ทำเนียบรัฐบาล--15 ธ.ค.--บิสนิวส์
คณะรัฐมนตรีอนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
1. อนุมัติการกำหนดเพดานเงินกู้ในแผนการก่อหนี้ฯ ประจำปีงบประมาณ 2538 วงเงิน เทียบเท่าไม่เกิน 3,200 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยแบ่งเป็นเพดานเงินกู้ของส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจทั่ว ไปที่มิใช่ธนาคารเทียบเท่าไม่เกิน 2,200 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และวงเงินกู้ของธนาคารของรัฐที่เทียบเท่า ไม่เกิน 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
2. อนุมัติแผนการก่อหนี้ฯ ประจำปีงบประมาณ 2538 ซึ่งประกอบด้วยโครงการหลักจำนวน 21 โครงการ วงเงินรวมเทียบเท่า 2,711.78 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยเป็นโครงกรภายใต้เพดานเงิน กู้ของส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจทั่วไปที่มิใช่ธนาคาร จำนวน 17 โครงการ วงเงินเทียบเท่า 1,719.91 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และโครงการภายใต้เพดานเงินกู้ของธนาคารของรัฐจำนวน 4 โครง การ วงเงินเทียบเท่า 991.87 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และ โครงการสำรองจำนวน 17 โครงการ วงเงิน เทียบเท่า 2,334.79 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
3.อนุมัติให้คณะกรรมการนโยบายหนี้ของประเทศมีอำนาจปรับปรุง แก้ไข และทบทวนแผน การก่อหนี้ฯ ดังกล่าวได้เป็นระยะ ๆ ตามความจำเป็นและเหมาะสม ภายในกรอบเพดานเงินกู้เทียบเท่า ไม่เกิน 3,200 ล้านเหรียญสหรัฐฯ แล้วรายงานคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบต่อไป
ทั้งนี้ คณะกรรมการนโยบายหนี้ของประเทศได้จัดทำแผนการก่อหนี้จากต่างประเทศ ประจำปี งบประมาณ 2538 สรุปได้ดังนี้
1. ภาพรวมของสถานะและภาระหนี้ต่างประเทศ
1.1 หนี้คงค้างต่างประเทศ ยอดหนี้ต่างประเทศ ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2537 มียอดคงค้างทั้ง สิ้น 60,519 ล้านเหรียญสหรัฐฯ คิดเป็นร้อยละ 43.3 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติเบื้องต้น (GDP) และจะมีจำนวนเพิ่มขึ้นร้อยละ 19.6 ยอดหนี้ที่เพิ่มส่วนใหญ่เป็นหนี้เอกชน สาเหตุสำคัญเนื่องจากธุรกิจ เอกชนหันมากู้ยืมจากกิจการวิเทศธนกิจแทนการกู้เองจากต่างประเทศ ส่วนสาเหตุหลักที่ยอดหนี้ภาครัฐ บาลสูงขึ้น เกิดจากการเปลี่ยนแปลงค่าเงินเมื่อเทียบกับเงินเหรียญสหรัฐฯ ในสกุลสำคัญ
1.2 ภาระหนี้ต่างประเทศและงบประมาณการในอนาคต โดยที่รายได้เงินตราต่างประเทศ จากการส่งสินค้าออกและบริการเพิ่มสูงถึงร้อยละ 19.1 จึงทำให้สัดส่วนภาระหนี้เมื่อเทียบกับรายได้ เงิน ตราต่างประเทศ (Debt Service Ratio) ลดลงเหลือร้อยละ 10.8 สำหรับการประมาณการภาระ หนี้ต่างประเทศภาครัฐบาลในอนาคต มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเฉลี่ยร้อยละ 13 ในช่วงปี 2538-2545 และ Debt Service Ratio จะมีระดับสูงสุดเพียงร้อยละ 4.3 ในปี 2543
2. การบริหารหนี้ในส่วนอัตราแลกเปลี่ยน
กระทรวงการคลังได้กำหนดแนวทางดำเนินการบริหารหนี้ในส่วนอัตราแลกเปลี่ยน ดังนี้
2.1 การนำเงินคงคลังไปซื้อเงินตราต่างประเทศล่วงหน้าเพื่อรอชำระหนี้ตามสกุลที่มีพันธะใน ช่วง 1-2 ปีข้างหน้า
2.2การชำระคืนเงินกู้ก่อนครบกำหนด (Prepayment) สำหรับเงินกู้รัฐบาลที่มีอัตราดอก เบี้ยสูงด้วยเงินคงคลัง
2.3การกระจายการกู้เงิน พร้อมทั้งปรับโครงสร้างหนี้เงินกู้ต่างประเทศในรูปเงินตรา สกุลต่าง ๆ ให้สอดคล้องกับแนวทางการบริหารทุนสำรองเงินตราต่างประเทศ
2.4การทำ Refinance หนี้เงินกู้สกุลเยนเพื่อลดต้นทุนการกู้เงินตามที่ภาวะตลาดเอื้ออำ นวยพร้อมกับทำ Swap หนี้เงินกู้ดังกล่าวเป็นหนี้สกุลเหรียญสหรัฐฯ ในโอกาสเดียวกัน
2.5 การจำกัดกรกู้เงินสกุลเยนเฉพาะแหล่งเงินกู้จากแหล่งทางการและจากแหล่งตลาดเงิน ทุนจะกู้เฉพาะในกรณีสามารถนำเงินกู้นั้นไป Swap เป็นหนี้สกุลเหรียญสหรัฐฯ ในอัตราที่ต่ำกว่า อัตราตลาดเท่านั้น
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดนายบรรหาร ศิลปอาชา)--วันที่ 14 ธันวาคม 2537--
คณะรัฐมนตรีอนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
1. อนุมัติการกำหนดเพดานเงินกู้ในแผนการก่อหนี้ฯ ประจำปีงบประมาณ 2538 วงเงิน เทียบเท่าไม่เกิน 3,200 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยแบ่งเป็นเพดานเงินกู้ของส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจทั่ว ไปที่มิใช่ธนาคารเทียบเท่าไม่เกิน 2,200 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และวงเงินกู้ของธนาคารของรัฐที่เทียบเท่า ไม่เกิน 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
2. อนุมัติแผนการก่อหนี้ฯ ประจำปีงบประมาณ 2538 ซึ่งประกอบด้วยโครงการหลักจำนวน 21 โครงการ วงเงินรวมเทียบเท่า 2,711.78 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยเป็นโครงกรภายใต้เพดานเงิน กู้ของส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจทั่วไปที่มิใช่ธนาคาร จำนวน 17 โครงการ วงเงินเทียบเท่า 1,719.91 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และโครงการภายใต้เพดานเงินกู้ของธนาคารของรัฐจำนวน 4 โครง การ วงเงินเทียบเท่า 991.87 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และ โครงการสำรองจำนวน 17 โครงการ วงเงิน เทียบเท่า 2,334.79 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
3.อนุมัติให้คณะกรรมการนโยบายหนี้ของประเทศมีอำนาจปรับปรุง แก้ไข และทบทวนแผน การก่อหนี้ฯ ดังกล่าวได้เป็นระยะ ๆ ตามความจำเป็นและเหมาะสม ภายในกรอบเพดานเงินกู้เทียบเท่า ไม่เกิน 3,200 ล้านเหรียญสหรัฐฯ แล้วรายงานคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบต่อไป
ทั้งนี้ คณะกรรมการนโยบายหนี้ของประเทศได้จัดทำแผนการก่อหนี้จากต่างประเทศ ประจำปี งบประมาณ 2538 สรุปได้ดังนี้
1. ภาพรวมของสถานะและภาระหนี้ต่างประเทศ
1.1 หนี้คงค้างต่างประเทศ ยอดหนี้ต่างประเทศ ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2537 มียอดคงค้างทั้ง สิ้น 60,519 ล้านเหรียญสหรัฐฯ คิดเป็นร้อยละ 43.3 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติเบื้องต้น (GDP) และจะมีจำนวนเพิ่มขึ้นร้อยละ 19.6 ยอดหนี้ที่เพิ่มส่วนใหญ่เป็นหนี้เอกชน สาเหตุสำคัญเนื่องจากธุรกิจ เอกชนหันมากู้ยืมจากกิจการวิเทศธนกิจแทนการกู้เองจากต่างประเทศ ส่วนสาเหตุหลักที่ยอดหนี้ภาครัฐ บาลสูงขึ้น เกิดจากการเปลี่ยนแปลงค่าเงินเมื่อเทียบกับเงินเหรียญสหรัฐฯ ในสกุลสำคัญ
1.2 ภาระหนี้ต่างประเทศและงบประมาณการในอนาคต โดยที่รายได้เงินตราต่างประเทศ จากการส่งสินค้าออกและบริการเพิ่มสูงถึงร้อยละ 19.1 จึงทำให้สัดส่วนภาระหนี้เมื่อเทียบกับรายได้ เงิน ตราต่างประเทศ (Debt Service Ratio) ลดลงเหลือร้อยละ 10.8 สำหรับการประมาณการภาระ หนี้ต่างประเทศภาครัฐบาลในอนาคต มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเฉลี่ยร้อยละ 13 ในช่วงปี 2538-2545 และ Debt Service Ratio จะมีระดับสูงสุดเพียงร้อยละ 4.3 ในปี 2543
2. การบริหารหนี้ในส่วนอัตราแลกเปลี่ยน
กระทรวงการคลังได้กำหนดแนวทางดำเนินการบริหารหนี้ในส่วนอัตราแลกเปลี่ยน ดังนี้
2.1 การนำเงินคงคลังไปซื้อเงินตราต่างประเทศล่วงหน้าเพื่อรอชำระหนี้ตามสกุลที่มีพันธะใน ช่วง 1-2 ปีข้างหน้า
2.2การชำระคืนเงินกู้ก่อนครบกำหนด (Prepayment) สำหรับเงินกู้รัฐบาลที่มีอัตราดอก เบี้ยสูงด้วยเงินคงคลัง
2.3การกระจายการกู้เงิน พร้อมทั้งปรับโครงสร้างหนี้เงินกู้ต่างประเทศในรูปเงินตรา สกุลต่าง ๆ ให้สอดคล้องกับแนวทางการบริหารทุนสำรองเงินตราต่างประเทศ
2.4การทำ Refinance หนี้เงินกู้สกุลเยนเพื่อลดต้นทุนการกู้เงินตามที่ภาวะตลาดเอื้ออำ นวยพร้อมกับทำ Swap หนี้เงินกู้ดังกล่าวเป็นหนี้สกุลเหรียญสหรัฐฯ ในโอกาสเดียวกัน
2.5 การจำกัดกรกู้เงินสกุลเยนเฉพาะแหล่งเงินกู้จากแหล่งทางการและจากแหล่งตลาดเงิน ทุนจะกู้เฉพาะในกรณีสามารถนำเงินกู้นั้นไป Swap เป็นหนี้สกุลเหรียญสหรัฐฯ ในอัตราที่ต่ำกว่า อัตราตลาดเท่านั้น
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดนายบรรหาร ศิลปอาชา)--วันที่ 14 ธันวาคม 2537--