ทำเนียบรัฐบาล--19 ส.ค.--บิสนิวส์
คณะรัฐมนตรีรับทราบการรายงานผลการเจรจาขอรับความช่วยเหลือทางวิชาการและการเงินจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ และการลงนามในหนังสือแจ้งความจำนงขอรับความช่วยเหลือดังกล่าว และอนุมัติตามข้อเสนอของกระทรวงการคลัง ดังนี้
1. อนุมัติในหลักการให้กระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทยกู้เงินจากสถาบันการเงินระหว่างประเทศ รัฐบาลต่างประเทศ และสถาบันการเงินในตลาดเงินทุนต่างประเทศ ในวงเงินไม่เกิน 20,000 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยกำหนดเงื่อนไขการกู้เงินให้เป็นไปตามเงื่อนไขมาตรฐานสำหรับการกู้เงินจากแหล่งทางการดังกล่าว หรือตามเงื่อนไขที่จะได้เจรจาตกลงภายใต้กรอบเงื่อนไขมาตรฐานการกู้เงินจากตลาดเงินทุนต่างประเทศ
2. กำชับให้ส่วนราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกหน่วย ดำเนินการและให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ในการปฏิบัติตามแผนปฏิบัติการ ให้สัมฤทธิผลตามเงื่อนเวลาและเป้าหมายที่ได้ตกลงกับกองทุนการเงินระหว่างประเทศ
3. ให้ความเห็นชอบในการแต่งตั้งคณะกรรมการกำกับแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจตามเงื่อนไขของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (กผฟ.)
ทั้งนี้ กระทรวงการคลังได้รายงานความคืบหน้าในการดำเนินการตามที่ได้รับมอบหมาย ดังนี้
1. คณะผู้แทนไทยได้เจรจากำหนดกรอบและรายละเอียดเงื่อนไขการขอรับความช่วยเหลือทางวิชาการและการเงินจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศเรียบร้อยแล้ว ในการนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและผู้ว้าการธนาคารแห่งประเทศไทยได้ลงนามในหนังสือแจ้งความจำนงขอรับความช่วยเหลือทางวิชาการและการเงินจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ เมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2540 ดังปรากฏตามสิ่งที่ส่งมาด้วย ซึ่งมีสาระสำคัญอยู่ภายใต้กรอบของแผนการขอรับความช่วยเหลือจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติทุกประการ ทั้งนี้ กองทุนการเงินระหว่างประเทศได้กำหนดจะนำเรื่องนี้เสนอเข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมการบริหารกองทุนฯ ในวันที่ 20 สิงหาคม 2540
2. เพื่อให้การปฏิบัติตามแผนการขอรับความช่วยเหลือจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศสัมฤทธิผลตามเป้าหมายและเงื่อนเวลาที่กำหนด ทั้งทางด้านอัตราแลกเปลี่ยนการปฏิรูประบบการเงิน และการดำเนินนโยบายการคลังที่มุ่งเน้นการแก้ปัญหาการขาดดุลบัญชีเดินสะพัด กระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทย ในนามราชอาณาจักรไทยได้ยืนยันการขอรับความช่วยเหลือทางการเงินในรูป Stand-by เป็นระยะ 34 เดือน และในวงเงินเทียบเท่า 2,900 ล้าน SDR หรือประมาณ 4,000 ล้านเหรียญสหรัฐ จากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ สำหรับในด้านการเตรียมการจัดหาเงินกู้เพื่อการนี้ ผลจากการประชุมร่วมกับกองทุนการเงินระหว่างประเทศ ประเทศสมาชิก ASEAN และ APEC รวม 13 ประเทศ ธนาคารโลกและธนาคารพัฒนาเอเซีย ซึ่งรัฐบาลญี่ปุ่นได้เป็นเจ้าภาพจัดขึ้น ณ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2540 กองทุนการเงินระหว่างประเทศ รัฐบาลต่างประเทศ พร้อมด้วยธนาคารโลก และธนาคารพัฒนาเอเซีย ได้ยืนยันในเบื้องต้นสนับสนุนการให้เงินกู้แก่ประเทศไทยดังนี้
ประเทศ หน่วย : ล้าน US$
1) ออสเตรเลีย 1,000
2) จีน 1,000
3) ฮ่องกง 1,000
4) อินโดนีเซีย 500
5) ญี่ปุ่น 4,000
6) เกาหลี 500
7) มาเลเซีย 1,000
8) สิงคโปร์ 1,000
9) กองทุนการเงินระหว่างประเทศ 4,000
10) ธนาคารโลก 1,500
11) ธนาคารพัฒนาเอเซีย 1,200
รวม 16,700
โดยในกรณีเงินกู้จากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ และมิตรประเทศ จะเป็นเงินกู้ในรูป Stand-by แก่ธนาคารแห่งประเทศไทย ส่วนในกรณีเงินกู้จากธนาคารโลกและธนาคารพัฒนาเอเซีย จะเป็นเงินกู้แก่กระทรวงการคลังตามแผนงานที่จะตกลงกัน ในการนี้ กระทรวงการคลังจะนำเงินตราต่างประเทศที่ได้รับไปขายฝากธนาคารแห่งประเทศไทย และนำเงินบาทมาใช้จ่ายตามแผนงานที่จะตกลงกัน
สำหรับประเทศผู้เข้าร่วมประชุมอื่น อาทิ สหรัฐอเมริกา แคนาดา อังกฤษ ฝรั่งเศส และเยอรมัน จะสนับสนุนการดำเนินการของประเทศไทยผ่านสถาบันการเงินระหว่างประเทศ และ Bank for International Settlement ซึ่งคาดว่าจะสนับสนุนให้เงินกู้ในลักษณะ Bridge Loan ในวงเงินประมาณ 2,000 ล้านเหรียญสหรัฐ นอกจากนี้ กลุ่มสถาบันการเงินในตลาดเงินทุนต่างประเทศได้แสดงเจตจำนงที่จะให้เงินกู้ในลักษณะ Private Placement และในรูป Stand-by ระยะเวลาประมาณ 3 ปี แก่ธนาคารแห่งประเทศไทยในวงเงิน 5,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งจะได้พิจารณาดำเนินการกู้เงินตามความจำเป็นในวงเงินไม่เกิน 20,000 ล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อรักษาระดับทุนสำรองเงินตราและสร้างความเชื่อถือในเครดิตของประเทศให้เป็นที่ยอมรับในตลาดเงินและตลาดทุนต่างประเทศ
อนึ่ง การกู้เงินในครั้งนี้ เป็นการกู้เงินในรูป Stand-by จึงมีภาระดอกเบี้ยเมื่อมีการเบิกจ่ายเงินกู้เท่านั้น
สำหรับแผนปฏิบัติการที่สำคัญ ซึ่งเป็นเรื่องเฉพาะหน้าที่จะต้องดำเนินการ ได้แก่
1. ให้กระทรวงการคลังร่วมกับธนาคารแห่งประเทศไทย เร่งรัดการดำเนินการตามแผนการปรับโครงสร้างภาคการเงิน ทั้งในระบบการกำกับ ควบคุม และตรวจสอบสถาบันการเงิน การสร้างสถาบันประกันเงินฝากและระบบตรวจสอบ (Check and Balance) ในการบริหารด้านอัตราแลกเปลี่ยน นโยบายการเงิน และการแทรกแซงเพื่อรักษาค่าเงินบาทให้รัดกุมเพื่อมิให้เกิดปัญหาดังที่ปรากฏอยู่ในปัจจุบัน การดำเนินการในเรื่องนี้ให้ถือเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งยวด และจะต้องดำเนินการให้สัมฤทธิผลโดยเร็วที่สุด
2. ให้กระทรวงการคลังโดยกรมบัญชีกลางร่วมกับสำนักงบประมาณดำเนินการควบคุมการเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีและงบผูกพันให้อยู่ในวงเงินตามเป้าหมายและเงื่อนเวลาที่ได้ผูกพันกับกองทุนการเงินระหว่างประเทศ ทั้งนี้ ให้ทุกส่วนราชการปฏิบัติตามคำสั่งของสำนักงบประมาณและกรมบัญชีกลางอย่างเคร่งครัด และหากไม่ปฏิบัติตามจะต้องมีมาตรการทางวินัยแก่หัวหน้าส่วนราชการนั้น ๆ
3. ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติปรับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 8 (พ.ศ.2540 - 2544) ให้สอดคล้องกับเป้าหมายทางด้านมหภาคที่ได้ตกลงกับกองทุนการเงินระหว่างประเทศ และร่วมกับ (1) กระทรวงการคลัง ทบทวนแผนการลงทุนของรัฐวิสาหกิจ โดยเลื่อนหรือยกเลิกโครงการที่มีลำกับความสำคัญต่ำ ให้สอดคล้องกับแผนการจำกัดการลงทุน และ (2) คณะกรรมการกำกับนโยบายการเพิ่มบทบาทภาคเอกชนในรัฐวิสาหกิจ เร่งรัดโครงการที่อาจจะนำมาให้ภาคเอกชนลงทุนแทนภาครัฐ
4. ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงอุตสาหกรรม และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนจัดทำแผนปฏิบัติการและกำหนดแนวทางการบูรณะและพัฒนาอุตสาหกรรมเพื่อการส่งออก โดยจัดทำเป็นโครงการและแผนงานที่จะต้องจัดทำร่วมกับธนาคารโลก และธนาคารพัฒนาเอเซีย ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นกระทรวงการคลังจะได้พิจารณาเสนอจัดตั้งธนาคารหรือกองทุนเพื่อการบูรณะและพัฒนาอุตสาหกรรม และธุรกิจการส่งออกสินค้าและบริการ เพื่อให้รัฐสามารถเกื้อกูลการลงทุนของภาคเอกชน และการค้ำประกัน รวมทั้งการร่วมทุนเพื่อสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันกับต่างประเทศภายใต้กรอบของ WTO ต่อไป
5. ให้สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือนร่วมกับกระทรวงการคลัง และสำนักงบประมาณ พิจารณาปรับปรุงระบบข้าราชการพลเรือน โดยเฉพาะการจัดทำแผนงานเพิ่มประสิทธิภาพและการลดอัตรากำลังคน ซึ่งรวมทั้งการจัดให้มีระบบการจูงใจและป้องกันการแทรกแซงจากการเมือง
6. ให้กระทรวงการคลัง สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงบประมาณ เร่งรัดการจัดทำแผนการปรับปรุงประสิทธิภาพการรายงาน กำกับ และการเปิดเผยข้อมูลทางเศรษฐกิจที่จะนำมาใช้ประกอบการพิจารณาแก้ไขปัญหาทั้งระดับมหภาคและจุลภาค การสร้างองค์กรและระบบในการรายงานข้อมูลทางเศรษฐกิจที่รวดเร็วและทันการณ์ โดยขอรับความช่วยเหลือและใช้เงินกู้จากธนาคารโลกและธนาคารพัฒนาเอเซีย
7. ให้ธนาคารแห่งประเทศไทยจัดทำแผนปฏิบัติการให้บรรลุเป้าหมายทางด้านการเงินและด้านดุลต่างประเทศ และดำเนินการจัดทำแผนปฏิบัติการด้าน Program Assumption and Conversion Rate ตามเงื่อนไขและระยะเวลาที่ได้ตกลงกับกองทุนการเงินระหว่างประเทศ
สำหรับคณะกรรมการกำกับแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจตามเงื่อนไขของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (กผฟ.) ซึ่งมีจุดประสงค์ในการติดตามการดำเนินการตามแผนปฏิบัติการเพื่อรักษาเสถียรภาพ และปฏิรูปทางเศรษฐกิจ ระบบสถาบันการเงิน และมาตรการที่เกี่ยวข้องในระดับมหภาค ให้สัมฤทธิผลตามข้อตกลงกับกองทุนการเงินระหว่างประเทศ และเพื่อกำกับ ติดตาม และประเมินผลการดำเนินการตามแผนปฏิรูปและแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ การเงินการคลัง และการส่งออก ภายใต้ข้อตกลงกับกองทุนการเงินระหว่างประเทศ มีองค์ประกอบดังนี้
องค์ประกอบและหน้าที่ความรับผิดชอบ คือ
องค์ประกอบคณะกรรมการ
1) รองนายกรัฐมนตรี ที่ ฯพณฯ นายกรัฐมนตรีมอบหมาย ประธานคณะกรรมการ
2) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง รองประธานฯ คนที่ 1
3) รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง รองประธานฯ คนที่ 2
(นายจาตุรนต์ ฉายแสง)
4) ปลัดกระทรวงการคลัง กรรมการ
5) ปลัดกระทรวงพาณิชย์ กรรมการ
6) ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม กรรมการ
7) ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย กรรมการ
8) เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจ และสังคมแห่งชาติ กรรมการ
9) ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ กรรมการ
10) อธิบดีกรมบัญชีกลาง กรรมการ
11) อธิบดีกรมสรรพสามิต กรรมการ
12) ที่ปรึกษาการคลัง กรรมการ
13) ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กรรมการและเลขานุการ
หน้าที่ความรับผิดชอบ
1) จัดทำและอนุมัติแผนปฏิบัติการเพื่อปฏิรูปและแก้ปัญหาเศรษฐกิจ การเงินการคลังและการส่งออก ให้สอดคล้องกับเป้าหมายและเงื่อนเวลาที่ได้ตกลงกับกองทุนการเงินระหว่างประเทศ และรายงานคณะกรรมการกลั่นกรองฝ่ายเศรษฐกิจเพื่อทราบและสั่งการส่วนราชการที่เกี่ยวข้องให้ถือปฏิบัติต่อไป
2) กำกับ ติดตาม และประเมินผลการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการตามนัยที่กล่าวในข้อ 1) และรายงานให้คณะรัฐมนตรีทราบเป็นระยะ ๆ
3) ในกรณีที่มีงานเกี่ยวข้องกับกระทรวง ทบวง กรมใด ให้มีอำนาจเชิญผู้แทนจากส่วนราชการดังกล่าวเข้าร่วมประชุมเป็นกรณี ๆ ไป
4) ให้มีอำนาจแต่งตั้งคณะอนุกรรมการ และคณะทำงานเพื่อปฏิบัติงานตามที่คณะกรรมการฯ มอบหมาย และ
5) ดำเนินการอื่นใดที่จำเป็นเพื่อให้บรรลุเป้าหมายตามข้อตกลงกับกองทุนการเงินระหว่างประเทศ
สรุปสาระสำคัญของหนังสือแจ้งความจำนงขอรับความช่วยเหลือทางวิชาการและการเงินจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ
เมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2540 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ได้ร่วมลงนามในหนังสือแสดงเจตจำนงขอความช่วยเหลือทางการเงินจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ และรับพันธกรณีที่จะปฎิบัติตามแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจที่ได้ร่วมกันพิจารณากับกองทุนการเงินฯ โดยมีรายละเอียด ดังนี้
1. การกู้เงิน
กองทุนการเงินฯ กำหนดวงเงินให้กู้แก่ประเทศไทยรวม 2.9 พันล้าน SDR ซึ่งเป็นหน่วยบัญชีของกองทุนการเงินฯ หรือเทียบเท่าประมาณ 4 พันล้านดอลลาร์ สรอ.นับเป็นสัดส่วนสูงถึงกว่า 5 เท่าของโควตาของประเทศไทยในกองทุนการเงินฯ โดยเป็นโครงการเงินกู้แบบ Stand-by arrangement เพื่อชดเชยการขาดดุลการชำระเงิน และเสริมฐานะทุนสำรองระหว่างประเทศในการดำเนินการเบิกจ่ายเงินกู้ครั้งนี้ ประเทศไทยมีพันธะจะต้องปฎิบัติตามแนวทางและเงื่อนไขต่าง ๆ เพื่อรักษาเป้าหมายทางเศรษฐกิจระยะปานกลาง
2. เป้าหมายเศรษฐกิจ
(1) รักษาอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจให้อยู่ในระดับร้อยละ 3-4 ในปี 2540-2541 และคาดว่าเศรษฐกิจจะสามารถปรับสู่ระดับปกติ โดยจะขยายตัวที่ระดับร้อยละ 6-7 ในระยะต่อไป
(2) ดูแลให้อัตราเงินเฟ้อโดยเฉลี่ยไม่เกินร้อยละ 7-8 ในระยะแรก และจะกลับสู่ระดับร้อยละ 4-5 ในระยะต่อไป
(3) ลดการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดในปีนี้ลง ให้อยู่ในระดับร้อยละ 5 ของผลิตภัณฑ์ในประเทศและเป็นร้อยละ 3 ของผลิตภัณฑ์ในประเทศ ซึ่งถือเป็นระดับที่มีเสถียรภาพต่อไป
(4) รักษาฐานะทุนสำรองระหว่างประเทศ ในปี 2540 ให้อยู่ที่ระดับ 23 พันล้านดอลลาร์ สรอ.และเพิ่มขึ้นเป็น 25 พันล้านดอลลาร์ สรอ.ในปี 2541 (หรือเทียบเท่ามูลค่านำเข้าประมาณ 4 เดือน)
3. พันธกรณีด้านการดำเนินนโยบาย
3.1 การแก้ไขปัญหาสถาบันการเงิน
มาตรการที่ดำเนินการแล้ว
เพื่อฟื้นฟูระบบการเงินและเสริมสร้างความเชื่อมั่นของประชาชน ทางการได้ทำการแยกบริษัทเงินทุนที่ขาดสภาพคล่องในการชำระหนี้ออกจากบริษัทที่มั่นคง เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม ศกนี้ และเพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งและมั่นใจให้กับสถาบันการเงินที่เหลืออยู่ทางการได้ประกาศรับประกันผู้ฝากเงินและเจ้าหนี้ของสถาบันการเงิน ทั้งที่เป็นเจ้าหนี้ในประเทศและต่างประเทศ ทั้งนี้ เป็นการดำเนินการเพียงชั่วคราวจนกว่าจะมีการจัดตั้งสถาบันประกันเงินฝากขึ้น
มาตรการที่จะต้องประกาศก่อนการประชุมคณะกรรมการบริหารของกองทุนการเงินฯ
(1) ทางการจะไม่โอบอุ้มลูกหนี้ภาคเอกชนของสถาบันการเงิน
(2)เพื่อประโยชน์ในการดูแลการประกันเงินฝากของสถาบันการเงินที่ยังดำเนินการอยู่ ทางการจะเพิ่มอัตราเงินนำส่งเข้ากองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินของสถาบันการเงินที่ยังดำเนินการอยู่ ในงวดครึ่งหลังของปี 2540 เป็นร้อยละ 0.15 ของยอดเงินฝากและเงินที่รับจากประชาชน และปีถัดไปจะเป็นร้อยละ 0.2 ต่อครึ่งปี
มาตรการที่ต้องดำเนินการต่อไป
(1) เพื่อเป็นการป้องกันปัญหาสถาบันการเงินที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตทางการจะดูแลให้สถาบันการเงินทำการกันสำรองอย่างเพียงพอ และเพิ่มทุนเพิ่มเติมในกรณีที่จำเป็น รวมทั้งติดตามการบริหารของสถาบันการเงินอย่างใกล้ชิด
(2) เพื่อให้ระบบการให้ความช่วยเหลือและคุ้มครองผู้ฝากเงินมีประสิทธิภาพและไม่เป็นภาระแก่ทางการ ทางการจะดำเนินการให้มีการจัดตั้งสถาบันประกันเงินฝากที่กำหนดขอบเขตการรับประกันอย่างชัดเจนและสามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องพึ่งพาเงินอุดหนุนจากทางการ
(3) เพื่อเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันที่ทวีความเข้มข้นขึ้น ทางการจะต้องปรับปรุงกรอบการกำกับดูแลความมั่นคง และการทำกำไรของสถาบันการเงินตามกลไกของตลาด เพื่อความแข็งแกร่งของสถาบันการเงิน
3.2 นโยบายด้านการคลัง
มาตรการที่ดำเนินการแล้ว
เพื่อให้เศรษฐกิจปรับตัวสู่เสถียรภาพโดยเร็ว รัฐบาลจะต้องลดการขาดดุลงบประมาณ จากร้อยละ 1.6 ของผลิตภัณฑ์ในประเทศ ในปี 2540 เป็นการเกินดุลงบประมาณร้อยละ 1 ของผลิตภัณฑ์ในประเทศ ในปีงบประมาณ 2541
(1) ทางด้านรายรับ รัฐบาลได้ประกาศเพิ่มภาษีมูลค่าจากร้อยละ 7 เป็นร้อยละ 10 ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 16 สิงหาคม 2540 เป็นต้นไป
(2) ทางด้านรายจ่าย รัฐบาลจะตัดงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2541 ลงเหลือ 923 พันล้านบาท ทั้งนี้ยังคงต้องให้ความสำคัญกับงบประมาณด้านการศึกษา สาธารณสุขและการลงทุนในโครงการพื้นฐาน
มาตรการต้องดำเนินการต่อไป
ระยะสั้น
(1) ทางการจะต้องดำเนินการให้ฐานะรวมของรัฐวิสาหกิจสมดุล โดยปรับราคาค่าบริการให้สอดคล้องกับต้นทุน ซึ่งรวมถึงต้นทุนในการเปลี่ยนเครื่องจักรใหม่และงบลงทุน
(2) ทางด้านนโยบายค่าจ้างแรงงาน จะเข้มงวดในการปรับเงินเดือนภาครัฐโดยให้มีการปรับเพิ่มได้ไม่เกินอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน และต้องดูแลให้การปรับเงินเดือนและค่าจ้างแรงงานในภาคเอกชนเป็นไปในทิศทางที่สอดคล้องกัน
ระยะปานกลาง
(1) ส่งเสริมให้เอกชนมีส่วนร่วมโครงการลงทุนแทนภาครัฐโดยเฉพาะด้านการขนส่งและการพลังงานภายใต้ build-operate-transfer arrangements แปรรูปรัฐวิสาหกิจโดยเฉพาะด้านพลังงาน การขนส่ง สาธารณูปโภค สาธารณูปการ และการสื่อสาร เป็นต้น นอกจากนี้ ทางการควรพิจารณาแนวทางการแปรรูปและการกระจายหุ้นในรูปอื่น ๆ เช่น การขายหุ้นโดยตรงแก่ประชาชนและการร่วมทุน
(2) ปรับปรุงฐานะการเงินของรัฐวิสาหกิจให้สอดคล้องกับเป้าหมายการเกินดุลภาครัฐบาลประมาณร้อยละ 1 ของผลิตภัณฑ์ในประเทศในปี 2541 และรักษาระดับการเกินดุลให้คงอยู่ในระยะปานกลาง โดยควบคุมการใช้จ่ายเงินทุนและจัดอันดับความสำคัญของโครงการ โดยเน้นการลงทุนในโครงการพื้นฐานที่สำคัญและโครงการอื่น ๆ ที่ได้รับความช่วยเหลือจากธนาคารโลก และธนาคารพัฒนาเอเซีย การรักษางบประมาณสมดุลของภาครัฐวิสาหกิจจะดำเนินการตัดโครงการลงทุนที่มีความสำคัญน้อย และสนับสนุนให้ภาคเอกชน มีส่วนร่วมในโครงการลงทุนของรัฐวิสาหกิจบางประเภท (ซึ่งรวมถึงโครงการทางด่วนและโครงการผลิตไฟฟ้า) รวมทั้งให้รัฐวิสาหกิจใช้รายได้ของตนเองในการลงทุน
(3) ทางการจะต้องดำเนินมาตรการเพื่อลดปัญหาความยากจนต่อเนื่องจากที่ได้ดำเนินการมาแล้วในอดีต โดยจะต้องพยายามให้ผู้มีรายได้น้อยได้รับผลกระทบทางลบน้อยที่สุด ทั้งนี้ จะต้องดูแลให้งบประมาณที่จัดสรรให้แก่การศึกษา และการสาธารณสุข และการลงทุนในโครงการพื้นฐานที่จำเป็นมีเพียงพอ
3.3 ด้านนโยบายการเงินและอัตราแลกเปลี่ยน
(1) ในด้านนโยบายการเงิน ทางการยังคงต้องดำเนินนโยบายในลักษณะที่เข้มงวดอีกระยะหนึ่ง เพื่อป้องกันการไหลออกของเงินทุน ทั้งนี้ ในระยะสั้นยังมีความจำเป็นที่จะต้องรักษาเสถียรภาพของตลาดเงินตราต่างประเทศ เมื่ออัตราแลกเปลี่ยนมีเสถียรภาพขึ้นความเชื่อมั่นในระบบการเงินกลับคืนมาและเงินทุนไหลเข้าตามปกติแล้ว อัตราดอกเบี้ยจึงจะลดลงได้ และทางการจะสามารถยกเลิกข้อจำกัดด้านตลาดเงินตราต่างประเทศได้ในที่สุด
(2) สำหรับนโยบายอัตราแลกเปลี่ยนทางการจะต้องรักษาระบบอัตราแลกเปลี่ยนลอยตัว โดยทางการแทรกแซงเท่าที่จำเป็น เพื่อให้อัตราแลกเปลี่ยนไม่ผันผวนจนเกินไป
4. การติดตามผลการเปิดเผยข้อมูล
ทางการมีพันธะหน้าที่จะต้องปรับปรุงการเผยแพร่ข้อมูลเศรษฐกิจของประเทศเพื่อให้เกิดความโปร่งใสและเอื้อต่อการประเมินภาวะเศรษฐกิจของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ นับแต่วันที่ 29 สิงหาคม 2540 เป็นต้นไป ทางการจะต้องทำการเผยแพร่ตัวเลขสำคัญทั้งด้านสินทรัพย์และหนี้สินของธนาคารแห่งประเทศไทย รวมถึงเงินสำรองระหว่างประเทศเป็นประจำทุกสองสัปดาห์ นอกจากนี้ กระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทยจะต้องประสานงานกับหน่วยราชการและสถาบันการเงินอื่น ๆ ในการเผยแพร่ข้อมูล และฐานะการเงินที่ครบถ้วนเป็นประจำ รวมถึงหนี้สินที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ของสถาบันการเงิน ฐานะความเพียงพอของเงินกองทุนและโครงสร้างการถือหุ้นของสถาบันการเงิน
เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความโปร่งใสของการเผยแพร่ข้อมูลให้สาธารณชนในอนาคต ทางการจะปฎิบัติตามมาตรฐานการเผยแพร่ข้อมูลเศรษฐกิจต่อสาธารณชนที่กองทุนการเงินฯ กำหนด คือ Special Data Dissemination Standard (SDDS) โดยได้ขอความช่วยเหลือทางเทคนิคและวิชาการจากกองทุนการเงินฯ ในการเร่งรัดให้สามารถปฎิบัติข้อกำหนดได้ทุกปราการ
5. มาตรการป้องกันผลกระทบ
รัฐบาลจะต้องพยายามบรรเทาผลกระทบต่อผู้มีรายได้น้อย โดยต้องดำเนินมาตรการเพิ่มเติม ดังนี้
(1) ดูแลมิให้มีการปรับราคาสินค้าแบบฉวยโอกาส
(2) ให้ค่าโดยสารรถประจำทางไม่ปรับอากาศและค่ารถไฟต่ำว่าต้นทุนที่เพิ่มขึ้นเป็นการชั่วคราว โดยให้รัฐบาลช่วยรับภาระ
(3) ดูแลผู้มีรายได้น้อยทั้งในชุมชนและชนบทให้ได้รับบริการทางสังคมและขยายขอบเขตระบบประกันสังคม
(4) ดูแลมิให้การตัดงบประมาณรายจ่ายกระทบงบประมาณการศึกษาและสาธารณสุข
(5) จัดโครงการฝึกอบรมแรงงานที่ต้องออกจากงานเนื่องจากการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ
(6) ขยายการศึกษาขั้นมัธยมศึกษาและวิชาชีพ
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ชุดพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ)--วันที่ 19 สิงหาคม 2540--
คณะรัฐมนตรีรับทราบการรายงานผลการเจรจาขอรับความช่วยเหลือทางวิชาการและการเงินจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ และการลงนามในหนังสือแจ้งความจำนงขอรับความช่วยเหลือดังกล่าว และอนุมัติตามข้อเสนอของกระทรวงการคลัง ดังนี้
1. อนุมัติในหลักการให้กระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทยกู้เงินจากสถาบันการเงินระหว่างประเทศ รัฐบาลต่างประเทศ และสถาบันการเงินในตลาดเงินทุนต่างประเทศ ในวงเงินไม่เกิน 20,000 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยกำหนดเงื่อนไขการกู้เงินให้เป็นไปตามเงื่อนไขมาตรฐานสำหรับการกู้เงินจากแหล่งทางการดังกล่าว หรือตามเงื่อนไขที่จะได้เจรจาตกลงภายใต้กรอบเงื่อนไขมาตรฐานการกู้เงินจากตลาดเงินทุนต่างประเทศ
2. กำชับให้ส่วนราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกหน่วย ดำเนินการและให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ในการปฏิบัติตามแผนปฏิบัติการ ให้สัมฤทธิผลตามเงื่อนเวลาและเป้าหมายที่ได้ตกลงกับกองทุนการเงินระหว่างประเทศ
3. ให้ความเห็นชอบในการแต่งตั้งคณะกรรมการกำกับแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจตามเงื่อนไขของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (กผฟ.)
ทั้งนี้ กระทรวงการคลังได้รายงานความคืบหน้าในการดำเนินการตามที่ได้รับมอบหมาย ดังนี้
1. คณะผู้แทนไทยได้เจรจากำหนดกรอบและรายละเอียดเงื่อนไขการขอรับความช่วยเหลือทางวิชาการและการเงินจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศเรียบร้อยแล้ว ในการนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและผู้ว้าการธนาคารแห่งประเทศไทยได้ลงนามในหนังสือแจ้งความจำนงขอรับความช่วยเหลือทางวิชาการและการเงินจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ เมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2540 ดังปรากฏตามสิ่งที่ส่งมาด้วย ซึ่งมีสาระสำคัญอยู่ภายใต้กรอบของแผนการขอรับความช่วยเหลือจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติทุกประการ ทั้งนี้ กองทุนการเงินระหว่างประเทศได้กำหนดจะนำเรื่องนี้เสนอเข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมการบริหารกองทุนฯ ในวันที่ 20 สิงหาคม 2540
2. เพื่อให้การปฏิบัติตามแผนการขอรับความช่วยเหลือจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศสัมฤทธิผลตามเป้าหมายและเงื่อนเวลาที่กำหนด ทั้งทางด้านอัตราแลกเปลี่ยนการปฏิรูประบบการเงิน และการดำเนินนโยบายการคลังที่มุ่งเน้นการแก้ปัญหาการขาดดุลบัญชีเดินสะพัด กระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทย ในนามราชอาณาจักรไทยได้ยืนยันการขอรับความช่วยเหลือทางการเงินในรูป Stand-by เป็นระยะ 34 เดือน และในวงเงินเทียบเท่า 2,900 ล้าน SDR หรือประมาณ 4,000 ล้านเหรียญสหรัฐ จากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ สำหรับในด้านการเตรียมการจัดหาเงินกู้เพื่อการนี้ ผลจากการประชุมร่วมกับกองทุนการเงินระหว่างประเทศ ประเทศสมาชิก ASEAN และ APEC รวม 13 ประเทศ ธนาคารโลกและธนาคารพัฒนาเอเซีย ซึ่งรัฐบาลญี่ปุ่นได้เป็นเจ้าภาพจัดขึ้น ณ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2540 กองทุนการเงินระหว่างประเทศ รัฐบาลต่างประเทศ พร้อมด้วยธนาคารโลก และธนาคารพัฒนาเอเซีย ได้ยืนยันในเบื้องต้นสนับสนุนการให้เงินกู้แก่ประเทศไทยดังนี้
ประเทศ หน่วย : ล้าน US$
1) ออสเตรเลีย 1,000
2) จีน 1,000
3) ฮ่องกง 1,000
4) อินโดนีเซีย 500
5) ญี่ปุ่น 4,000
6) เกาหลี 500
7) มาเลเซีย 1,000
8) สิงคโปร์ 1,000
9) กองทุนการเงินระหว่างประเทศ 4,000
10) ธนาคารโลก 1,500
11) ธนาคารพัฒนาเอเซีย 1,200
รวม 16,700
โดยในกรณีเงินกู้จากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ และมิตรประเทศ จะเป็นเงินกู้ในรูป Stand-by แก่ธนาคารแห่งประเทศไทย ส่วนในกรณีเงินกู้จากธนาคารโลกและธนาคารพัฒนาเอเซีย จะเป็นเงินกู้แก่กระทรวงการคลังตามแผนงานที่จะตกลงกัน ในการนี้ กระทรวงการคลังจะนำเงินตราต่างประเทศที่ได้รับไปขายฝากธนาคารแห่งประเทศไทย และนำเงินบาทมาใช้จ่ายตามแผนงานที่จะตกลงกัน
สำหรับประเทศผู้เข้าร่วมประชุมอื่น อาทิ สหรัฐอเมริกา แคนาดา อังกฤษ ฝรั่งเศส และเยอรมัน จะสนับสนุนการดำเนินการของประเทศไทยผ่านสถาบันการเงินระหว่างประเทศ และ Bank for International Settlement ซึ่งคาดว่าจะสนับสนุนให้เงินกู้ในลักษณะ Bridge Loan ในวงเงินประมาณ 2,000 ล้านเหรียญสหรัฐ นอกจากนี้ กลุ่มสถาบันการเงินในตลาดเงินทุนต่างประเทศได้แสดงเจตจำนงที่จะให้เงินกู้ในลักษณะ Private Placement และในรูป Stand-by ระยะเวลาประมาณ 3 ปี แก่ธนาคารแห่งประเทศไทยในวงเงิน 5,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งจะได้พิจารณาดำเนินการกู้เงินตามความจำเป็นในวงเงินไม่เกิน 20,000 ล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อรักษาระดับทุนสำรองเงินตราและสร้างความเชื่อถือในเครดิตของประเทศให้เป็นที่ยอมรับในตลาดเงินและตลาดทุนต่างประเทศ
อนึ่ง การกู้เงินในครั้งนี้ เป็นการกู้เงินในรูป Stand-by จึงมีภาระดอกเบี้ยเมื่อมีการเบิกจ่ายเงินกู้เท่านั้น
สำหรับแผนปฏิบัติการที่สำคัญ ซึ่งเป็นเรื่องเฉพาะหน้าที่จะต้องดำเนินการ ได้แก่
1. ให้กระทรวงการคลังร่วมกับธนาคารแห่งประเทศไทย เร่งรัดการดำเนินการตามแผนการปรับโครงสร้างภาคการเงิน ทั้งในระบบการกำกับ ควบคุม และตรวจสอบสถาบันการเงิน การสร้างสถาบันประกันเงินฝากและระบบตรวจสอบ (Check and Balance) ในการบริหารด้านอัตราแลกเปลี่ยน นโยบายการเงิน และการแทรกแซงเพื่อรักษาค่าเงินบาทให้รัดกุมเพื่อมิให้เกิดปัญหาดังที่ปรากฏอยู่ในปัจจุบัน การดำเนินการในเรื่องนี้ให้ถือเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งยวด และจะต้องดำเนินการให้สัมฤทธิผลโดยเร็วที่สุด
2. ให้กระทรวงการคลังโดยกรมบัญชีกลางร่วมกับสำนักงบประมาณดำเนินการควบคุมการเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีและงบผูกพันให้อยู่ในวงเงินตามเป้าหมายและเงื่อนเวลาที่ได้ผูกพันกับกองทุนการเงินระหว่างประเทศ ทั้งนี้ ให้ทุกส่วนราชการปฏิบัติตามคำสั่งของสำนักงบประมาณและกรมบัญชีกลางอย่างเคร่งครัด และหากไม่ปฏิบัติตามจะต้องมีมาตรการทางวินัยแก่หัวหน้าส่วนราชการนั้น ๆ
3. ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติปรับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 8 (พ.ศ.2540 - 2544) ให้สอดคล้องกับเป้าหมายทางด้านมหภาคที่ได้ตกลงกับกองทุนการเงินระหว่างประเทศ และร่วมกับ (1) กระทรวงการคลัง ทบทวนแผนการลงทุนของรัฐวิสาหกิจ โดยเลื่อนหรือยกเลิกโครงการที่มีลำกับความสำคัญต่ำ ให้สอดคล้องกับแผนการจำกัดการลงทุน และ (2) คณะกรรมการกำกับนโยบายการเพิ่มบทบาทภาคเอกชนในรัฐวิสาหกิจ เร่งรัดโครงการที่อาจจะนำมาให้ภาคเอกชนลงทุนแทนภาครัฐ
4. ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงอุตสาหกรรม และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนจัดทำแผนปฏิบัติการและกำหนดแนวทางการบูรณะและพัฒนาอุตสาหกรรมเพื่อการส่งออก โดยจัดทำเป็นโครงการและแผนงานที่จะต้องจัดทำร่วมกับธนาคารโลก และธนาคารพัฒนาเอเซีย ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นกระทรวงการคลังจะได้พิจารณาเสนอจัดตั้งธนาคารหรือกองทุนเพื่อการบูรณะและพัฒนาอุตสาหกรรม และธุรกิจการส่งออกสินค้าและบริการ เพื่อให้รัฐสามารถเกื้อกูลการลงทุนของภาคเอกชน และการค้ำประกัน รวมทั้งการร่วมทุนเพื่อสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันกับต่างประเทศภายใต้กรอบของ WTO ต่อไป
5. ให้สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือนร่วมกับกระทรวงการคลัง และสำนักงบประมาณ พิจารณาปรับปรุงระบบข้าราชการพลเรือน โดยเฉพาะการจัดทำแผนงานเพิ่มประสิทธิภาพและการลดอัตรากำลังคน ซึ่งรวมทั้งการจัดให้มีระบบการจูงใจและป้องกันการแทรกแซงจากการเมือง
6. ให้กระทรวงการคลัง สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงบประมาณ เร่งรัดการจัดทำแผนการปรับปรุงประสิทธิภาพการรายงาน กำกับ และการเปิดเผยข้อมูลทางเศรษฐกิจที่จะนำมาใช้ประกอบการพิจารณาแก้ไขปัญหาทั้งระดับมหภาคและจุลภาค การสร้างองค์กรและระบบในการรายงานข้อมูลทางเศรษฐกิจที่รวดเร็วและทันการณ์ โดยขอรับความช่วยเหลือและใช้เงินกู้จากธนาคารโลกและธนาคารพัฒนาเอเซีย
7. ให้ธนาคารแห่งประเทศไทยจัดทำแผนปฏิบัติการให้บรรลุเป้าหมายทางด้านการเงินและด้านดุลต่างประเทศ และดำเนินการจัดทำแผนปฏิบัติการด้าน Program Assumption and Conversion Rate ตามเงื่อนไขและระยะเวลาที่ได้ตกลงกับกองทุนการเงินระหว่างประเทศ
สำหรับคณะกรรมการกำกับแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจตามเงื่อนไขของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (กผฟ.) ซึ่งมีจุดประสงค์ในการติดตามการดำเนินการตามแผนปฏิบัติการเพื่อรักษาเสถียรภาพ และปฏิรูปทางเศรษฐกิจ ระบบสถาบันการเงิน และมาตรการที่เกี่ยวข้องในระดับมหภาค ให้สัมฤทธิผลตามข้อตกลงกับกองทุนการเงินระหว่างประเทศ และเพื่อกำกับ ติดตาม และประเมินผลการดำเนินการตามแผนปฏิรูปและแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ การเงินการคลัง และการส่งออก ภายใต้ข้อตกลงกับกองทุนการเงินระหว่างประเทศ มีองค์ประกอบดังนี้
องค์ประกอบและหน้าที่ความรับผิดชอบ คือ
องค์ประกอบคณะกรรมการ
1) รองนายกรัฐมนตรี ที่ ฯพณฯ นายกรัฐมนตรีมอบหมาย ประธานคณะกรรมการ
2) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง รองประธานฯ คนที่ 1
3) รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง รองประธานฯ คนที่ 2
(นายจาตุรนต์ ฉายแสง)
4) ปลัดกระทรวงการคลัง กรรมการ
5) ปลัดกระทรวงพาณิชย์ กรรมการ
6) ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม กรรมการ
7) ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย กรรมการ
8) เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจ และสังคมแห่งชาติ กรรมการ
9) ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ กรรมการ
10) อธิบดีกรมบัญชีกลาง กรรมการ
11) อธิบดีกรมสรรพสามิต กรรมการ
12) ที่ปรึกษาการคลัง กรรมการ
13) ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กรรมการและเลขานุการ
หน้าที่ความรับผิดชอบ
1) จัดทำและอนุมัติแผนปฏิบัติการเพื่อปฏิรูปและแก้ปัญหาเศรษฐกิจ การเงินการคลังและการส่งออก ให้สอดคล้องกับเป้าหมายและเงื่อนเวลาที่ได้ตกลงกับกองทุนการเงินระหว่างประเทศ และรายงานคณะกรรมการกลั่นกรองฝ่ายเศรษฐกิจเพื่อทราบและสั่งการส่วนราชการที่เกี่ยวข้องให้ถือปฏิบัติต่อไป
2) กำกับ ติดตาม และประเมินผลการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการตามนัยที่กล่าวในข้อ 1) และรายงานให้คณะรัฐมนตรีทราบเป็นระยะ ๆ
3) ในกรณีที่มีงานเกี่ยวข้องกับกระทรวง ทบวง กรมใด ให้มีอำนาจเชิญผู้แทนจากส่วนราชการดังกล่าวเข้าร่วมประชุมเป็นกรณี ๆ ไป
4) ให้มีอำนาจแต่งตั้งคณะอนุกรรมการ และคณะทำงานเพื่อปฏิบัติงานตามที่คณะกรรมการฯ มอบหมาย และ
5) ดำเนินการอื่นใดที่จำเป็นเพื่อให้บรรลุเป้าหมายตามข้อตกลงกับกองทุนการเงินระหว่างประเทศ
สรุปสาระสำคัญของหนังสือแจ้งความจำนงขอรับความช่วยเหลือทางวิชาการและการเงินจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ
เมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2540 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ได้ร่วมลงนามในหนังสือแสดงเจตจำนงขอความช่วยเหลือทางการเงินจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ และรับพันธกรณีที่จะปฎิบัติตามแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจที่ได้ร่วมกันพิจารณากับกองทุนการเงินฯ โดยมีรายละเอียด ดังนี้
1. การกู้เงิน
กองทุนการเงินฯ กำหนดวงเงินให้กู้แก่ประเทศไทยรวม 2.9 พันล้าน SDR ซึ่งเป็นหน่วยบัญชีของกองทุนการเงินฯ หรือเทียบเท่าประมาณ 4 พันล้านดอลลาร์ สรอ.นับเป็นสัดส่วนสูงถึงกว่า 5 เท่าของโควตาของประเทศไทยในกองทุนการเงินฯ โดยเป็นโครงการเงินกู้แบบ Stand-by arrangement เพื่อชดเชยการขาดดุลการชำระเงิน และเสริมฐานะทุนสำรองระหว่างประเทศในการดำเนินการเบิกจ่ายเงินกู้ครั้งนี้ ประเทศไทยมีพันธะจะต้องปฎิบัติตามแนวทางและเงื่อนไขต่าง ๆ เพื่อรักษาเป้าหมายทางเศรษฐกิจระยะปานกลาง
2. เป้าหมายเศรษฐกิจ
(1) รักษาอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจให้อยู่ในระดับร้อยละ 3-4 ในปี 2540-2541 และคาดว่าเศรษฐกิจจะสามารถปรับสู่ระดับปกติ โดยจะขยายตัวที่ระดับร้อยละ 6-7 ในระยะต่อไป
(2) ดูแลให้อัตราเงินเฟ้อโดยเฉลี่ยไม่เกินร้อยละ 7-8 ในระยะแรก และจะกลับสู่ระดับร้อยละ 4-5 ในระยะต่อไป
(3) ลดการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดในปีนี้ลง ให้อยู่ในระดับร้อยละ 5 ของผลิตภัณฑ์ในประเทศและเป็นร้อยละ 3 ของผลิตภัณฑ์ในประเทศ ซึ่งถือเป็นระดับที่มีเสถียรภาพต่อไป
(4) รักษาฐานะทุนสำรองระหว่างประเทศ ในปี 2540 ให้อยู่ที่ระดับ 23 พันล้านดอลลาร์ สรอ.และเพิ่มขึ้นเป็น 25 พันล้านดอลลาร์ สรอ.ในปี 2541 (หรือเทียบเท่ามูลค่านำเข้าประมาณ 4 เดือน)
3. พันธกรณีด้านการดำเนินนโยบาย
3.1 การแก้ไขปัญหาสถาบันการเงิน
มาตรการที่ดำเนินการแล้ว
เพื่อฟื้นฟูระบบการเงินและเสริมสร้างความเชื่อมั่นของประชาชน ทางการได้ทำการแยกบริษัทเงินทุนที่ขาดสภาพคล่องในการชำระหนี้ออกจากบริษัทที่มั่นคง เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม ศกนี้ และเพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งและมั่นใจให้กับสถาบันการเงินที่เหลืออยู่ทางการได้ประกาศรับประกันผู้ฝากเงินและเจ้าหนี้ของสถาบันการเงิน ทั้งที่เป็นเจ้าหนี้ในประเทศและต่างประเทศ ทั้งนี้ เป็นการดำเนินการเพียงชั่วคราวจนกว่าจะมีการจัดตั้งสถาบันประกันเงินฝากขึ้น
มาตรการที่จะต้องประกาศก่อนการประชุมคณะกรรมการบริหารของกองทุนการเงินฯ
(1) ทางการจะไม่โอบอุ้มลูกหนี้ภาคเอกชนของสถาบันการเงิน
(2)เพื่อประโยชน์ในการดูแลการประกันเงินฝากของสถาบันการเงินที่ยังดำเนินการอยู่ ทางการจะเพิ่มอัตราเงินนำส่งเข้ากองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินของสถาบันการเงินที่ยังดำเนินการอยู่ ในงวดครึ่งหลังของปี 2540 เป็นร้อยละ 0.15 ของยอดเงินฝากและเงินที่รับจากประชาชน และปีถัดไปจะเป็นร้อยละ 0.2 ต่อครึ่งปี
มาตรการที่ต้องดำเนินการต่อไป
(1) เพื่อเป็นการป้องกันปัญหาสถาบันการเงินที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตทางการจะดูแลให้สถาบันการเงินทำการกันสำรองอย่างเพียงพอ และเพิ่มทุนเพิ่มเติมในกรณีที่จำเป็น รวมทั้งติดตามการบริหารของสถาบันการเงินอย่างใกล้ชิด
(2) เพื่อให้ระบบการให้ความช่วยเหลือและคุ้มครองผู้ฝากเงินมีประสิทธิภาพและไม่เป็นภาระแก่ทางการ ทางการจะดำเนินการให้มีการจัดตั้งสถาบันประกันเงินฝากที่กำหนดขอบเขตการรับประกันอย่างชัดเจนและสามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องพึ่งพาเงินอุดหนุนจากทางการ
(3) เพื่อเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันที่ทวีความเข้มข้นขึ้น ทางการจะต้องปรับปรุงกรอบการกำกับดูแลความมั่นคง และการทำกำไรของสถาบันการเงินตามกลไกของตลาด เพื่อความแข็งแกร่งของสถาบันการเงิน
3.2 นโยบายด้านการคลัง
มาตรการที่ดำเนินการแล้ว
เพื่อให้เศรษฐกิจปรับตัวสู่เสถียรภาพโดยเร็ว รัฐบาลจะต้องลดการขาดดุลงบประมาณ จากร้อยละ 1.6 ของผลิตภัณฑ์ในประเทศ ในปี 2540 เป็นการเกินดุลงบประมาณร้อยละ 1 ของผลิตภัณฑ์ในประเทศ ในปีงบประมาณ 2541
(1) ทางด้านรายรับ รัฐบาลได้ประกาศเพิ่มภาษีมูลค่าจากร้อยละ 7 เป็นร้อยละ 10 ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 16 สิงหาคม 2540 เป็นต้นไป
(2) ทางด้านรายจ่าย รัฐบาลจะตัดงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2541 ลงเหลือ 923 พันล้านบาท ทั้งนี้ยังคงต้องให้ความสำคัญกับงบประมาณด้านการศึกษา สาธารณสุขและการลงทุนในโครงการพื้นฐาน
มาตรการต้องดำเนินการต่อไป
ระยะสั้น
(1) ทางการจะต้องดำเนินการให้ฐานะรวมของรัฐวิสาหกิจสมดุล โดยปรับราคาค่าบริการให้สอดคล้องกับต้นทุน ซึ่งรวมถึงต้นทุนในการเปลี่ยนเครื่องจักรใหม่และงบลงทุน
(2) ทางด้านนโยบายค่าจ้างแรงงาน จะเข้มงวดในการปรับเงินเดือนภาครัฐโดยให้มีการปรับเพิ่มได้ไม่เกินอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน และต้องดูแลให้การปรับเงินเดือนและค่าจ้างแรงงานในภาคเอกชนเป็นไปในทิศทางที่สอดคล้องกัน
ระยะปานกลาง
(1) ส่งเสริมให้เอกชนมีส่วนร่วมโครงการลงทุนแทนภาครัฐโดยเฉพาะด้านการขนส่งและการพลังงานภายใต้ build-operate-transfer arrangements แปรรูปรัฐวิสาหกิจโดยเฉพาะด้านพลังงาน การขนส่ง สาธารณูปโภค สาธารณูปการ และการสื่อสาร เป็นต้น นอกจากนี้ ทางการควรพิจารณาแนวทางการแปรรูปและการกระจายหุ้นในรูปอื่น ๆ เช่น การขายหุ้นโดยตรงแก่ประชาชนและการร่วมทุน
(2) ปรับปรุงฐานะการเงินของรัฐวิสาหกิจให้สอดคล้องกับเป้าหมายการเกินดุลภาครัฐบาลประมาณร้อยละ 1 ของผลิตภัณฑ์ในประเทศในปี 2541 และรักษาระดับการเกินดุลให้คงอยู่ในระยะปานกลาง โดยควบคุมการใช้จ่ายเงินทุนและจัดอันดับความสำคัญของโครงการ โดยเน้นการลงทุนในโครงการพื้นฐานที่สำคัญและโครงการอื่น ๆ ที่ได้รับความช่วยเหลือจากธนาคารโลก และธนาคารพัฒนาเอเซีย การรักษางบประมาณสมดุลของภาครัฐวิสาหกิจจะดำเนินการตัดโครงการลงทุนที่มีความสำคัญน้อย และสนับสนุนให้ภาคเอกชน มีส่วนร่วมในโครงการลงทุนของรัฐวิสาหกิจบางประเภท (ซึ่งรวมถึงโครงการทางด่วนและโครงการผลิตไฟฟ้า) รวมทั้งให้รัฐวิสาหกิจใช้รายได้ของตนเองในการลงทุน
(3) ทางการจะต้องดำเนินมาตรการเพื่อลดปัญหาความยากจนต่อเนื่องจากที่ได้ดำเนินการมาแล้วในอดีต โดยจะต้องพยายามให้ผู้มีรายได้น้อยได้รับผลกระทบทางลบน้อยที่สุด ทั้งนี้ จะต้องดูแลให้งบประมาณที่จัดสรรให้แก่การศึกษา และการสาธารณสุข และการลงทุนในโครงการพื้นฐานที่จำเป็นมีเพียงพอ
3.3 ด้านนโยบายการเงินและอัตราแลกเปลี่ยน
(1) ในด้านนโยบายการเงิน ทางการยังคงต้องดำเนินนโยบายในลักษณะที่เข้มงวดอีกระยะหนึ่ง เพื่อป้องกันการไหลออกของเงินทุน ทั้งนี้ ในระยะสั้นยังมีความจำเป็นที่จะต้องรักษาเสถียรภาพของตลาดเงินตราต่างประเทศ เมื่ออัตราแลกเปลี่ยนมีเสถียรภาพขึ้นความเชื่อมั่นในระบบการเงินกลับคืนมาและเงินทุนไหลเข้าตามปกติแล้ว อัตราดอกเบี้ยจึงจะลดลงได้ และทางการจะสามารถยกเลิกข้อจำกัดด้านตลาดเงินตราต่างประเทศได้ในที่สุด
(2) สำหรับนโยบายอัตราแลกเปลี่ยนทางการจะต้องรักษาระบบอัตราแลกเปลี่ยนลอยตัว โดยทางการแทรกแซงเท่าที่จำเป็น เพื่อให้อัตราแลกเปลี่ยนไม่ผันผวนจนเกินไป
4. การติดตามผลการเปิดเผยข้อมูล
ทางการมีพันธะหน้าที่จะต้องปรับปรุงการเผยแพร่ข้อมูลเศรษฐกิจของประเทศเพื่อให้เกิดความโปร่งใสและเอื้อต่อการประเมินภาวะเศรษฐกิจของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ นับแต่วันที่ 29 สิงหาคม 2540 เป็นต้นไป ทางการจะต้องทำการเผยแพร่ตัวเลขสำคัญทั้งด้านสินทรัพย์และหนี้สินของธนาคารแห่งประเทศไทย รวมถึงเงินสำรองระหว่างประเทศเป็นประจำทุกสองสัปดาห์ นอกจากนี้ กระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทยจะต้องประสานงานกับหน่วยราชการและสถาบันการเงินอื่น ๆ ในการเผยแพร่ข้อมูล และฐานะการเงินที่ครบถ้วนเป็นประจำ รวมถึงหนี้สินที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ของสถาบันการเงิน ฐานะความเพียงพอของเงินกองทุนและโครงสร้างการถือหุ้นของสถาบันการเงิน
เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความโปร่งใสของการเผยแพร่ข้อมูลให้สาธารณชนในอนาคต ทางการจะปฎิบัติตามมาตรฐานการเผยแพร่ข้อมูลเศรษฐกิจต่อสาธารณชนที่กองทุนการเงินฯ กำหนด คือ Special Data Dissemination Standard (SDDS) โดยได้ขอความช่วยเหลือทางเทคนิคและวิชาการจากกองทุนการเงินฯ ในการเร่งรัดให้สามารถปฎิบัติข้อกำหนดได้ทุกปราการ
5. มาตรการป้องกันผลกระทบ
รัฐบาลจะต้องพยายามบรรเทาผลกระทบต่อผู้มีรายได้น้อย โดยต้องดำเนินมาตรการเพิ่มเติม ดังนี้
(1) ดูแลมิให้มีการปรับราคาสินค้าแบบฉวยโอกาส
(2) ให้ค่าโดยสารรถประจำทางไม่ปรับอากาศและค่ารถไฟต่ำว่าต้นทุนที่เพิ่มขึ้นเป็นการชั่วคราว โดยให้รัฐบาลช่วยรับภาระ
(3) ดูแลผู้มีรายได้น้อยทั้งในชุมชนและชนบทให้ได้รับบริการทางสังคมและขยายขอบเขตระบบประกันสังคม
(4) ดูแลมิให้การตัดงบประมาณรายจ่ายกระทบงบประมาณการศึกษาและสาธารณสุข
(5) จัดโครงการฝึกอบรมแรงงานที่ต้องออกจากงานเนื่องจากการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ
(6) ขยายการศึกษาขั้นมัธยมศึกษาและวิชาชีพ
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ชุดพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ)--วันที่ 19 สิงหาคม 2540--