ทำเนียบรัฐบาล--21 ก.ย.--บิสนิวส์
คณะรัฐมนตรีอนุมัติในหลักการและเงื่อนไขการขอรับความช่วยเหลือจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศตามหนังสือแสดงเจตจำนงฯ ฉบับที่ 8 และมอบหมายให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นผู้ลงนามในหนังสือแสดงเจตจำนง ฉบับที่ 8 เพื่อจะได้จัดส่งให้คณะกรรมการกองทุนการเงินระหว่างประเทศพิจารณาต่อไป
สำหรับสาระสำคัญของหนังสือแสดงเจตจำนงขอรับความช่วยเหลือทางวิชาการและการเงิน มีดังนี้
1. มาตรการต่าง ๆ ที่รัฐบาลได้นำมาใช้ในการเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับกระบวนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ ซึ่งรวมถึงมาตรการที่ได้ประกาศในเดือนที่แล้วเริ่มส่งผลดีในทางปฏิบัติ จึงจะเห็นได้จากดัชนีชี้วัดทางเศรษฐกิจหลายตัวที่บ่งชี้ว่าเศรษฐกิจกำลังฟื้นตัว ด้วยเหตุผลเหล่านี้ กอปรกับฐานะด้านต่างประเทศที่มีการปรับตัวดีขึ้น รัฐบาลไทยคาดว่าจะไม่เบิกถอนเงินกู้งวดต่อ ๆ ไป ภายใต้โครงการเงินกู้ในช่วงระยะยาวเวลานี้ รัฐบาลไทยจะยังคงไว้ซึ่งสิทธิดังกล่าว
2. จากการที่เศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว ทำให้คาดว่าอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจในปี 2542 และอยู่ในระดับร้อยละ 3-4 ซึ่งสูงกว่าการทบทวนครั้งที่แล้ว ที่ประมาณไว้ร้อยละ 1 ในส่วนของกรอบนโยบายนั้น รัฐบาลไทยจะให้ความสำคัญกับเรื่องการดำเนินนโยบายการเงินและการคลัง เพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ ซึ่งรวมถึงการดำเนินมาตรการรายจ่ายอย่างต่อเนื่องเพื่อบรรเทาผลกระทบทางสังคม รวมทั้งการสนับสนุนธนาคารพาณิชย์ในการลดปริมาณหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้เพื่อฟื้นฟูระบบสินเชื่อ
3. สาระสำคัญของกรอบนโยบายในด้านต่าง ๆ สรุปได้ดังนี้
3.1 นโยบายการคลัง
เพื่อให้นโยบายการคลังมีผลในการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง รัฐบาลได้ออกมาตรการเพิ่มเติมเมื่อต้น เดือนสิงหาคม รวมทั้งการเลื่อนระยะเวลาการชำระภาษีเงินได้นิติบุคคล อย่างไรก็ตาม รัฐบาลคาดว่าในปีงบประมาณ 2542 การขาดดุลของภาครัฐโดยรวมจะอยู่ประมาณร้อยละ 5.5 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ ซึ่งต่ำกว่าที่ประมาณการไว้ในการทบทวนครั้งที่ผ่านมาร้อยละ 0.5 (ตัวเลขการขาดดุลภาครัฐโดยรวมนี้ไม่รวมภาระดอกเบี้ยที่เกิดจากการปรับโครงสร้างระบบสถาบันการเงินที่ประมาณไว้ร้อยละ 1.7 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ) ตัวเลขประมาณการใหม่นี้ ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการจัดเก็บรายได้ที่สูงขึ้น และอีกส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากความล่าช้าของการเบิกจ่ายเงินงบประมาณบางประเภท เนื่องจากรัฐบาลพยายามควบคุมคุณภาพของการใช้จ่าย สำหรับปีงบประมาณ 2543 ได้มีการกำหนดเป้าหมายฐานะการคลังของภาครัฐ โดยรวมให้ขาดดุลร้อยละ 5 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ ทั้งนี้ เพื่อให้เกิดความมั่นใจว่านโยบายการคลังจะสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง ในกรณีที่การเบิกจ่ายงบประมาณเป็นไปตามเป้าหมาย แต่รายได้ของรัฐบาลเพิ่มขึ้นเนื่องจากเศรษฐกิจฟื้นตัวมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ รายได้ในส่วนที่เพิ่มขึ้นนี้ จะถูกเก็บไว้เพื่อลดการขาดดุล ซึ่งจะช่วยเร่งสร้างความแข็งแกร่งของฐานะการคลังได้ก่อนกำหนดที่วางไว้ในระยะปานกลาง รัฐบาลจะยังคงยึดมั่นต่อการสร้างความโปร่งใสในการดำเนินงานของภาครัฐ ซึ่งรวมถึงการรวมภาระต้นทุนในการปรับโครงสร้างภาคการเงินไว้ในงบประมาณ เมื่อรายจ่ายดังกล่าวได้เกิดขึ้นและสามารถคำนวณได้ ซึ่งขณะนี้รัฐบาลกำลังพิจารณากำหนดวิธีการในเรื่องนี้อยู่
3.2 นโยบายการเงินและนโยบายอัตราแลกเปลี่ยน รัฐบาลได้ผ่อนคลายนโยายการเงินจนทำให้อัตราดอกเบี้ยในตลาดเงินในขณะนี้ อยู่ในระดับต่ำสุดในทศวรรษ นอกจากนี้ โครงสร้างของอัตราดอกเบี้ยโดยรวมได้ปรับลดลง โดยกลไกตลาดจะยังคงเป็นตัวกำหนดแนวโน้มของอัตราดอกเบี้ยเงินกู้และอัตราดอกเบี้ยเงินฝากต่อไป ซึ่งจะช่วยให้ผลจากการดำเนินนโยบายการเงินแบบขยายตัวส่งผลไปถึงภาคเศรษฐกิจที่แท้จริงอย่างเต็มที่ ในระยะต่อไป การดำเนินนโยบายการเงินจะยังคงสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ จะขึ้นอยู่กับการรักษาเสถียรภาพของอัตราแลกเปลี่ยนโดยรวมด้วย
3.3 การปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจการเพิ่มทุนของสถาบันการเงิน การดำเนินการขายธนาคารที่ทางการได้แทรกแซงคืนแก่ภาคเอกชน และการเสริมความแข็งแกร่งให้กับกรอบการกำกับดูแลสถาบันการเงินมีความคืบหน้าเป็นอย่างมาก อย่างไรก็ตาม ความคืบหน้าของการแก้ไขปัญหาหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ยังประสบกับอุปสรรคบางประการ ส่งผลต่อการทำงานของระบบสินเชื่อตามปกติ ดังนั้น เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว รัฐบาลมีแผนที่จะดำเนินการดังต่อไปนี้- การลดปริมาณหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ รัฐบาลจะสนับสนุนให้ธนาคารต่างๆ จัดตั้งบริษัทบริหารสินทรัพย์ (AMC) ของตนเองเพื่อเร่งการปรับปรุงโครงสร้างหนี้และลดปริมาณหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ โดยรัฐบาลจะแก้ไขอุปสรรคด้านกฎหมายและภาษีเกี่ยวกับบริษัทบริหารสินทรัพย์ และการดำเนินงานของบริษัทบริหารสินทรัพย์ นอกจากนี้ คณะกรรมการเพื่อส่งเสริมการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ (CDRAC) จะยังคงสนับสนุนกระบวนการเจรจาต่อรองในกรณีของหนี้ที่ผิดชำระให้รวดเร็วยิ่งขึ้น ซึ่งรวมถึงการดำเนินการตามกรอบระยะเวลาที่ได้ระบุใว้ในข้อตกลงระหว่างลูกหนี้และเจ้าหนี้ และการจัดหาผู้เชี่ยวชาญในการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทเพื่อเร่งรัดสำหรับกรณีที่มีความยากลำบาก- การขายคืนธนาคารที่ทางการเข้าแทรกแซงให้แก่ภาคเอกชนและการปรับปรุงธนาคารของรัฐบาล ขั้นตอนสำหรับการขายคืนธนาคารที่ทางการเข้าแทรกแซงให้แก่ภาคเอกชนได้ถูกกำหนดไว้ชัดเจนแล้ว และได้ประกาศชื่อผู้ชนะการประมูลซื้อธนาคารนครธนเรียบร้อยแล้ว และจะประกาศชื่อผู้ชนะการประมูลการซื้อธนาคารรัตนสินภายในสิ้นเดือนกันายนนี้ ส่วนการประกาศรายชื่อผู้ชนะการประมูลซื้อธนาคารที่ถูกแทรกแซงอื่นๆ (ธนาคารนครหลวงไทยและธนาคารศรีนคร) จะมีขึ้นในไตรมาสสุดท้ายของปี 2542 รัฐบาลมีความมุ่งมั่นให้กระบวนการขายธนาคารดังกล่าวมีความโปร่งใส รวมทั้งจะมีการรับรู้ความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตด้วย สุดท้ายนี้รัฐบาลได้ทำการเพิ่มทุนให้ธนาคารกรุงไทย ซึ่งเป็นธนาคารที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งเรียบร้อยแล้ว และจะเร่งดำเนินการตามแผนปรับโครงสร้างการดำเนินงานของธนาคาร - กรอบกฎหมาย ร่างกฎหมายสถาบันการเงินที่กำลังอยู่ในระหว่างการร่างนี้ มีจุดประสงค์ที่จะปรับปรุงกรอบระเบียบข้อบังคับให้มีความทันสมัยมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ รัฐบาลจะนำเสนอร่างพระราชบัญญัติธนาคารแห่งประเทศไทยฉบับใหม่ (ซึ่งจะเพิ่มความแข็งแกร่งและความน่าเชื่อถือแก่ธนาคารแห่งประเทศไทย) และร่างแก้ไขพระราชบัญญัติเงินตรา (ซึ่งจะทำให้การบริหารเงินทุนสำรองระหว่างประเทศมีความยืดหยุ่นมากขึ้นในขณะที่ยังดำรงเกณฑ์หนุนหลังธนบัตรด้วยเงินตราต่างประเทศอยู่) ต่อรัฐสภาในไตรมาสสุดท้ายของปี 2542 การลดอัตราภาษีศุลกากรหลายรายการในเดือนสิงหาคม 2542 มีจุดมุ่งหมายเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตในระยะปานกลาง รัฐบาลมีความยินดีจะแจ้งว่าอัตราภาษีศุลกากรเกือบทุกรายการที่ถูกปรับเพิ่มขึ้นในช่วงแรกของโครงการเงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจได้ถูกปรับลดลงก่อนกำหนด สำหรับรายการอื่นๆ ที่เหลืออยู่จะถูกดำเนินการภายในสิ้นปีนี้ ในระยะต่อไปรัฐบาลจะยังคงดำเนินการปรับโครงสร้างอัตราภาษีศุลกากรให้เหมาะสม ซึ่งรวมถึงการปรับลดอัตราภาษีศุลกากรอย่างมาก เพื่อให้สอดคล้องกับข้อผูกพันภายใต้เขตการค้าเสรีอาเซียน (AFTA) รัฐบาลมีจุดประสงค์ที่จะปรับโครงสร้างอัตราภาษีศุลกากรให้สอดคล้องกับประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคในระยะปานกลางนอกจากนี้ ยังมีประเด็นสำคัญในอีก 2 ประเด็นเกี่ยวกับด้านการปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจที่จะดำเนินการในระยะอันใกล้นี้ ดังนี้* การให้กู้โดยมีหลักประกัน รัฐบาลคาดว่าร่างพระราชบัญญัติแก้ไขประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง เรื่องการขาดนัดพิจารณาจะผ่านการพิจารณาโดยสภาผู้แทนราษฎรในไม่ช้านี้ และจะถูกนำเสนอต่อวุฒิสภาเพื่อพิจารณาต่อไป นอกจากนี้ เพื่อให้มีการขยายประเภทของสินทรัพย์ที่นำมาใช้เป็นหลักประกัน ซึ่งจะเอื้ออำนวยต่อการปล่อยสินเชื่อจะมีการนำเสนอร่างกฎหมายหลักประกันทางธุรกิจฉบับใหม่ต่อคณะรัฐมนตรีภายในสิ้นปี 2542* การลงทุน ร่างกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการเปิดเสรีการลงทุนจากต่างประเทศได้ผ่านความเห็นชอบของสภาผู้แทนราษฎรแล้ว และกำลังจะเข้าสู่การพิจารณาของวุฒิสภา
3.4 ดุลการชำระเงินและการเบิกจ่ายเงินกู้รัฐบาลคาดว่าฐานะดุลการชำระเงินจะยังคงอยู่ในระดับที่แข็งแกร่งต่อไป การเกินดุลบัญชีเดินสะพัดจะลดลงในปี 2542 ซึ่งเป็นผลมาจาการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ แต่ดุลเงินทุนเคลื่อนย้ายสุทธิที่ปรับตัวดีขึ้น และเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศที่สูงกว่าที่คาดไว้ จะส่งผลให้เงินสำรองระหว่างประเทศอยู่ในระดับ 32-34 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งเป็นไปตามที่ประมาณการไว้ จากแนวโน้มที่ดีขึ้นนี้ รัฐบาลคาดว่าจะไม่เบิกถอนเงินกู้ภายใต้โครงการเงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจในงวดต่อไปอีก นอกจากสถานการณ์ภายนอกประเทศจะเลวร้ายลง
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ชุดนายชวน หลีกภัย)--วันที่ 21 กันยายน 2542--
คณะรัฐมนตรีอนุมัติในหลักการและเงื่อนไขการขอรับความช่วยเหลือจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศตามหนังสือแสดงเจตจำนงฯ ฉบับที่ 8 และมอบหมายให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นผู้ลงนามในหนังสือแสดงเจตจำนง ฉบับที่ 8 เพื่อจะได้จัดส่งให้คณะกรรมการกองทุนการเงินระหว่างประเทศพิจารณาต่อไป
สำหรับสาระสำคัญของหนังสือแสดงเจตจำนงขอรับความช่วยเหลือทางวิชาการและการเงิน มีดังนี้
1. มาตรการต่าง ๆ ที่รัฐบาลได้นำมาใช้ในการเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับกระบวนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ ซึ่งรวมถึงมาตรการที่ได้ประกาศในเดือนที่แล้วเริ่มส่งผลดีในทางปฏิบัติ จึงจะเห็นได้จากดัชนีชี้วัดทางเศรษฐกิจหลายตัวที่บ่งชี้ว่าเศรษฐกิจกำลังฟื้นตัว ด้วยเหตุผลเหล่านี้ กอปรกับฐานะด้านต่างประเทศที่มีการปรับตัวดีขึ้น รัฐบาลไทยคาดว่าจะไม่เบิกถอนเงินกู้งวดต่อ ๆ ไป ภายใต้โครงการเงินกู้ในช่วงระยะยาวเวลานี้ รัฐบาลไทยจะยังคงไว้ซึ่งสิทธิดังกล่าว
2. จากการที่เศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว ทำให้คาดว่าอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจในปี 2542 และอยู่ในระดับร้อยละ 3-4 ซึ่งสูงกว่าการทบทวนครั้งที่แล้ว ที่ประมาณไว้ร้อยละ 1 ในส่วนของกรอบนโยบายนั้น รัฐบาลไทยจะให้ความสำคัญกับเรื่องการดำเนินนโยบายการเงินและการคลัง เพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ ซึ่งรวมถึงการดำเนินมาตรการรายจ่ายอย่างต่อเนื่องเพื่อบรรเทาผลกระทบทางสังคม รวมทั้งการสนับสนุนธนาคารพาณิชย์ในการลดปริมาณหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้เพื่อฟื้นฟูระบบสินเชื่อ
3. สาระสำคัญของกรอบนโยบายในด้านต่าง ๆ สรุปได้ดังนี้
3.1 นโยบายการคลัง
เพื่อให้นโยบายการคลังมีผลในการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง รัฐบาลได้ออกมาตรการเพิ่มเติมเมื่อต้น เดือนสิงหาคม รวมทั้งการเลื่อนระยะเวลาการชำระภาษีเงินได้นิติบุคคล อย่างไรก็ตาม รัฐบาลคาดว่าในปีงบประมาณ 2542 การขาดดุลของภาครัฐโดยรวมจะอยู่ประมาณร้อยละ 5.5 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ ซึ่งต่ำกว่าที่ประมาณการไว้ในการทบทวนครั้งที่ผ่านมาร้อยละ 0.5 (ตัวเลขการขาดดุลภาครัฐโดยรวมนี้ไม่รวมภาระดอกเบี้ยที่เกิดจากการปรับโครงสร้างระบบสถาบันการเงินที่ประมาณไว้ร้อยละ 1.7 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ) ตัวเลขประมาณการใหม่นี้ ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการจัดเก็บรายได้ที่สูงขึ้น และอีกส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากความล่าช้าของการเบิกจ่ายเงินงบประมาณบางประเภท เนื่องจากรัฐบาลพยายามควบคุมคุณภาพของการใช้จ่าย สำหรับปีงบประมาณ 2543 ได้มีการกำหนดเป้าหมายฐานะการคลังของภาครัฐ โดยรวมให้ขาดดุลร้อยละ 5 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ ทั้งนี้ เพื่อให้เกิดความมั่นใจว่านโยบายการคลังจะสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง ในกรณีที่การเบิกจ่ายงบประมาณเป็นไปตามเป้าหมาย แต่รายได้ของรัฐบาลเพิ่มขึ้นเนื่องจากเศรษฐกิจฟื้นตัวมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ รายได้ในส่วนที่เพิ่มขึ้นนี้ จะถูกเก็บไว้เพื่อลดการขาดดุล ซึ่งจะช่วยเร่งสร้างความแข็งแกร่งของฐานะการคลังได้ก่อนกำหนดที่วางไว้ในระยะปานกลาง รัฐบาลจะยังคงยึดมั่นต่อการสร้างความโปร่งใสในการดำเนินงานของภาครัฐ ซึ่งรวมถึงการรวมภาระต้นทุนในการปรับโครงสร้างภาคการเงินไว้ในงบประมาณ เมื่อรายจ่ายดังกล่าวได้เกิดขึ้นและสามารถคำนวณได้ ซึ่งขณะนี้รัฐบาลกำลังพิจารณากำหนดวิธีการในเรื่องนี้อยู่
3.2 นโยบายการเงินและนโยบายอัตราแลกเปลี่ยน รัฐบาลได้ผ่อนคลายนโยายการเงินจนทำให้อัตราดอกเบี้ยในตลาดเงินในขณะนี้ อยู่ในระดับต่ำสุดในทศวรรษ นอกจากนี้ โครงสร้างของอัตราดอกเบี้ยโดยรวมได้ปรับลดลง โดยกลไกตลาดจะยังคงเป็นตัวกำหนดแนวโน้มของอัตราดอกเบี้ยเงินกู้และอัตราดอกเบี้ยเงินฝากต่อไป ซึ่งจะช่วยให้ผลจากการดำเนินนโยบายการเงินแบบขยายตัวส่งผลไปถึงภาคเศรษฐกิจที่แท้จริงอย่างเต็มที่ ในระยะต่อไป การดำเนินนโยบายการเงินจะยังคงสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ จะขึ้นอยู่กับการรักษาเสถียรภาพของอัตราแลกเปลี่ยนโดยรวมด้วย
3.3 การปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจการเพิ่มทุนของสถาบันการเงิน การดำเนินการขายธนาคารที่ทางการได้แทรกแซงคืนแก่ภาคเอกชน และการเสริมความแข็งแกร่งให้กับกรอบการกำกับดูแลสถาบันการเงินมีความคืบหน้าเป็นอย่างมาก อย่างไรก็ตาม ความคืบหน้าของการแก้ไขปัญหาหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ยังประสบกับอุปสรรคบางประการ ส่งผลต่อการทำงานของระบบสินเชื่อตามปกติ ดังนั้น เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว รัฐบาลมีแผนที่จะดำเนินการดังต่อไปนี้- การลดปริมาณหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ รัฐบาลจะสนับสนุนให้ธนาคารต่างๆ จัดตั้งบริษัทบริหารสินทรัพย์ (AMC) ของตนเองเพื่อเร่งการปรับปรุงโครงสร้างหนี้และลดปริมาณหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ โดยรัฐบาลจะแก้ไขอุปสรรคด้านกฎหมายและภาษีเกี่ยวกับบริษัทบริหารสินทรัพย์ และการดำเนินงานของบริษัทบริหารสินทรัพย์ นอกจากนี้ คณะกรรมการเพื่อส่งเสริมการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ (CDRAC) จะยังคงสนับสนุนกระบวนการเจรจาต่อรองในกรณีของหนี้ที่ผิดชำระให้รวดเร็วยิ่งขึ้น ซึ่งรวมถึงการดำเนินการตามกรอบระยะเวลาที่ได้ระบุใว้ในข้อตกลงระหว่างลูกหนี้และเจ้าหนี้ และการจัดหาผู้เชี่ยวชาญในการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทเพื่อเร่งรัดสำหรับกรณีที่มีความยากลำบาก- การขายคืนธนาคารที่ทางการเข้าแทรกแซงให้แก่ภาคเอกชนและการปรับปรุงธนาคารของรัฐบาล ขั้นตอนสำหรับการขายคืนธนาคารที่ทางการเข้าแทรกแซงให้แก่ภาคเอกชนได้ถูกกำหนดไว้ชัดเจนแล้ว และได้ประกาศชื่อผู้ชนะการประมูลซื้อธนาคารนครธนเรียบร้อยแล้ว และจะประกาศชื่อผู้ชนะการประมูลการซื้อธนาคารรัตนสินภายในสิ้นเดือนกันายนนี้ ส่วนการประกาศรายชื่อผู้ชนะการประมูลซื้อธนาคารที่ถูกแทรกแซงอื่นๆ (ธนาคารนครหลวงไทยและธนาคารศรีนคร) จะมีขึ้นในไตรมาสสุดท้ายของปี 2542 รัฐบาลมีความมุ่งมั่นให้กระบวนการขายธนาคารดังกล่าวมีความโปร่งใส รวมทั้งจะมีการรับรู้ความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตด้วย สุดท้ายนี้รัฐบาลได้ทำการเพิ่มทุนให้ธนาคารกรุงไทย ซึ่งเป็นธนาคารที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งเรียบร้อยแล้ว และจะเร่งดำเนินการตามแผนปรับโครงสร้างการดำเนินงานของธนาคาร - กรอบกฎหมาย ร่างกฎหมายสถาบันการเงินที่กำลังอยู่ในระหว่างการร่างนี้ มีจุดประสงค์ที่จะปรับปรุงกรอบระเบียบข้อบังคับให้มีความทันสมัยมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ รัฐบาลจะนำเสนอร่างพระราชบัญญัติธนาคารแห่งประเทศไทยฉบับใหม่ (ซึ่งจะเพิ่มความแข็งแกร่งและความน่าเชื่อถือแก่ธนาคารแห่งประเทศไทย) และร่างแก้ไขพระราชบัญญัติเงินตรา (ซึ่งจะทำให้การบริหารเงินทุนสำรองระหว่างประเทศมีความยืดหยุ่นมากขึ้นในขณะที่ยังดำรงเกณฑ์หนุนหลังธนบัตรด้วยเงินตราต่างประเทศอยู่) ต่อรัฐสภาในไตรมาสสุดท้ายของปี 2542 การลดอัตราภาษีศุลกากรหลายรายการในเดือนสิงหาคม 2542 มีจุดมุ่งหมายเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตในระยะปานกลาง รัฐบาลมีความยินดีจะแจ้งว่าอัตราภาษีศุลกากรเกือบทุกรายการที่ถูกปรับเพิ่มขึ้นในช่วงแรกของโครงการเงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจได้ถูกปรับลดลงก่อนกำหนด สำหรับรายการอื่นๆ ที่เหลืออยู่จะถูกดำเนินการภายในสิ้นปีนี้ ในระยะต่อไปรัฐบาลจะยังคงดำเนินการปรับโครงสร้างอัตราภาษีศุลกากรให้เหมาะสม ซึ่งรวมถึงการปรับลดอัตราภาษีศุลกากรอย่างมาก เพื่อให้สอดคล้องกับข้อผูกพันภายใต้เขตการค้าเสรีอาเซียน (AFTA) รัฐบาลมีจุดประสงค์ที่จะปรับโครงสร้างอัตราภาษีศุลกากรให้สอดคล้องกับประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคในระยะปานกลางนอกจากนี้ ยังมีประเด็นสำคัญในอีก 2 ประเด็นเกี่ยวกับด้านการปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจที่จะดำเนินการในระยะอันใกล้นี้ ดังนี้* การให้กู้โดยมีหลักประกัน รัฐบาลคาดว่าร่างพระราชบัญญัติแก้ไขประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง เรื่องการขาดนัดพิจารณาจะผ่านการพิจารณาโดยสภาผู้แทนราษฎรในไม่ช้านี้ และจะถูกนำเสนอต่อวุฒิสภาเพื่อพิจารณาต่อไป นอกจากนี้ เพื่อให้มีการขยายประเภทของสินทรัพย์ที่นำมาใช้เป็นหลักประกัน ซึ่งจะเอื้ออำนวยต่อการปล่อยสินเชื่อจะมีการนำเสนอร่างกฎหมายหลักประกันทางธุรกิจฉบับใหม่ต่อคณะรัฐมนตรีภายในสิ้นปี 2542* การลงทุน ร่างกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการเปิดเสรีการลงทุนจากต่างประเทศได้ผ่านความเห็นชอบของสภาผู้แทนราษฎรแล้ว และกำลังจะเข้าสู่การพิจารณาของวุฒิสภา
3.4 ดุลการชำระเงินและการเบิกจ่ายเงินกู้รัฐบาลคาดว่าฐานะดุลการชำระเงินจะยังคงอยู่ในระดับที่แข็งแกร่งต่อไป การเกินดุลบัญชีเดินสะพัดจะลดลงในปี 2542 ซึ่งเป็นผลมาจาการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ แต่ดุลเงินทุนเคลื่อนย้ายสุทธิที่ปรับตัวดีขึ้น และเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศที่สูงกว่าที่คาดไว้ จะส่งผลให้เงินสำรองระหว่างประเทศอยู่ในระดับ 32-34 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งเป็นไปตามที่ประมาณการไว้ จากแนวโน้มที่ดีขึ้นนี้ รัฐบาลคาดว่าจะไม่เบิกถอนเงินกู้ภายใต้โครงการเงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจในงวดต่อไปอีก นอกจากสถานการณ์ภายนอกประเทศจะเลวร้ายลง
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ชุดนายชวน หลีกภัย)--วันที่ 21 กันยายน 2542--