ทำเนียบรัฐบาล--19 ส.ค.--บิสนิวส์
คณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบในหลักการร่างพระราชบัญญัติการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย พ.ศ. .... ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และส่งให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการับไปพิจารณาแก้ไขเพิ่มเติม ตามข้อสังเกตของคณะรัฐมนตรี ก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง
ร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว มีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้
1. ให้ยกเลิกพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งองค์การรถไฟฟ้ามหานคร พ.ศ. 2535 และพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งองค์การรถไฟฟ้ามหานคร (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2536
2. ให้นายกรัฐมนตรีเป็นผู้รักษาการตามพระราชบัญญัตินี้ และให้มีอำนาจออกกฎกระทรวง รวมทั้งกำหนดกิจการอื่นเพื่อปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้
3. ให้จัดตั้ง "การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย" เรียกโดยย่อว่า "รฟม." เป็นนิติบุคคลที่มีวัตถุประสงค์ในการดำเนินกิจการรถไฟฟ้าในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล รวมทั้งจังหวัดอื่นตามที่พระราชกฤษฎีกากำหนด ตลอดจนดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับกิจการรถไฟฟ้าและธุรกิจอื่นที่เกี่ยวเนื่องกับกิจการรถไฟฟ้า
4. ให้ รฟม. มีอำนาจกระทำกิจการภายในขอบแห่งวัตถุประสงค์ รวมทั้งอำนาจกระทำการดังต่อไปนี้ด้วย เช่น ถือกรรมสิทธิ์หรือมีทรัพยสิทธิต่าง ๆ ก่อตั้งสิทธิหรือกระทำนิติกรรมใด ๆ ทั้งในและนอกราชอาณาจักร ให้กู้หรือให้ยืมเงินโดยมีหลักประกันเพื่อประโยชน์แก่กิจการของ รฟม. ออกพันธบัตรหรือตราสารอื่นใดเพื่อการลงทุน จัดตั้งหรือถือหุ้นในบริษัทจำกัดหรือบริษัทมหาชน จำกัด เพื่อประกอบธุรกิจอันเกี่ยวเนื่องกับกิจการของ รฟม. ให้สัมปทานกิจการรถไฟฟ้าหรือการเดินรถไฟฟ้า และพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของ รฟม. เพื่อประโยชน์แก่การให้บริการรถไฟฟ้า
5. ให้มี "คณะกรรมการการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย" ประกอบด้วย ประธานกรรมการ ผู้แทนส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง และกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิอีกไม่เกิน 5 คน ทั้งนี้ ไม่รวมผู้ว่าการซึ่งเป็นกรรมการและเลขานุการโดยตำแหน่ง โดยมีอำนาจหน้าที่วางนโยบายและควบคุมดูแลกิจการของ รฟม. รวมทั้งการออกข้อบังคับในเรื่องที่กำหนดไว้ตามพระราชบัญญัตินี้
6. ให้คณะกรรมการเป็นผู้แต่งตั้งและกำหนดอัตราเงินเดือนของผู้ว่าการโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี
7. ในการปฏิบัติหน้าที่ให้ประธานกรรมการ กรรมการ และพนักงาน เป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา
8. ให้ รฟม. เสนอขอความเห็นชอบแผนงานหรือโครงการที่จะจัดสร้างกิจการรถไฟฟ้าต่อคณะกรรมการจัดระบบการจราจรทางบก เพื่อเสนอความเห็นประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรี
9. กำหนดให้พนักงานและผู้ซึ่งปฏิบัติงานร่วมกับพนักงานมีอำนาจที่จะใช้สอยหรือเข้าครอบครองอสังหาริมทรัพย์ซึ่งมิใช่โรงเรือนที่ใช้เป็นที่อยู่อาศัยของบุคคลใด ๆ เป็นการชั่วคราว เพื่อประโยชน์ในการวางแผน สำรวจ และออกแบบเบื้องต้นก่อนดำเนินการ ภายใต้เงื่อนไขที่กำหนด
10. กำหนดให้เจ้าของหรือผู้ครอบครองหรือผู้ทรงสิทธิอื่นมีสิทธิเรียกเงินค่าทดแทนจาก รฟม. ในกรณีที่การปฏิบัติงานของพนักงานหรือผู้ซึ่งปฏิบัติงานร่วมกับพนักงานก่อให้เกิดความเสียหายขึ้น และให้ รฟม. จ่ายเงินค่าทดแทนให้ตามความเป็นธรรมภายใน 30 วัน กรณีเจ้าของหรือผู้ครอบครองหรือผู้ทรงสิทธิอื่นไม่ตกลงในจำนวนเงินค่าทดแทนที่ รฟม. กำหนด ให้ รฟม. นำเงินค่าทดแทนดังกล่าวไปฝากไว้กับธนาคารออมสินหรือธนาคารพาณิชย์ที่เป็นรัฐวิสาหกิจ และหากบุคคลนั้นไม่พอใจในจำนวนเงินค่าทดแทนให้มีสิทธิฟ้องคดีต่อศาลภายใน 1 ปี
11. กำหนดให้การใช้อสังหาริมทรัพย์เพื่อดำเนินกิจการรถไฟฟ้า หากไม่จำต้องได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์ ให้ดำเนินการตามกฎหมายว่าด้วยการจัดหาอสังหาริมทรัพย์เพื่อกิจการขนส่งมวลชน ส่วนกรณีที่มีความจำเป็นต้องได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์ ให้ดำเนินการตามกฎหมายว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์
12. กำหนดหลักเกณฑ์การเข้าใช้ที่ดินของบุคคลอื่นเป็นการชั่วคราวเพื่อเตรียมการก่อสร้างหรือเพื่อดำเนินการก่อสร้างขยาย ปรับปรุง รวมทั้งบำรุงและรักษากิจการรถไฟฟ้า โดยไม่จำเป็นต้องได้มาซึ่งที่ดินนั้น
13. กรณีสถานีรถไฟฟ้า ทางเดินคนโดยสาร หรือทางเข้าออกสถานีรถไฟอาจเชื่อมติดต่อกับอสังหาริมทรัพย์ของผู้อื่นได้ รฟม. อาจจะพิจารณาอนุญาตโดยกำหนดเงื่อนไขหรือผลประโยชน์ตอบแทนให้แก่ รฟม. ด้วยหรือไม่ก็ได้
14. ให้ รฟม. ประกาศแนวเขตระบบรถไฟฟ้าพร้อมทั้งแผนที่แนบท้ายประกาศในราชกิจจานุเบกษา
15. กำหนดให้ผู้ว่าการหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายมีอำนาจเข้าไปในที่ดินหรือสถานที่ซึ่งอยู่นอกเขตระบบรถไฟฟ้าของบุคคลใดเพื่อตรวจ ดำเนินการป้องกันอันตราย ซ่อมแซม หรือแก้ไขความเสียหายแก่ระบบรถไฟฟ้าในกรณีจำเป็นเร่งด่วนเพื่อป้องกันอันตรายซึ่งจะมีผลกระทบต่อความปลอดภัยสาธารณะได้
16. รฟม. โดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีอาจให้สัมปทานการเดินรถไฟฟ้าหรือสัมปทานจัดสร้างระบบรถไฟฟ้าและเดินรถไฟฟ้าแก่เอกชนได้ รวมทั้งอาจให้สิทธิแก่ผู้รับสัมปทานในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ด้วยก็ได้
17. ให้กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินที่ได้จัดสร้างหรือจัดหามาตามสัญญาสัมปทานตกเป็นของรัฐเมื่อตรวจและรับมอบงานในกรณีการให้สัมปทานจัดสร้างระบบรถไฟฟ้า และเมื่อได้รับอนุญาตให้เดินรถ ในกรณีการให้สัมปทานการเดินรถ
18. กำหนดให้การโอนสัมปทานจะกระทำได้ต่อเมื่อคณะกรรมการพิจารณาเห็นว่ามีเหตุอันสมควร ผู้รับโอนมีคุณสมบัติตามที่พระราชบัญญัตินี้กำหนด และต้องไม่ทำให้กิจการที่ได้รับสัมปทานหยุดชะงัก รวมทั้งได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีก่อน
19. กำหนดให้ผู้ชำระบัญชีหรือเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เป็นผู้มีสิทธิแสดงเจตนาในการโอนสัมปทานในกรณีที่ผู้รับสัมปทานสิ้นสภาพการเป็นนิติบุคคลหรือตกเป็นบุคคลล้มละลาย
20. กำหนดบทบัญญัติเกี่ยวกับการเพิกถอนสัมปทาน
21. กำหนดให้ รฟม. ต้องจัดให้มีการประกันความเสียหายแก่ชีวิตและร่างกายของคนโดยสารตามที่กำหนดในกฎกระทรวง
22. รายได้ที่ รฟม. ได้รับจากการดำเนินการในปีหนึ่ง ๆ ให้ตกเป็นของ รฟม. และเมื่อได้หักรายจ่ายต่าง ๆ แล้ว เหลือเท่าใดให้นำส่งเป็นรายได้ของรัฐ ในกรณีรายได้ไม่เพียงพอและไม่สามารถหาเงินที่อื่นได้ รัฐพึงจ่ายเงินให้แก่ รฟม. เท่าจำนวนที่จำเป็นต่อการดำเนินงาน
23. กำหนดลักษณะการดำเนินกิจการที่ รฟม. ต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีก่อน
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ชุดนายชวน หลีกภัย)--วันที่ 17 สิงหาคม 2542--
คณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบในหลักการร่างพระราชบัญญัติการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย พ.ศ. .... ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และส่งให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการับไปพิจารณาแก้ไขเพิ่มเติม ตามข้อสังเกตของคณะรัฐมนตรี ก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง
ร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว มีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้
1. ให้ยกเลิกพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งองค์การรถไฟฟ้ามหานคร พ.ศ. 2535 และพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งองค์การรถไฟฟ้ามหานคร (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2536
2. ให้นายกรัฐมนตรีเป็นผู้รักษาการตามพระราชบัญญัตินี้ และให้มีอำนาจออกกฎกระทรวง รวมทั้งกำหนดกิจการอื่นเพื่อปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้
3. ให้จัดตั้ง "การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย" เรียกโดยย่อว่า "รฟม." เป็นนิติบุคคลที่มีวัตถุประสงค์ในการดำเนินกิจการรถไฟฟ้าในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล รวมทั้งจังหวัดอื่นตามที่พระราชกฤษฎีกากำหนด ตลอดจนดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับกิจการรถไฟฟ้าและธุรกิจอื่นที่เกี่ยวเนื่องกับกิจการรถไฟฟ้า
4. ให้ รฟม. มีอำนาจกระทำกิจการภายในขอบแห่งวัตถุประสงค์ รวมทั้งอำนาจกระทำการดังต่อไปนี้ด้วย เช่น ถือกรรมสิทธิ์หรือมีทรัพยสิทธิต่าง ๆ ก่อตั้งสิทธิหรือกระทำนิติกรรมใด ๆ ทั้งในและนอกราชอาณาจักร ให้กู้หรือให้ยืมเงินโดยมีหลักประกันเพื่อประโยชน์แก่กิจการของ รฟม. ออกพันธบัตรหรือตราสารอื่นใดเพื่อการลงทุน จัดตั้งหรือถือหุ้นในบริษัทจำกัดหรือบริษัทมหาชน จำกัด เพื่อประกอบธุรกิจอันเกี่ยวเนื่องกับกิจการของ รฟม. ให้สัมปทานกิจการรถไฟฟ้าหรือการเดินรถไฟฟ้า และพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของ รฟม. เพื่อประโยชน์แก่การให้บริการรถไฟฟ้า
5. ให้มี "คณะกรรมการการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย" ประกอบด้วย ประธานกรรมการ ผู้แทนส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง และกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิอีกไม่เกิน 5 คน ทั้งนี้ ไม่รวมผู้ว่าการซึ่งเป็นกรรมการและเลขานุการโดยตำแหน่ง โดยมีอำนาจหน้าที่วางนโยบายและควบคุมดูแลกิจการของ รฟม. รวมทั้งการออกข้อบังคับในเรื่องที่กำหนดไว้ตามพระราชบัญญัตินี้
6. ให้คณะกรรมการเป็นผู้แต่งตั้งและกำหนดอัตราเงินเดือนของผู้ว่าการโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี
7. ในการปฏิบัติหน้าที่ให้ประธานกรรมการ กรรมการ และพนักงาน เป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา
8. ให้ รฟม. เสนอขอความเห็นชอบแผนงานหรือโครงการที่จะจัดสร้างกิจการรถไฟฟ้าต่อคณะกรรมการจัดระบบการจราจรทางบก เพื่อเสนอความเห็นประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรี
9. กำหนดให้พนักงานและผู้ซึ่งปฏิบัติงานร่วมกับพนักงานมีอำนาจที่จะใช้สอยหรือเข้าครอบครองอสังหาริมทรัพย์ซึ่งมิใช่โรงเรือนที่ใช้เป็นที่อยู่อาศัยของบุคคลใด ๆ เป็นการชั่วคราว เพื่อประโยชน์ในการวางแผน สำรวจ และออกแบบเบื้องต้นก่อนดำเนินการ ภายใต้เงื่อนไขที่กำหนด
10. กำหนดให้เจ้าของหรือผู้ครอบครองหรือผู้ทรงสิทธิอื่นมีสิทธิเรียกเงินค่าทดแทนจาก รฟม. ในกรณีที่การปฏิบัติงานของพนักงานหรือผู้ซึ่งปฏิบัติงานร่วมกับพนักงานก่อให้เกิดความเสียหายขึ้น และให้ รฟม. จ่ายเงินค่าทดแทนให้ตามความเป็นธรรมภายใน 30 วัน กรณีเจ้าของหรือผู้ครอบครองหรือผู้ทรงสิทธิอื่นไม่ตกลงในจำนวนเงินค่าทดแทนที่ รฟม. กำหนด ให้ รฟม. นำเงินค่าทดแทนดังกล่าวไปฝากไว้กับธนาคารออมสินหรือธนาคารพาณิชย์ที่เป็นรัฐวิสาหกิจ และหากบุคคลนั้นไม่พอใจในจำนวนเงินค่าทดแทนให้มีสิทธิฟ้องคดีต่อศาลภายใน 1 ปี
11. กำหนดให้การใช้อสังหาริมทรัพย์เพื่อดำเนินกิจการรถไฟฟ้า หากไม่จำต้องได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์ ให้ดำเนินการตามกฎหมายว่าด้วยการจัดหาอสังหาริมทรัพย์เพื่อกิจการขนส่งมวลชน ส่วนกรณีที่มีความจำเป็นต้องได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์ ให้ดำเนินการตามกฎหมายว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์
12. กำหนดหลักเกณฑ์การเข้าใช้ที่ดินของบุคคลอื่นเป็นการชั่วคราวเพื่อเตรียมการก่อสร้างหรือเพื่อดำเนินการก่อสร้างขยาย ปรับปรุง รวมทั้งบำรุงและรักษากิจการรถไฟฟ้า โดยไม่จำเป็นต้องได้มาซึ่งที่ดินนั้น
13. กรณีสถานีรถไฟฟ้า ทางเดินคนโดยสาร หรือทางเข้าออกสถานีรถไฟอาจเชื่อมติดต่อกับอสังหาริมทรัพย์ของผู้อื่นได้ รฟม. อาจจะพิจารณาอนุญาตโดยกำหนดเงื่อนไขหรือผลประโยชน์ตอบแทนให้แก่ รฟม. ด้วยหรือไม่ก็ได้
14. ให้ รฟม. ประกาศแนวเขตระบบรถไฟฟ้าพร้อมทั้งแผนที่แนบท้ายประกาศในราชกิจจานุเบกษา
15. กำหนดให้ผู้ว่าการหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายมีอำนาจเข้าไปในที่ดินหรือสถานที่ซึ่งอยู่นอกเขตระบบรถไฟฟ้าของบุคคลใดเพื่อตรวจ ดำเนินการป้องกันอันตราย ซ่อมแซม หรือแก้ไขความเสียหายแก่ระบบรถไฟฟ้าในกรณีจำเป็นเร่งด่วนเพื่อป้องกันอันตรายซึ่งจะมีผลกระทบต่อความปลอดภัยสาธารณะได้
16. รฟม. โดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีอาจให้สัมปทานการเดินรถไฟฟ้าหรือสัมปทานจัดสร้างระบบรถไฟฟ้าและเดินรถไฟฟ้าแก่เอกชนได้ รวมทั้งอาจให้สิทธิแก่ผู้รับสัมปทานในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ด้วยก็ได้
17. ให้กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินที่ได้จัดสร้างหรือจัดหามาตามสัญญาสัมปทานตกเป็นของรัฐเมื่อตรวจและรับมอบงานในกรณีการให้สัมปทานจัดสร้างระบบรถไฟฟ้า และเมื่อได้รับอนุญาตให้เดินรถ ในกรณีการให้สัมปทานการเดินรถ
18. กำหนดให้การโอนสัมปทานจะกระทำได้ต่อเมื่อคณะกรรมการพิจารณาเห็นว่ามีเหตุอันสมควร ผู้รับโอนมีคุณสมบัติตามที่พระราชบัญญัตินี้กำหนด และต้องไม่ทำให้กิจการที่ได้รับสัมปทานหยุดชะงัก รวมทั้งได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีก่อน
19. กำหนดให้ผู้ชำระบัญชีหรือเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เป็นผู้มีสิทธิแสดงเจตนาในการโอนสัมปทานในกรณีที่ผู้รับสัมปทานสิ้นสภาพการเป็นนิติบุคคลหรือตกเป็นบุคคลล้มละลาย
20. กำหนดบทบัญญัติเกี่ยวกับการเพิกถอนสัมปทาน
21. กำหนดให้ รฟม. ต้องจัดให้มีการประกันความเสียหายแก่ชีวิตและร่างกายของคนโดยสารตามที่กำหนดในกฎกระทรวง
22. รายได้ที่ รฟม. ได้รับจากการดำเนินการในปีหนึ่ง ๆ ให้ตกเป็นของ รฟม. และเมื่อได้หักรายจ่ายต่าง ๆ แล้ว เหลือเท่าใดให้นำส่งเป็นรายได้ของรัฐ ในกรณีรายได้ไม่เพียงพอและไม่สามารถหาเงินที่อื่นได้ รัฐพึงจ่ายเงินให้แก่ รฟม. เท่าจำนวนที่จำเป็นต่อการดำเนินงาน
23. กำหนดลักษณะการดำเนินกิจการที่ รฟม. ต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีก่อน
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ชุดนายชวน หลีกภัย)--วันที่ 17 สิงหาคม 2542--