตภัณฑ์ยาง สิ่งทอ เครื่องเดินทางและเครื่องหนัง และ เฟอร์นิเจอร์
สินค้าสำคัญที่ส่งออกลดลง ได้แก่ ข้าว มันเม็ดและมันเส้น ไก่สดแช่แข็ง
ตลาดส่งออกสำคัญ การส่งออกขยายตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องทั้งในตลาดใหม่และตลาดหลัก โดย เพิ่มขึ้นร้อยละ 23.7 และ 10.2 ตามลำดับ ตลาดสำคัญที่ขยายตัวในอัตราสูง ได้แก่ อินเดีย (ร้อยละ 63.2) ลาตินอเมริกา (ร้อยละ 41.8) ออสเตรเลีย (ร้อยละ 29.3) จีน (ร้อยละ 29.0) อินโดจีนและพม่า (ร้อยละ 27.0) ยุโรปตะวันออก (ร้อยละ 23.7) ตะวันออกกลาง (ร้อยละ 22.7) และ แอฟริกา (ร้อยละ 18.1)
การส่งออกไปตลาดหลักขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 10.2 ตามการขยายตัวของการส่งออกไปญี่ปุ่น สหรัฐฯ และ อาเซียนที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 13.6, 12.2 และ 10.4 ตามลำดับ ขณะที่การส่งออกไปสหภาพยุโรปขยายตัวเพิ่มขึ้นในอัตราต่ำเพียงร้อยละ 4.2
2. การนำเข้า
การนำเข้าในเดือนตุลาคม 2548 มีมูลค่า 9,759.5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อนเพิ่มขึ้นร้อยละ 18.3 และเทียบกับเดือนกันยายน 2548 เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.9
สินค้าที่มีมูลค่าการนำเข้าสูง ในเดือนตุลาคม 2548 ได้แก่ สินค้าเชื้อเพลิง ทุน วัตถุดิบ/ กึ่งสำเร็จรูป โดยการนำเข้าเทียบกับระยะเดียวกันของปีก่อนเพิ่มขึ้นร้อยละ 65.1, 23.2 และ 2.8 ตามลำดับ สินค้านำเข้าที่สำคัญมีดังนี้
- สินค้าเชื้อเพลิง นำเข้ามูลค่า 1,831 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เทียบกับเดือนเดียวกันปีก่อน เพิ่มขึ้นร้อยละ 65.1 หรือคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 18.8 ของมูลค่านำเข้ารวมในเดือนตุลาคม 2548 โดยเป็นการนำเข้าน้ำมันดิบมูลค่า 1,448 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 56.3 (สัดส่วนร้อยละ 14.8 ของมูลค่านำเข้ารวม) และเป็นน้ำมันสำเร็จรูปนำเข้า มูลค่า 198 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 381.7 (สัดส่วนร้อยละ 2.0 ของมูลค่านำเข้ารวม)
สำหรับการนำเข้าน้ำมันดิบนั้น รัฐบาลได้ใช้มาตรการบริหารการนำเข้าโดยขอความร่วมมือให้นำเข้าไม่เกิน 0.85 ล้านบาร์เรลต่อวัน ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2548 ทำให้ปริมาณการนำเข้าลดลงตามลำดับ โดยเดือนกรกฎาคม 2548 นำเข้าเฉลี่ย 0.87 ล้านบาร์เรลต่อวัน เดือนสิงหาคมนำเข้าเฉลี่ย 0.83 ล้านบาร์เรลต่อวัน ลดลงจากเดือนกรกฎาคม ร้อยละ 3.99 เดือนกันยายนนำเข้าเฉลี่ย 0.74 ล้านบาร์เรลต่อวัน ลดลงจากเดือนสิงหาคม ร้อยละ 11 สำหรับเดือนตุลาคม 2548 นำเข้าเฉลี่ย 0.78 ล้านบาร์เรลต่อวัน เพิ่มขึ้นจากเดือนกันยายน ร้อยละ 4.95
- เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ นำเข้ามูลค่า 847 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เทียบกับระยะเดียวกันของปีก่อนเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.0 (สัดส่วนร้อยละ 8.7 ของมูลค่านำเข้ารวม)
- เครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนประกอบ นำเข้ามูลค่า 810 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เทียบกับระยะเดียวกันของปีก่อนเพิ่มขึ้นร้อยละ 26.6 (สัดส่วนร้อยละ 8.3 ของมูลค่านำเข้ารวม)
- เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ นำเข้ามูลค่า 580 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เทียบกับระยะเดียวกันของปีก่อนเพิ่มขึ้นร้อยละ 19.4 (สัดส่วนร้อยละ 5.9 ของมูลค่านำเข้ารวม)
- เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ นำเข้ามูลค่า 559 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เทียบกับระยะเดียวกันของปีก่อนลดลงร้อยละ 5.9 (สัดส่วนร้อยละ 5.7 ของมูลค่านำเข้ารวม) โดยการบริหารการนำเข้า ทำให้ปริมาณการนำเข้าเหล็กมีแนวโน้มลดลงจากเฉลี่ยเดือนละ 1.5 ล้านตันในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2548 โดยในเดือนตุลาคมมีการนำเข้า 0.92 ล้านตัน เพิ่มขึ้นจากเดือนกันยายน 2548 ร้อยละ 8.06 และลดลงเมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 23
- ทองคำ นำเข้ามูลค่า 166 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เทียบกับระยะเดียวของปีก่อนเพิ่มขึ้น ร้อยละ 85.8 (สัดส่วนร้อยละ 1.7 ของมูลค่านำเข้ารวม) ปริมาณการนำเข้ามีแนวโน้มลดลงหลังจากมีมาตรการขอความ ร่วมมือให้ลดการนำเข้า โดยในเดือนสิงหาคม 2548 นำเข้า 16 ตัน เดือนกันยายนนำเข้า 12.5 ตัน และ เดือนตุลาคมนำเข้า 12.8 ตัน ต่ำกว่าปริมาณการนำเข้าเดือนสิงหาคม 3.2 ตัน แต่เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน ร้อยละ 2.2 และเพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 82.6
การนำเข้าในระยะ 10 เดือนแรกของปี 2548 (มกราคม-ตุลาคม) มีมูลค่า 99,188 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เทียบกับระยะเดียวกันของปีก่อนเพิ่มขึ้นร้อยละ 26.9 เป็นการขยายตัวของการนำเข้าในทุกหมวด ที่สำคัญได้แก่ วัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูป สินค้าทุน และสินค้าเชื้อเพลิง เพิ่มขึ้นร้อยละ 40.2, 29.2 และ 18.8 ตามลำดับ
3. สรุปแนวโน้มการส่งออกและนำเข้าของปี 2548
แนวโน้มการส่งออกในช่วง 2 เดือนสุดท้ายของปี 2548 (พ.ย.-ธ.ค.) สินค้าที่ตัวเลขการส่งออกลดลงหรือชะลอตัวลงในเดือนตุลาคม คือ กุ้ง ไก่ เครื่องอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องใช้ไฟฟ้า สิ่งทอ อัญมณี และเฟอร์นิเจอร์ นั้น ในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปี 2548 จะยังขยายตัวต่อเนื่องและเชื่อมั่นว่าจะสามารถส่งออกได้ตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ เนื่องจากมีคำสั่งซื้อเข้ามามาก โดยเฉพาะสินค้าสิ่งทอ ยกเว้นเครื่องใช้ไฟฟ้า ซึ่งจะส่งออกได้ต่ำกว่าเป้าหมาย
อย่างไรก็ตาม กระทรวงพาณิชย์จะได้เชิญสมาคมและผู้ส่งออกสินค้าสำคัญมาประชุมหารืออีกครั้งหนึ่ง เพื่อประเมินและวิเคราะห์ถึงสถานการณ์และแนวโน้มการส่งออกของปี 2548 และ 2549 ต่อไป
แนวโน้มการนำเข้าในช่วง 2 เดือนสุดท้ายของปี 2548 (พ.ย.-ธ.ค.) จากการประชุมกับผู้นำเข้า รวม 6 กลุ่มสินค้า ได้แก่ น้ำมันดิบ เหล็ก ทองคำ คอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ และเคมีภัณฑ์ คิดเป็นสัดส่วนการนำเข้าเป็นร้อยละ 43.9 ของมูลค่าการนำเข้ารวมในเดือนตุลาคม 2548 และการประชุมร่วมกับหน่วยงานภาครัฐและรัฐวิสาหกิจที่นำเข้าสินค้าตามโครงการของรัฐเพื่อขอความร่วมมือในการชะลอการนำเข้า คาดว่าการนำเข้าในช่วง 2 เดือนสุดท้ายของปี 2548 (พฤศจิกายน-ธันวาคม) จะมีแนวโน้มการนำเข้าสินค้าสำคัญ ดังนี้
- น้ำมันดิบ ราคาน้ำมันโลกยังคงผันผวน และมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นตามความต้องการที่ เพิ่มขึ้นของประเทศในซีกโลกเหนือที่ได้เข้าสู่ฤดูหนาว แต่คาดว่าราคาจะไม่สูงขึ้นจากระดับปัจจุบันมากนัก ดังนั้น ปริมาณนำเข้าน้ำมันดิบในช่วงเดือนพฤศจิกายน- ธันวาคม 2548 คาดว่าจะไม่เกินปริมาณ 0.85 ล้านบาร์เรลต่อวัน ตามที่ให้ความร่วมมือไว้
- เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ ภาวะการผลิตเหล็กในตลาดโลกยังคงทรงตัว ประกอบกับความต้องการใช้เหล็กภายในประเทศชะลอตัวลงตามทิศทางของอุตสาหกรรมก่อสร้าง และผู้ผลิตยังมีสินค้าคงคลัง ดังนั้น การนำเข้าในช่วง 2 เดือนหลังของปี 2548 (พ.ย.-ธ.ค.) คาดว่า จะมีการนำเข้า 0.93 และ 1.07 ล้านตัน ตามลำดับ ตามที่ผู้นำเข้าแจ้งแผนการนำเข้าไว้กับกระทรวงพาณิชย์
- ทองคำ การนำเข้าทองคำของไทยยังมีแนวโน้มสูงขึ้น เพื่อใช้ในการผลิตอัญมณีและเครื่องประดับ โดยคาดว่าในช่วง 2 เดือนสุดท้ายของปี 2548 จะมีการนำเข้า 11.4 ตัน และ 12 ตัน ตามลำดับ ตามที่ผู้นำเข้าแจ้งแผนการนำเข้าไว้กับกระทรวงพาณิชย์
- คอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ ส่วนใหญ่เป็นการนำเข้ามาเป็นวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตเพื่อส่งออกและไทยได้ดุลการค้าจากสินค้ากลุ่มนี้ตลอดมา สำหรับการนำเข้าในช่วง 2 เดือนที่เหลือของปี 2548 คาดว่าจะนำเข้าเพิ่มขึ้นตามภาวะการผลิตของภาคอุตสาหกรรมที่เพิ่มขึ้น โดยคาดว่า จะนำเข้าประมาณเดือนละ 464-698 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
- เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ เป็นการนำเข้าเพื่อใช้ในอุตสาหกรรมการผลิตที่เป็นกิจการของตนเอง โดยเครื่องจักรที่นำเข้าส่วนใหญ่ไม่สามารถผลิตได้ภายในประเทศ เพราะใช้เทคโนโลยีการผลิตสูง คาดว่าเดือนพฤศจิกายน—ธันวาคม 2548 จะนำเข้าประมาณเดือนละ 854-1,029 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
- เคมีภัณฑ์ นำเข้าเพื่อใช้เป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมต่อเนื่อง โดยสินค้าเคมีภัณฑ์ส่วนใหญ่ไม่สามารถผลิตได้เองในประเทศ หรือหากผลิตได้ก็มีปริมาณไม่เพียงพอต่อการใช้ ซึ่งกรมการค้าต่างประเทศได้เชิญผู้นำเข้าเคมีภัณฑ์มาหารือเพื่อขอความร่วมมือในการนำเข้าให้เหมาะสมกับความต้องการใช้ในแต่ละอุตสาหกรรม คาดว่าการนำเข้าในช่วง 2 เดือนสุดท้าย จะนำเข้าประมาณเดือนละ 700 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
- การนำเข้าสินค้าตามโครงการลงทุนขนาดใหญ่ จากการหารือและการแจ้งแผนการนำเข้าของ 17 หน่วยงาน พบว่า หน่วยงานมีแผนนำเข้ามูลค่ารวม 549.9 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ได้แก่ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) นำเข้าเครื่องบินโดยสารมูลค่ารวม 272.10 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และบริษัท ปตท จำกัด (มหาชน) นำเข้าท่อส่งก๊าซมูลค่ารวม 191.6 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
4. ดุลการค้า
เดือนตุลาคม 2548 ไทยขาดดุลการค้า 185.3 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ทำให้ดุลการค้าในระยะ 10 เดือนแรกของปี 2548 ขาดดุลรวม 7,593 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
อย่างไรก็ตาม ในช่วง 4 เดือนที่ผ่านมา (ก.ค.-ต.ค. 48) ดุลการค้าของไทยเกินดุล 560.2 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เมื่อเทียบกับช่วงครึ่งปีแรกของปี 2548 (ม.ค.-มิ.ย. 48 ที่ขาดดุล 8,153.5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (เฉลี่ยขาดดุลเดือนละ1,359 ล้านเหรียญสหรัฐฯ) ดุลการค้าของไทยมีแนวโน้มดีขึ้น
สาเหตุที่ทำให้ขาดดุลการค้าในเดือนตุลาคม เนื่องจากมีการนำเข้าสินค้าทุนจำนวนมากตาม โครงการขนาดใหญ่ของรัฐ (Mega Projects) เช่น เครื่องบิน (140 ล้านเหรียญสหรัฐฯ) และการนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงที่มีมูลค่าเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 65.1 อย่างไรก็ตาม ปริมาณการนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นยังคงต่ำกว่าปริมาณ การนำเข้าขั้นสูงตามมาตรการประหยัดพลังงาน
อีกปัจจัยที่ทำให้ขาดดุลการค้าในเดือนตุลาคมคือ การส่งออกขยายตัวต่ำกว่าเป้าหมายโดยเฉพาะสินค้าเกษตรที่สำคัญ เช่น ข้าว ไก่สดแช่แข็ง เพราะต้องแข่งขันราคากับเวียดนามและปัญหาไข้หวัดนก เป็นต้น ) รวมทั้งผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวในตลาดสำคัญ เช่น สหรัฐฯ และยุโรป อันเนื่องมาจากภัยพิบัติทางธรรมชาติ นอกจากนี้ การส่งออกน้ำมันดิบและน้ำมันสำเร็จรูปได้ลดลงจากระดับปกติ ซึ่งเคยส่งออกเดือนละประมาณ 350 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เป็นประมาณ 250 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในเดือนตุลาคมนี้
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร) วันที่ 29 พฤศจิกายน 2548--จบ--