ทำเนียบรัฐบาล--7 ก.ค.--บิสนิวส์
คณะรัฐมนตรีเห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศลงนามในพิธีสาร ฉบับที่ 2 แก้ไขสนธิสัญญาไมตรีและความร่วมมือในเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ ระหว่างการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน ครั้งที่ 31 ณ กรุงมะนิลา ระหว่าง 24 - 25 กรกฎาคม 2541 และให้สามารถแก้ไขถ้อยคำเท่าที่ไม่ขัดต่อสารัตถะด้วย
ทั้งนี้ กระทรวงการต่างประเทศรายงานว่า
1. เมื่อปี 2530 ได้มีการแก้ไขสนธิสัญญาฯ โดยพิธีสาร ฉบับที่ 1 เพื่อเปิดโอกาสให้ปาปัวนิวกีนี ซึ่งเป็นประเทศอยู่นอกภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แต่มีฐานะเป็นผู้สังเกตการณ์ในการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน (ASEAN Ministerial Meeting : AMM) เข้าเป็นภาคีสนธิสัญญาฯ และต่อมาอาเซียนมีมติว่ารูปแบบที่จะให้ประเทศภายนอกภูมิภาคเข้าผูกพันกับสนธิสัญญาฯที่เหมาะสมที่สุดคือการยกร่างพิธีสาร ฉบับที่ 2 แก้ไขสนธิสัญญาฯ โดยแก้ไขมาตรา 18 วรรค 3 ของสนธิสัญญาเดิม ซึ่งจะทำให้ประเทศภายนอกภูมิภาคสามารถลงนามเพื่อเป็นภาคีสนธิสัญญาฯ ได้ แต่มอบสิทธิในการให้ควมยินยอมให้แก่ประเทศที่อยู่ในเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ 10 ประเทศเท่านั้น โดยไม่รวมปาปัวนิวกีนีซึ่งเป็นประเทศนอกภูมิภาค
2. รัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนจะพิจารณาลงนามพิธีสารดังกล่าวระหว่างการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน ครั้งที่ 31 ณ กรุงมะนิลา ทั้งนี้ ได้มีการกำหนดช่วงเวลาการลงนามในวันที่ 25 กรกฎาคม 2541 โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้
2.1 รัฐนอกเอเซียตะวันออกเฉียงใต้อาจภาคยานุวัติสนธิสัญญาฯ ด้วยความยินยอมของทุกรัฐในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทั้ง 10 ประเทศ ได้แก่ บรูไนดารุสซาลาม กัมพูชา อินโดนีเซีย ลาว มาเลเซีย พม่า ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ ไทย และเวียดนาม
2.2 พิธีสารนี้ต้องได้รับการสัตยาบันและจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ส่งมอบสัตยาบันสารฉบับสุดท้ายของรัฐภาคี
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ชุดนายชวน หลีกภัย)--วันที่ 7 กรกฎาคม 2541--
คณะรัฐมนตรีเห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศลงนามในพิธีสาร ฉบับที่ 2 แก้ไขสนธิสัญญาไมตรีและความร่วมมือในเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ ระหว่างการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน ครั้งที่ 31 ณ กรุงมะนิลา ระหว่าง 24 - 25 กรกฎาคม 2541 และให้สามารถแก้ไขถ้อยคำเท่าที่ไม่ขัดต่อสารัตถะด้วย
ทั้งนี้ กระทรวงการต่างประเทศรายงานว่า
1. เมื่อปี 2530 ได้มีการแก้ไขสนธิสัญญาฯ โดยพิธีสาร ฉบับที่ 1 เพื่อเปิดโอกาสให้ปาปัวนิวกีนี ซึ่งเป็นประเทศอยู่นอกภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แต่มีฐานะเป็นผู้สังเกตการณ์ในการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน (ASEAN Ministerial Meeting : AMM) เข้าเป็นภาคีสนธิสัญญาฯ และต่อมาอาเซียนมีมติว่ารูปแบบที่จะให้ประเทศภายนอกภูมิภาคเข้าผูกพันกับสนธิสัญญาฯที่เหมาะสมที่สุดคือการยกร่างพิธีสาร ฉบับที่ 2 แก้ไขสนธิสัญญาฯ โดยแก้ไขมาตรา 18 วรรค 3 ของสนธิสัญญาเดิม ซึ่งจะทำให้ประเทศภายนอกภูมิภาคสามารถลงนามเพื่อเป็นภาคีสนธิสัญญาฯ ได้ แต่มอบสิทธิในการให้ควมยินยอมให้แก่ประเทศที่อยู่ในเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ 10 ประเทศเท่านั้น โดยไม่รวมปาปัวนิวกีนีซึ่งเป็นประเทศนอกภูมิภาค
2. รัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนจะพิจารณาลงนามพิธีสารดังกล่าวระหว่างการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน ครั้งที่ 31 ณ กรุงมะนิลา ทั้งนี้ ได้มีการกำหนดช่วงเวลาการลงนามในวันที่ 25 กรกฎาคม 2541 โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้
2.1 รัฐนอกเอเซียตะวันออกเฉียงใต้อาจภาคยานุวัติสนธิสัญญาฯ ด้วยความยินยอมของทุกรัฐในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทั้ง 10 ประเทศ ได้แก่ บรูไนดารุสซาลาม กัมพูชา อินโดนีเซีย ลาว มาเลเซีย พม่า ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ ไทย และเวียดนาม
2.2 พิธีสารนี้ต้องได้รับการสัตยาบันและจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ส่งมอบสัตยาบันสารฉบับสุดท้ายของรัฐภาคี
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ชุดนายชวน หลีกภัย)--วันที่ 7 กรกฎาคม 2541--