ทำเนียบรัฐบาล--9 ก.พ.--บิสนิวส์
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการลงคะแนนเสียงเพื่อถอดถอนสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอข้อบัญญัติท้องถิ่น พ.ศ. .... ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา แล้วเสนอสภาผู้แทนราษฎรเป็นเรื่องด่วนต่อไป
สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอว่า คณะกรรมการกฤษฎีกา (กรรมการร่างกฎหมาย คณะที่ 10) ได้ตรวจพิจารณาร่างพระราชบัญญัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2541 ที่อนุมัติร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการลงคะแนนเสียงให้สมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นพ้นจากตำแหน่ง และการเข้าชื่อเพื่อให้สภาท้องถิ่นพิจารณาออกข้อบัญัญัติท้องถิ่น พ.ศ. …. แล้วเห็นว่าการดำเนินการเพื่อถอดถอนสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น กับการดำเนินการเสนอข้อบัญญัติท้องถิ่นนั้น มีวิธีการดำเนินการที่แตกต่างกันเป็นคนละกรณี การบัญญัติไว้ในกฎหมายฉบับเดียวกันจึงไม่มีความสัมพันธ์กันแต่อย่างใด และโดยที่บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญที่บัญญัติให้มีการตรากฎหมายดังกล่าวได้มีการแยกบัญญัติเป็นคนละมาตรา คือการลงคะแนนเพื่อถอดถอนสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นบัญญัติไว้ในมาตรา 286 ส่วนการเข้าชื่อของผู้มีสิทธิเลือกตั้งเพื่อให้สภาท้องถิ่นพิจารณาออกข้อบัญญัติท้องถิ่นบัญญัติไว้ในมาตรา 287 ประกอบกับเมื่อพิจารณาเปรียบเทียบกับการตรากฎหมายในเรื่องเดียวกันที่ใช้บังคับกับการถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง กับการเข้าชื่อเสนอกฎหมายก็ได้มีการดำเนินการแยกเป็นกฎหมาย 2 ฉบับ สมควรดำเนินการแยกเรื่องดังกล่าวออกเป็นกฎหมาย 2 ฉบับ ให้ตรงกับสาระของแต่ละเรื่อง
ร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการลงคะแนนเสียงเพื่อถอดถอนสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. .... มีสาระสำคัญ ดังนี้
1. การเข้าชื่อเพื่อเสนอให้มีการลงคะแนนเสียงถอดถอน ตามมาตรา 286 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยซึ่งบัญญัติให้ราษฎรผู้มีสิทธิเลือกตั้งในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีจำนวนไม่น้อยกว่าสามในสี่ของจำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่มาลงคะแนนเสียงเห็นว่า สมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นไม่สมควรดำรงตำแหน่งต่อไป ก็ให้บุคคลนั้นพ้นจากตำแหน่ง เป็นการกำหนดเฉพาะเงื่อนไขของการลงคะแนนเสียงของผู้มีสิทธิเลือกตั้งเพื่อให้พ้นจากตำแหน่ง แต่ไม่ได้กำหนดเงื่อนไขของการริเริ่มกระบวนการที่จะนำไปสู่การลงคะแนนเสียงดังกล่าว ซึ่งแตกต่างจากบทบัญญัติเรื่องการถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ดังนั้น เพื่อให้การดำเนินการตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญสามารถปฏิบัติได้ตามเจตนารมณ์ จึงต้องบัญญัติถึงวิธีการเริ่มต้น ดังนี้
1) ผู้มีสิทธิเสนอเรื่องให้มีการลงคะแนนเสียงถอดถอน ต้องเป็นผู้มีสิทธิเลือกตั้งในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นนั้น และการเข้าชื่อเพื่อเสนอให้มีการลงคะแนนเสียงต้องมีผู้เข้าชื่อหนึ่งในห้าของจำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้งหรือจำนวนหนึ่งหมื่นคน แล้วแต่ว่ากาารเข้าชื่อจะถึงจำนวนใดก่อนกัน การกำหนดจำนวนผู้เข้าชื่อดังกล่าวได้พิจารณาเทียบเคียงกับการเข้าชื่อถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองซึ่งเป็นเรื่องในระดับประเทศโดยรัฐธรรมนูญกำหนดไว้ต้องมีจำนวนห้าหมื่นคน เมื่อกรณีนี้เป็นการถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งในท้องถิ่นจึงลดสัดส่วนลงมาหนึ่งในห้า ส่วนการที่กำหนดไว้สองจำนวนคือหนึ่งในห้าและหนึ่งหมื่นคนนั้น เพื่อให้สอดคล้องกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นแต่ละประเภทซึ่งมีจำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้งไม่เท่ากัน เช่น องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นขนาดเล็กคือ อบต. อาจใช้เกณฑ์หนึ่งในห้าได้ แต่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นขนาดใหญ่คือ กรุงเทพมหานคร หากใช้เกณฑ์หนึ่งในห้าอาจดำเนินการไม่ได้เพราะจะต้องมีจำนวนผู้เข้าชื่อสูงมาก จึงใช้เกณฑ์หนึ่งหมื่นคนแทน เป็นต้น
2) วิธีการเข้าชื่อเสนอเรื่องให้มีการลงคะแนนเสียงถอดถอน กำหนดให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่ประสงค์จะเข้าชื่อสามารถดำเนินการกันเองได้ โดยต้องมีการแต่งตั้งผู้แทนเป็นผู้รวบรวมรายชื่อและรับรองรายชื่อนั้นว่าถูกต้อง แล้วเสนอเอกสารต่อผู้ว่าราชการจังหวัดหรือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยสำหรับกรุงเทพมหานคร (ในฐานะเป็นผู้กำกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น) ซึ่งเอกสารดังกล่าวจะประกอบด้วย หลักฐานการแสดงตนของผู้เข้าชื่อได้แก่สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน และรายละเอียดข้อเท็จจริงที่กล่าวหาว่าสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นนั้นมีเหตุไม่สมควรดำรงตำแหน่ง 3) การให้โอกาสสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นแก้ข้อกล่าวหาเพื่่อให้เกิดความเป็นธรรมและมีข้อมูลเปรียบเทียบโดยกำหนดให้ผู้ว่าราชการจังหวัดจัดส่งคำกล่าวหาไปให้สมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นจัดทำคำแก้ข้อกล่าวหาภายในเวลาที่กำหนด ทั้งนี้ ในการจัดให้มีการลงคะแนนเสียงจะต้องมีการปิดประกาศทั้งคำกล่าวหาและคำแก้ข้อกล่าวหาไว้ให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งได้ตรวจสอบด้วย
2. การลงคะแนนเสียงถอดถอน
1) ผู้มีหน้าที่ดำเนินการจัดการลงคะแนนเสียง กำหนดให้คณะกรรมการการเลือกตั้งเป็นผู้จัดดำเนินการ ทั้งนี้ เพราะการจัดให้มีการเลือกตั้งในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต่อไปในภายหน้านั้นจะเป็นหน้าที่ของคณะกรรมการการเลือกตั้งตามมาตรา 144 ของรัฐธรรมนูญ และโดยที่ผู้มีสิทธิลงคะแนนเสียงนั้น รัฐธรรมนูญกำหนดให้เป็นผู้มีสิทธิเลือกตั้งในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยใช้กระบวนการลงคะแนนที่ไม่แตกต่างจากการจัดการเลือกตั้ง ประกอบกับในกรณีนี้ไม่เป็นการขัดต่อภารกิจของคณะกรรมการการเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญเนื่องจากมาตรา 146 (6) ของรัฐธรรมนูญบัญญัติให้คณะกรรมการการเลือกตั้งมีหน้าที่ปฏิบัติตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ด้วย จึงสามารถตรากฎหมายกำหนดให้เป็นอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการการเลือกตั้งได้ และเนื่องจากในขณะนี้คณะกรรมการการเลือกตั้งยังไม่เข้าดำเนินการจัดการเลือกตั้งในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นตามมาตรา 327 (9) ของรัฐธรรมนูญ และตามมาตรา 43 ของพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง จึงกำหนดบทเฉพาะกาลให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยในกรณีของกรุงเทพมหานครและผู้ว่าราชการจังหวัดในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอื่น ๆ เป็นผู้เข้ามาดำเนินการในการจัดให้มีการลงคะแนนเสียงเพื่อถอดถอนสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นจนกว่าคณะกรรมการการเลือกตั้งจะเข้ามาดำเนินการดังกล่าว อนึ่ง ร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ มีผลต่อการออกจากตำแหน่งของสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น ดังนั้น การดำเนินการต่าง ๆ ในการลงคะแนนเสียงนั้นต้องดำเนินไปอย่างถูกต้องและเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย ร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้จึงได้มีบทกำหนดโทษ โดยกำหนดลักษณะความผิดเช่นเดียวกับร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการออกเสียงประชามติ พ.ศ. .... แต่ในกรณีนี้เป็นเรื่องภายในท้องถิ่น จึงได้ลดอัตราโทษลงครึ่งหนึ่ง
2) วิธีการลงคะแนนเสียงถอดถอน ได้ใช้กระบวนการจัดการลงคะแนนเสียงโดยวิธีการเดียวกับร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการออกเสียงประชามติ พ.ศ. .... ที่ผ่านความเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาแล้ว กล่าวคือ ต้องจัดให้มีหน่วยลงคะแนนเสียงและประกาศรายชื่อผู้มีสิทธิเลือกตั้ง และเมื่อถึงวันลงคะแนนเสียงให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งจะลงคะแนนในบัตรลงคะแนนเสียงว่าเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบในการถอดถอน แล้วหย่อนบัตรในหีบบัตรลงคะแนนเสียงและเมื่อปิดการลงคะแนนให้มีการนับคะแนนในหน่วยลงคะแนนเสียง หากผลคะแนนรวมในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นนั้นครบจำนวนตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้ ให้สมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นนั้นพ้นจากตำแหน่งตั้งแต่วันลงคะแนนเสียง
ร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอข้อบัญญัติท้องถิ่น พ.ศ. .... โดยที่มาตรา 287 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยได้กำหนดให้ราษฎรผู้มีสิทธิเลือกตั้งในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นใดมีจำนวนไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้งในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นนั้นมีสิทธิเข้าชื่อเพื่อให้สภาท้องถิ่นพิจารณาออกข้อบัญญัติท้องถิ่นได้ ดังนั้น ในร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้จึงได้กำหนดขั้นตอนรายละเอียดเกี่ยวกับการยื่นคำร้องรวมทั้งการเข้าชื่อของผู้มีสิทธิเลือกตั้ง โดยใช้วิธีการให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งเข้าชื่อกันเอง และแต่งตั้งผู้แทนเป็นผู้รวบรวมรายชื่อและรับรองความถูกต้อง แล้วจัดส่งเอกสารซึ่งประกอบด้วยบัญชีรายชื่อและสำเนาบัตรประจำตัวประชาชน พร้อมทั้งร่างข้อบัญญัติท้องถิ่นให้ประธานสภาท้องถิ่นนำไปปิดประกาศให้มีผู้คัดค้านรายชื่อในเวลาที่กำหนดถ้าปรากฏว่ารายชื่อถูกต้องครบจำนวนให้จัดให้มีการพิจารณาร่างข้อบัญญัติท้องถิ่นนั้นต่อไป ทั้งนี้ เป็นไปในแนวทางเดียวกับร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย พ.ศ. .... สำหรับร่างข้อบัญญัติท้องถิ่นที่จะเสนอให้สภาท้องถิ่นพิจารณานั้น เนื่องจากรัฐธรรมนูญมิได้กำหนดเป็นข้อจำกัดไว้ว่าจะเสนอได้ในเรื่องใดบ้าง ซึ่งแตกต่างจากการเข้าชื่อเสนอกฎหมายตามมาตรา 170 ของรัฐธรรมนูญ ฉะนั้น การเสนอร่างข้อบัญญัติท้องถิ่น จึงอาจเสนอได้ทุกเรื่องภายในกรอบอำนาจหน้าที่ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นนั้น
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ชุดนายชวน หลีกภัย)--วันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2542--
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการลงคะแนนเสียงเพื่อถอดถอนสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอข้อบัญญัติท้องถิ่น พ.ศ. .... ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา แล้วเสนอสภาผู้แทนราษฎรเป็นเรื่องด่วนต่อไป
สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอว่า คณะกรรมการกฤษฎีกา (กรรมการร่างกฎหมาย คณะที่ 10) ได้ตรวจพิจารณาร่างพระราชบัญญัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2541 ที่อนุมัติร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการลงคะแนนเสียงให้สมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นพ้นจากตำแหน่ง และการเข้าชื่อเพื่อให้สภาท้องถิ่นพิจารณาออกข้อบัญัญัติท้องถิ่น พ.ศ. …. แล้วเห็นว่าการดำเนินการเพื่อถอดถอนสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น กับการดำเนินการเสนอข้อบัญญัติท้องถิ่นนั้น มีวิธีการดำเนินการที่แตกต่างกันเป็นคนละกรณี การบัญญัติไว้ในกฎหมายฉบับเดียวกันจึงไม่มีความสัมพันธ์กันแต่อย่างใด และโดยที่บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญที่บัญญัติให้มีการตรากฎหมายดังกล่าวได้มีการแยกบัญญัติเป็นคนละมาตรา คือการลงคะแนนเพื่อถอดถอนสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นบัญญัติไว้ในมาตรา 286 ส่วนการเข้าชื่อของผู้มีสิทธิเลือกตั้งเพื่อให้สภาท้องถิ่นพิจารณาออกข้อบัญญัติท้องถิ่นบัญญัติไว้ในมาตรา 287 ประกอบกับเมื่อพิจารณาเปรียบเทียบกับการตรากฎหมายในเรื่องเดียวกันที่ใช้บังคับกับการถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง กับการเข้าชื่อเสนอกฎหมายก็ได้มีการดำเนินการแยกเป็นกฎหมาย 2 ฉบับ สมควรดำเนินการแยกเรื่องดังกล่าวออกเป็นกฎหมาย 2 ฉบับ ให้ตรงกับสาระของแต่ละเรื่อง
ร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการลงคะแนนเสียงเพื่อถอดถอนสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. .... มีสาระสำคัญ ดังนี้
1. การเข้าชื่อเพื่อเสนอให้มีการลงคะแนนเสียงถอดถอน ตามมาตรา 286 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยซึ่งบัญญัติให้ราษฎรผู้มีสิทธิเลือกตั้งในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีจำนวนไม่น้อยกว่าสามในสี่ของจำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่มาลงคะแนนเสียงเห็นว่า สมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นไม่สมควรดำรงตำแหน่งต่อไป ก็ให้บุคคลนั้นพ้นจากตำแหน่ง เป็นการกำหนดเฉพาะเงื่อนไขของการลงคะแนนเสียงของผู้มีสิทธิเลือกตั้งเพื่อให้พ้นจากตำแหน่ง แต่ไม่ได้กำหนดเงื่อนไขของการริเริ่มกระบวนการที่จะนำไปสู่การลงคะแนนเสียงดังกล่าว ซึ่งแตกต่างจากบทบัญญัติเรื่องการถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ดังนั้น เพื่อให้การดำเนินการตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญสามารถปฏิบัติได้ตามเจตนารมณ์ จึงต้องบัญญัติถึงวิธีการเริ่มต้น ดังนี้
1) ผู้มีสิทธิเสนอเรื่องให้มีการลงคะแนนเสียงถอดถอน ต้องเป็นผู้มีสิทธิเลือกตั้งในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นนั้น และการเข้าชื่อเพื่อเสนอให้มีการลงคะแนนเสียงต้องมีผู้เข้าชื่อหนึ่งในห้าของจำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้งหรือจำนวนหนึ่งหมื่นคน แล้วแต่ว่ากาารเข้าชื่อจะถึงจำนวนใดก่อนกัน การกำหนดจำนวนผู้เข้าชื่อดังกล่าวได้พิจารณาเทียบเคียงกับการเข้าชื่อถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองซึ่งเป็นเรื่องในระดับประเทศโดยรัฐธรรมนูญกำหนดไว้ต้องมีจำนวนห้าหมื่นคน เมื่อกรณีนี้เป็นการถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งในท้องถิ่นจึงลดสัดส่วนลงมาหนึ่งในห้า ส่วนการที่กำหนดไว้สองจำนวนคือหนึ่งในห้าและหนึ่งหมื่นคนนั้น เพื่อให้สอดคล้องกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นแต่ละประเภทซึ่งมีจำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้งไม่เท่ากัน เช่น องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นขนาดเล็กคือ อบต. อาจใช้เกณฑ์หนึ่งในห้าได้ แต่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นขนาดใหญ่คือ กรุงเทพมหานคร หากใช้เกณฑ์หนึ่งในห้าอาจดำเนินการไม่ได้เพราะจะต้องมีจำนวนผู้เข้าชื่อสูงมาก จึงใช้เกณฑ์หนึ่งหมื่นคนแทน เป็นต้น
2) วิธีการเข้าชื่อเสนอเรื่องให้มีการลงคะแนนเสียงถอดถอน กำหนดให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่ประสงค์จะเข้าชื่อสามารถดำเนินการกันเองได้ โดยต้องมีการแต่งตั้งผู้แทนเป็นผู้รวบรวมรายชื่อและรับรองรายชื่อนั้นว่าถูกต้อง แล้วเสนอเอกสารต่อผู้ว่าราชการจังหวัดหรือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยสำหรับกรุงเทพมหานคร (ในฐานะเป็นผู้กำกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น) ซึ่งเอกสารดังกล่าวจะประกอบด้วย หลักฐานการแสดงตนของผู้เข้าชื่อได้แก่สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน และรายละเอียดข้อเท็จจริงที่กล่าวหาว่าสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นนั้นมีเหตุไม่สมควรดำรงตำแหน่ง 3) การให้โอกาสสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นแก้ข้อกล่าวหาเพื่่อให้เกิดความเป็นธรรมและมีข้อมูลเปรียบเทียบโดยกำหนดให้ผู้ว่าราชการจังหวัดจัดส่งคำกล่าวหาไปให้สมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นจัดทำคำแก้ข้อกล่าวหาภายในเวลาที่กำหนด ทั้งนี้ ในการจัดให้มีการลงคะแนนเสียงจะต้องมีการปิดประกาศทั้งคำกล่าวหาและคำแก้ข้อกล่าวหาไว้ให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งได้ตรวจสอบด้วย
2. การลงคะแนนเสียงถอดถอน
1) ผู้มีหน้าที่ดำเนินการจัดการลงคะแนนเสียง กำหนดให้คณะกรรมการการเลือกตั้งเป็นผู้จัดดำเนินการ ทั้งนี้ เพราะการจัดให้มีการเลือกตั้งในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต่อไปในภายหน้านั้นจะเป็นหน้าที่ของคณะกรรมการการเลือกตั้งตามมาตรา 144 ของรัฐธรรมนูญ และโดยที่ผู้มีสิทธิลงคะแนนเสียงนั้น รัฐธรรมนูญกำหนดให้เป็นผู้มีสิทธิเลือกตั้งในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยใช้กระบวนการลงคะแนนที่ไม่แตกต่างจากการจัดการเลือกตั้ง ประกอบกับในกรณีนี้ไม่เป็นการขัดต่อภารกิจของคณะกรรมการการเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญเนื่องจากมาตรา 146 (6) ของรัฐธรรมนูญบัญญัติให้คณะกรรมการการเลือกตั้งมีหน้าที่ปฏิบัติตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ด้วย จึงสามารถตรากฎหมายกำหนดให้เป็นอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการการเลือกตั้งได้ และเนื่องจากในขณะนี้คณะกรรมการการเลือกตั้งยังไม่เข้าดำเนินการจัดการเลือกตั้งในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นตามมาตรา 327 (9) ของรัฐธรรมนูญ และตามมาตรา 43 ของพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง จึงกำหนดบทเฉพาะกาลให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยในกรณีของกรุงเทพมหานครและผู้ว่าราชการจังหวัดในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอื่น ๆ เป็นผู้เข้ามาดำเนินการในการจัดให้มีการลงคะแนนเสียงเพื่อถอดถอนสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นจนกว่าคณะกรรมการการเลือกตั้งจะเข้ามาดำเนินการดังกล่าว อนึ่ง ร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ มีผลต่อการออกจากตำแหน่งของสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น ดังนั้น การดำเนินการต่าง ๆ ในการลงคะแนนเสียงนั้นต้องดำเนินไปอย่างถูกต้องและเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย ร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้จึงได้มีบทกำหนดโทษ โดยกำหนดลักษณะความผิดเช่นเดียวกับร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการออกเสียงประชามติ พ.ศ. .... แต่ในกรณีนี้เป็นเรื่องภายในท้องถิ่น จึงได้ลดอัตราโทษลงครึ่งหนึ่ง
2) วิธีการลงคะแนนเสียงถอดถอน ได้ใช้กระบวนการจัดการลงคะแนนเสียงโดยวิธีการเดียวกับร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการออกเสียงประชามติ พ.ศ. .... ที่ผ่านความเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาแล้ว กล่าวคือ ต้องจัดให้มีหน่วยลงคะแนนเสียงและประกาศรายชื่อผู้มีสิทธิเลือกตั้ง และเมื่อถึงวันลงคะแนนเสียงให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งจะลงคะแนนในบัตรลงคะแนนเสียงว่าเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบในการถอดถอน แล้วหย่อนบัตรในหีบบัตรลงคะแนนเสียงและเมื่อปิดการลงคะแนนให้มีการนับคะแนนในหน่วยลงคะแนนเสียง หากผลคะแนนรวมในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นนั้นครบจำนวนตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้ ให้สมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นนั้นพ้นจากตำแหน่งตั้งแต่วันลงคะแนนเสียง
ร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอข้อบัญญัติท้องถิ่น พ.ศ. .... โดยที่มาตรา 287 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยได้กำหนดให้ราษฎรผู้มีสิทธิเลือกตั้งในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นใดมีจำนวนไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้งในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นนั้นมีสิทธิเข้าชื่อเพื่อให้สภาท้องถิ่นพิจารณาออกข้อบัญญัติท้องถิ่นได้ ดังนั้น ในร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้จึงได้กำหนดขั้นตอนรายละเอียดเกี่ยวกับการยื่นคำร้องรวมทั้งการเข้าชื่อของผู้มีสิทธิเลือกตั้ง โดยใช้วิธีการให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งเข้าชื่อกันเอง และแต่งตั้งผู้แทนเป็นผู้รวบรวมรายชื่อและรับรองความถูกต้อง แล้วจัดส่งเอกสารซึ่งประกอบด้วยบัญชีรายชื่อและสำเนาบัตรประจำตัวประชาชน พร้อมทั้งร่างข้อบัญญัติท้องถิ่นให้ประธานสภาท้องถิ่นนำไปปิดประกาศให้มีผู้คัดค้านรายชื่อในเวลาที่กำหนดถ้าปรากฏว่ารายชื่อถูกต้องครบจำนวนให้จัดให้มีการพิจารณาร่างข้อบัญญัติท้องถิ่นนั้นต่อไป ทั้งนี้ เป็นไปในแนวทางเดียวกับร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย พ.ศ. .... สำหรับร่างข้อบัญญัติท้องถิ่นที่จะเสนอให้สภาท้องถิ่นพิจารณานั้น เนื่องจากรัฐธรรมนูญมิได้กำหนดเป็นข้อจำกัดไว้ว่าจะเสนอได้ในเรื่องใดบ้าง ซึ่งแตกต่างจากการเข้าชื่อเสนอกฎหมายตามมาตรา 170 ของรัฐธรรมนูญ ฉะนั้น การเสนอร่างข้อบัญญัติท้องถิ่น จึงอาจเสนอได้ทุกเรื่องภายในกรอบอำนาจหน้าที่ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นนั้น
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ชุดนายชวน หลีกภัย)--วันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2542--