ทำเนียบรัฐบาล--3 ส.ค.--บิสนิวส์
คณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติให้ใช้พระธรรมนูญศาลยุติธรรม พ.ศ. …. และร่างพระธรรมนูญศาลยุติธรรม (ร่างพระราชบัญญัติเกี่ยวกับการแยกศาลเป็นสถาบันอิสระ) ที่คณะกรรมการกฤษฎีกา (กรรมการร่างกฎหมาย คณะที่ 5) ตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ โดยได้คงหลักการในสาระสำคัญส่วนใหญ่ตามร่างเดิมที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ และได้แก้ไขปรับปรุงรายละเอียดบางประการให้ตรงกับลักษณะการปฏิบัติงานในทางคดีในความรับผิดชอบของศาลยุติธรรม รวมทั้งได้มีการแก้ไขรายละเอียดในบทบัญญัติต่าง ๆ สรุปได้ดังต่อไปนี้
1. ร่างพระราชบัญญัติให้ใช้พระธรรมนูญศาลยุติธรรม พ.ศ. ….
1.1 แก้ไขเพิ่มเติมร่างเดิมมาตรา 3 ดังนี้
- บัญญัติให้พระธรรมนูญศาลยุติธรรมท้ายพระราชบัญญัตินี้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่พระราชบัญญัติให้ใช้พระธรรมนูญศาลยุติธรรม พ.ศ. …. มีผลใช้บังคับ ซึ่งตามร่างเดิมมิได้กำหนดมา
- บัญญัติให้คดีซึ่งได้รับฟ้องไว้ก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับต้องนำบทบัญญัติว่าด้วยองค์คณะผู้พิพากษาซึ่งบัญญัติอยู่ในหมวด 3 ของพระธรรมนูญศาลยุติธรรมมาใช้บังคับนับแต่วันที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2545 แม้ว่าในวันดังกล่าวคดีนั้นจะยังไม่ถึงที่สุด เนื่องจากมาตรา 335(5) ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยบัญญัติยกเว้นบทบัญญัติมาตรา 236 ซึ่งเป็นบทบัญญัติว่าด้วยองค์คณะในการพิจารณาคดีของผู้พิพากษาหรือตุลาการเป็นระยะเวลาห้าปีนับแต่วันประกาศใช้รัฐธรรมนูญ ซึ่งระยะเวลาดังกล่าวจะครบลงในวันที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2545 สำหรับคดีอื่น ๆ ที่ยื่นฟ้องในวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับก็จะใช้บังคับบทบัญญัติว่าด้วยองค์คณะของผู้พิพากษาในหมวด 3 ของพระธรรมนูญศาลยุติธรรมดังกล่าวทันที
1.2 ตัดร่างเดิมมาตรา 4 ที่บัญญัติให้ยกเลิกบรรดากฎหมาย กฎ และข้อบังคับอื่น ๆ ที่มีบัญญัติไว้ในพระธรรมนูญศาลยุติธรรม หรือซึ่งขัดหรือแย้งกับบทบัญญัติในพระธรรมนูญศาลยุติธรรม ออก เนื่องจากเห็นว่าหลักการดังกล่าวเป็นหลักกฎหมายทั่วไปของการใช้กฎหมายอยู่แล้ว
1.3 ตัดร่างเดิมมาตรา 6 ที่บัญญัติให้อำนาจหน้าที่ของอธิบดีผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์หรือจ่าศาลตามกฎหมายอื่น ให้เป็นอำนาจหน้าที่ของประธานศาลอุทธรณ์ หรือผู้อำนวยการศาลยุติธรรมตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม แล้วแต่กรณีออก เพราะบทบัญญัติทำนองดังกล่าวได้บัญญัติอยู่ในร่างพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการฝ่ายตุลาการ พ.ศ. …. ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้จัดส่งไปยังสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีแล้ว และจะมีบัญญัติอยู่ในร่างพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม พ.ศ. …. ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกากำลังตรวจพิจารณาอยู่ด้วย
1.4 แก้ไขมาตรารักษาการโดยบัญญัติให้นายกรัฐมนตรีเป็นผู้รักษาการตามร่างพระราชบัญญัตินี้
2. ร่างพระธรรมนูญศาลยุติธรรม
2.1 ตัดร่างเดิมมาตรา 1 ที่บัญญัติให้สำนักงานศาลยุติธรรมเป็นหน่วยธุรการของศาลยุติธรรม โดยมีเลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรมเป็นผู้รับผิดชอบ ออก เนื่องจากหลักการดังกล่าวได้บัญญัติอยู่ในร่างพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการฝ่ายตุลาการ พ.ศ. …. ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้จัดส่งไปยังสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีแล้ว
2.2 เพิ่มเติมหลักการเกี่ยวกับอำนาจในการวางระเบียบของประธานศาลฎีกาในร่างเดิมมาตรา 6 โดยเพิ่มเติมว่าประธานศาลฎีกาจะวางระเบียบให้กระทบกระเทือนอำนาจการพิจารณาพิพากษาคดีของผู้พิพากษาไม่ได้
นอกจากนี้ได้ตัดร่างเดิมมาตรา 6 วรรคสอง ที่บัญญัติให้เลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรมเป็นผู้รับผิดชอบในงานธุรการของศาลยุติธรรมทั้งหลายออก เพราะหลักการนี้ได้บัญญัติอยู่ในร่างพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการฝ่ายตุลาการ พ.ศ. …. แล้ว
2.3 แก้ไขถ้อยคำร่างเดิมมาตรา 9 จาก "ศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง ศาลแรงงานกลาง ศาลภาษีอากรกลางศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง ศาลล้มละลายกลาง" เป็น "ศาลยุติธรรมอื่นที่พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลนั้นกำหนดให้เป็นศาลชั้นต้น" เนื่องจากศาลดังกล่าวเหล่านั้นมิได้จัดตั้งโดยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม แต่ได้จัดตั้งโดยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลนั้นซึ่งก็เป็นศาลชั้นต้นอยู่แล้ว
นอกจากนี้ ได้แก้ไขถ้อยคำ "ทำการแทน" เป็น "รักษาราชการแทน" ในร่างมาตรานี้และร่างมาตราอื่น เพราะถ้อยคำนี้ได้บัญญัติไว้ในขณะที่ยังไม่ได้มีการใช้คำว่า "รักษาราชการแทน" โดยได้บัญญัติหลักเกณฑ์และบุคคลที่จะรักษาราชการแทนไว้ในพระธรรมนูญศาลยุติธรรมนี้ด้วย
2.4 แก้ไขเรื่องดุลพินิจของศาลชั้นต้นในการที่จะรับหรือไม่รับพิจารณาพิพากษาคดีที่ได้มีการยื่นฟ้องต่อศาลชั้นต้นเพื่อให้เกิดความชัดเจนและสะดวกแก่การฟ้องคดี กล่าวคือ ร่างเดิมมาตรา 16 บัญญัติให้บรรดาคดีที่เกิดขึ้นนอกเขตของศาลแพ่งหรือศาลอาญาจะยื่นฟ้องต่อศาลแพ่งหรือศาลอาญาก็ได้ ทั้งนี้ ให้อยู่ในดุลพินิจของศาลนั้น ๆ ที่จะไม่ยอมรับพิจารณาพิพากษาคดีที่ได้ยื่นฟ้องเช่นนั้นได้ หลักการดังกล่าวอาจจะก่อให้เกิดความไม่สะดวกต่อประชาชนที่ยื่นฟ้องคดี จึงกำหนดให้เมื่อมีการยื่นฟ้องคดีต่อศาลแพ่งหรือศาลอาญาแล้ว และคดีนั้นเกิดขึ้นนอกเขตของศาลดังกล่าวก็ให้ศาลดังกล่าวมีคำสั่งโอนคดีไปยังศาลยุติธรรมอื่นที่มีเขตอำนาจ หลักการดังกล่าวนี้ก็ใช้กับกรณีการยื่นฟ้องคดีต่อศาลจังหวัด ซึ่งคดีนั้นเกิดขึ้นในเขตของศาลแขวงและศาลแขวงก็มีอำนาจพิจารณาด้วย ก็ให้ศาลจังหวัดมีคำสั่งโอนคดีไปยังศาลแขวงที่มีเขตอำนาจ
2.5 แก้ไขเรื่องดุลพินิจของศาลอุทธรณ์ในการที่รับหรือไม่รับพิจารณาอุทธรณ์ ให้เป็นไปตามหลักการตาม 2.4
2.6 แก้ไขหลักการเกี่ยวกับอำนาจของผู้พิพากษาคนเดียวในการพิจารณาพิพากษาคดีแพ่ง โดยแก้ไขราคาทรัพย์สินที่พิพาทหรือจำนวนเงินที่ฟ้องจากเดิมไม่เกินหนึ่งแสนบาท เป็นไม่เกินสามแสนบาท เพื่อให้เป็นไปตามภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันยิ่งขึ้น
2.7 แก้ไขถ้อยคำเรื่ององค์คณะของผู้พิพากษาในการพิจารณาพิพากษาคดีให้สอดคล้องกับมาตรา 236 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย รวมทั้งกำหนดกรณีใดเป็น "เหตุจำเป็นอื่นอันมิอาจก้าวล่วงได้" ที่จะอนุญาตให้ผู้พิพากษานายอื่นซึ่งมิได้เข้าร่วมเป็นองค์คณะพิจารณาคดีแต่ต้น เข้ามานั่งพิจารณาคดีนั้นหรือลงลายมือชื่อในคำพิพากษาหลังจากได้ตรวจสำนวนคดีแล้ว ทั้งนี้ เพื่อให้ผู้พิพากษามีจำนวนเพียงพอที่จะประกอบเป็นองค์คณะได้
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ชุดนายชวน หลีกภัย)--วันที่ 3 สิงหาคม 2542--
คณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติให้ใช้พระธรรมนูญศาลยุติธรรม พ.ศ. …. และร่างพระธรรมนูญศาลยุติธรรม (ร่างพระราชบัญญัติเกี่ยวกับการแยกศาลเป็นสถาบันอิสระ) ที่คณะกรรมการกฤษฎีกา (กรรมการร่างกฎหมาย คณะที่ 5) ตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ โดยได้คงหลักการในสาระสำคัญส่วนใหญ่ตามร่างเดิมที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ และได้แก้ไขปรับปรุงรายละเอียดบางประการให้ตรงกับลักษณะการปฏิบัติงานในทางคดีในความรับผิดชอบของศาลยุติธรรม รวมทั้งได้มีการแก้ไขรายละเอียดในบทบัญญัติต่าง ๆ สรุปได้ดังต่อไปนี้
1. ร่างพระราชบัญญัติให้ใช้พระธรรมนูญศาลยุติธรรม พ.ศ. ….
1.1 แก้ไขเพิ่มเติมร่างเดิมมาตรา 3 ดังนี้
- บัญญัติให้พระธรรมนูญศาลยุติธรรมท้ายพระราชบัญญัตินี้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่พระราชบัญญัติให้ใช้พระธรรมนูญศาลยุติธรรม พ.ศ. …. มีผลใช้บังคับ ซึ่งตามร่างเดิมมิได้กำหนดมา
- บัญญัติให้คดีซึ่งได้รับฟ้องไว้ก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับต้องนำบทบัญญัติว่าด้วยองค์คณะผู้พิพากษาซึ่งบัญญัติอยู่ในหมวด 3 ของพระธรรมนูญศาลยุติธรรมมาใช้บังคับนับแต่วันที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2545 แม้ว่าในวันดังกล่าวคดีนั้นจะยังไม่ถึงที่สุด เนื่องจากมาตรา 335(5) ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยบัญญัติยกเว้นบทบัญญัติมาตรา 236 ซึ่งเป็นบทบัญญัติว่าด้วยองค์คณะในการพิจารณาคดีของผู้พิพากษาหรือตุลาการเป็นระยะเวลาห้าปีนับแต่วันประกาศใช้รัฐธรรมนูญ ซึ่งระยะเวลาดังกล่าวจะครบลงในวันที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2545 สำหรับคดีอื่น ๆ ที่ยื่นฟ้องในวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับก็จะใช้บังคับบทบัญญัติว่าด้วยองค์คณะของผู้พิพากษาในหมวด 3 ของพระธรรมนูญศาลยุติธรรมดังกล่าวทันที
1.2 ตัดร่างเดิมมาตรา 4 ที่บัญญัติให้ยกเลิกบรรดากฎหมาย กฎ และข้อบังคับอื่น ๆ ที่มีบัญญัติไว้ในพระธรรมนูญศาลยุติธรรม หรือซึ่งขัดหรือแย้งกับบทบัญญัติในพระธรรมนูญศาลยุติธรรม ออก เนื่องจากเห็นว่าหลักการดังกล่าวเป็นหลักกฎหมายทั่วไปของการใช้กฎหมายอยู่แล้ว
1.3 ตัดร่างเดิมมาตรา 6 ที่บัญญัติให้อำนาจหน้าที่ของอธิบดีผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์หรือจ่าศาลตามกฎหมายอื่น ให้เป็นอำนาจหน้าที่ของประธานศาลอุทธรณ์ หรือผู้อำนวยการศาลยุติธรรมตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม แล้วแต่กรณีออก เพราะบทบัญญัติทำนองดังกล่าวได้บัญญัติอยู่ในร่างพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการฝ่ายตุลาการ พ.ศ. …. ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้จัดส่งไปยังสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีแล้ว และจะมีบัญญัติอยู่ในร่างพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม พ.ศ. …. ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกากำลังตรวจพิจารณาอยู่ด้วย
1.4 แก้ไขมาตรารักษาการโดยบัญญัติให้นายกรัฐมนตรีเป็นผู้รักษาการตามร่างพระราชบัญญัตินี้
2. ร่างพระธรรมนูญศาลยุติธรรม
2.1 ตัดร่างเดิมมาตรา 1 ที่บัญญัติให้สำนักงานศาลยุติธรรมเป็นหน่วยธุรการของศาลยุติธรรม โดยมีเลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรมเป็นผู้รับผิดชอบ ออก เนื่องจากหลักการดังกล่าวได้บัญญัติอยู่ในร่างพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการฝ่ายตุลาการ พ.ศ. …. ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้จัดส่งไปยังสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีแล้ว
2.2 เพิ่มเติมหลักการเกี่ยวกับอำนาจในการวางระเบียบของประธานศาลฎีกาในร่างเดิมมาตรา 6 โดยเพิ่มเติมว่าประธานศาลฎีกาจะวางระเบียบให้กระทบกระเทือนอำนาจการพิจารณาพิพากษาคดีของผู้พิพากษาไม่ได้
นอกจากนี้ได้ตัดร่างเดิมมาตรา 6 วรรคสอง ที่บัญญัติให้เลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรมเป็นผู้รับผิดชอบในงานธุรการของศาลยุติธรรมทั้งหลายออก เพราะหลักการนี้ได้บัญญัติอยู่ในร่างพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการฝ่ายตุลาการ พ.ศ. …. แล้ว
2.3 แก้ไขถ้อยคำร่างเดิมมาตรา 9 จาก "ศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง ศาลแรงงานกลาง ศาลภาษีอากรกลางศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง ศาลล้มละลายกลาง" เป็น "ศาลยุติธรรมอื่นที่พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลนั้นกำหนดให้เป็นศาลชั้นต้น" เนื่องจากศาลดังกล่าวเหล่านั้นมิได้จัดตั้งโดยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม แต่ได้จัดตั้งโดยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลนั้นซึ่งก็เป็นศาลชั้นต้นอยู่แล้ว
นอกจากนี้ ได้แก้ไขถ้อยคำ "ทำการแทน" เป็น "รักษาราชการแทน" ในร่างมาตรานี้และร่างมาตราอื่น เพราะถ้อยคำนี้ได้บัญญัติไว้ในขณะที่ยังไม่ได้มีการใช้คำว่า "รักษาราชการแทน" โดยได้บัญญัติหลักเกณฑ์และบุคคลที่จะรักษาราชการแทนไว้ในพระธรรมนูญศาลยุติธรรมนี้ด้วย
2.4 แก้ไขเรื่องดุลพินิจของศาลชั้นต้นในการที่จะรับหรือไม่รับพิจารณาพิพากษาคดีที่ได้มีการยื่นฟ้องต่อศาลชั้นต้นเพื่อให้เกิดความชัดเจนและสะดวกแก่การฟ้องคดี กล่าวคือ ร่างเดิมมาตรา 16 บัญญัติให้บรรดาคดีที่เกิดขึ้นนอกเขตของศาลแพ่งหรือศาลอาญาจะยื่นฟ้องต่อศาลแพ่งหรือศาลอาญาก็ได้ ทั้งนี้ ให้อยู่ในดุลพินิจของศาลนั้น ๆ ที่จะไม่ยอมรับพิจารณาพิพากษาคดีที่ได้ยื่นฟ้องเช่นนั้นได้ หลักการดังกล่าวอาจจะก่อให้เกิดความไม่สะดวกต่อประชาชนที่ยื่นฟ้องคดี จึงกำหนดให้เมื่อมีการยื่นฟ้องคดีต่อศาลแพ่งหรือศาลอาญาแล้ว และคดีนั้นเกิดขึ้นนอกเขตของศาลดังกล่าวก็ให้ศาลดังกล่าวมีคำสั่งโอนคดีไปยังศาลยุติธรรมอื่นที่มีเขตอำนาจ หลักการดังกล่าวนี้ก็ใช้กับกรณีการยื่นฟ้องคดีต่อศาลจังหวัด ซึ่งคดีนั้นเกิดขึ้นในเขตของศาลแขวงและศาลแขวงก็มีอำนาจพิจารณาด้วย ก็ให้ศาลจังหวัดมีคำสั่งโอนคดีไปยังศาลแขวงที่มีเขตอำนาจ
2.5 แก้ไขเรื่องดุลพินิจของศาลอุทธรณ์ในการที่รับหรือไม่รับพิจารณาอุทธรณ์ ให้เป็นไปตามหลักการตาม 2.4
2.6 แก้ไขหลักการเกี่ยวกับอำนาจของผู้พิพากษาคนเดียวในการพิจารณาพิพากษาคดีแพ่ง โดยแก้ไขราคาทรัพย์สินที่พิพาทหรือจำนวนเงินที่ฟ้องจากเดิมไม่เกินหนึ่งแสนบาท เป็นไม่เกินสามแสนบาท เพื่อให้เป็นไปตามภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันยิ่งขึ้น
2.7 แก้ไขถ้อยคำเรื่ององค์คณะของผู้พิพากษาในการพิจารณาพิพากษาคดีให้สอดคล้องกับมาตรา 236 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย รวมทั้งกำหนดกรณีใดเป็น "เหตุจำเป็นอื่นอันมิอาจก้าวล่วงได้" ที่จะอนุญาตให้ผู้พิพากษานายอื่นซึ่งมิได้เข้าร่วมเป็นองค์คณะพิจารณาคดีแต่ต้น เข้ามานั่งพิจารณาคดีนั้นหรือลงลายมือชื่อในคำพิพากษาหลังจากได้ตรวจสำนวนคดีแล้ว ทั้งนี้ เพื่อให้ผู้พิพากษามีจำนวนเพียงพอที่จะประกอบเป็นองค์คณะได้
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ชุดนายชวน หลีกภัย)--วันที่ 3 สิงหาคม 2542--