ทำเนียบรัฐบาล--1 ธ.ค.--บิสนิวส์
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการและเงื่อนไขการขอรับความช่วยเหลือจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ ตามหนังสือแจ้งความจำนงฯ ฉบับที่ 6 ตามที่กระทรวงการคลัง และธนาคารแห่งประเทศไทยได้ร่วมกันจัดทำ โดยได้ร่วมปรึกษาหารือกับเจ้าหน้าที่ของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ ซึ่งได้มีการปรับปรุงให้เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อการเจริญเติบโตแบบยั่งยืน ซึ่งมีสาระสำคัญต่าง ๆ 7 ประการ ได้แก่
1. เพิ่มความสำคัญให้แก่มาตรการโดยตรงเพื่อการฟื้นฟูภาคเศรษฐกิจจริง เพื่อช่วยเพิ่มสภาพคล่องให้กับภาคธุรกิจ และสนับสนุนภาคเศรษฐกิจที่สำคัญ โดยสอดคล้องกับแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจโดยรวม
2. ในส่วนของนโยบายเศรษฐกิจมหภาค รัฐบาลจะเน้นการดำเนินนโยบายการคลังมากขึ้นเพื่อกระตุ้นอุปสงค์ในระบบเศรษฐกิจโดยจะปรับเป้าหมายฐานะการคลังของภาครัฐในปีงบประมาณ 2542 ไว้ที่ขาดดุลร้อยละ 5 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศเพิ่มขึ้นจากเป้าหมายในการประเมินในครั้งก่อนอีกร้อยละ 2 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ มาตรการการคลังเพื่อรองรับการขาดดุลการคลังที่เพิ่มขึ้นนี้จะเน้นให้เกิดผลสูงสุดต่อการกระตุ้นอุปสงค์ และบรรเทาผลกระทบทางสังคม รัฐบาลมั่นใจว่าขนาดของการขาดดุลการคลังนี้จะมีการปรับปรุงไปในทิศทางที่ดีขึ้นโดยเร็วเมื่อเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว ซึ่งจะเป็นการรักษาความแข็งแกร่งด้านฐานะการคลังของรัฐบาลในระยะปานกลาง 3. ในขณะนี้ความเชื่อมั่นในระบบเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้นและค่าเงินบาทที่มีเสถียรภาพส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยในตลาดลดลงอย่างต่อเนื่องจนอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าช่วงก่อนเกิดวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจ ดังนั้น การดำเนินนโยบายการเงินในขณะนี้เป็นการดำเนินการเพื่อสนับสนุนการฟื้นฟูเศรษฐกิจอย่างเต็มที่ โดยอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ยืมของธนาคารพาณิชย์ได้ปรับตัวต่ำลง และสภาพคล่องดีขึ้นเป็นลำดับ ทั้งนี้เมื่อสถาบันการเงินได้ดำเนินการเพิ่มทุนเป็นที่เรียบร้อยแล้วปัญหาการขาดสภาพคล่องก็จะหมดสิ้นลง
4. การฟื้นฟูระบบสถาบันการเงินนับได้ว่ามีผลคืบหน้าเป็นอันมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งได้มีการปฏิบัติตามแผนฟื้นฟูระบบสถาบันการเงินที่ประกาศเมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2541 อย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม การปฏิบัติตามแผนอาจต้องช้ากว่ากำหนดเดิมไปบ้าง เนื่องจากความหลากหลายของขั้นตอนในการแก้ไขปัญหาสถาบันการเงินที่รัฐได้เข้าแทรกแซง ดังนั้น จึงได้มีการปรับเงื่อนเวลาของบางมาตรการเพื่อให้สะท้อนต่อความเป็นจริง อนึ่ง การเพิ่มทุนของสถาบันการเงินยังคงเป็นวัตถุประสงค์หลักของแผนฟื้นฟูฯ ซึ่งรัฐบาลได้รับแจ้งว่าขณะนี้มีธนาคารพาณิชย์หลายแห่งได้แจ้งความจำนงขอรับความช่วยเหลือด้านเงินทุนจากรัฐบาลภายใต้มาตรการช่วยเหลือด้านการเพิ่มเงินกองทุนชั้นที่ 1 และชั้นที่ 2 ของรัฐบาลภายใต้แผนฟื้นฟูระบบสถาบันการเงินฯ
5. ในการดำเนินมาตรการเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ภาคเอกชนซึ่งได้มีการระบุในหนังสือแจ้งความจำนงฯ ฉบับที่ 5 แล้วนั้นรัฐบาลด้วยความช่วยเหลือจากธนาคารโลกได้มีการพิจารณาปรับเปลี่ยนกลยุทธ์บางประการ โดยการพัฒนาระบบกำกับดูแลที่มีประสิทธิภาพและทบทวนแนวทางในการจัดทำระบบที่เป็นธรรมในการให้สิทธิประโยชน์ บทลงโทษ และการระงับข้อพิพาทระหว่างกลุ่มเจ้าหนี้ในกระบวนการปรับโครงสร้างหนี้
6. รัฐบาลได้ออกมาตรการเพิ่มเติมเพื่อการบรรเทาผลกระทบทางสังคม เพื่อให้สอดคล้องต่อการกำหนดเป้าหมายการคลังใหม่ของปีงบประมาณ 2542 โดยแผนการใช้จ่ายงบประมาณในส่วนนี้จะถูกกำหนดเพื่อสนับสนุนกิจกรรมที่สำคัญในภูมิภาคและชนบท โดยไม่ก่อให้เกิดการบิดเบือนในตลาดแรงงาน
7. ท้ายที่สุด รัฐบาลมีความมั่นใจว่าการแก้ไขกฎหมายฟื้นฟูเศรษฐกิจที่มีความสำคัญต่อการปรับโครงสร้างภาคการเงินและธุรกิจเอกชนจะประสบผลสำเร็จในไม่ช้านี้ โดยเมื่อการดำเนินการแล้วเสร็จ ประเทศไทยจะเป็นประเทศที่มีสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยต่อการลงทุนจากทั้งภายในและภายนอกประเทศ
สาระสำคัญของบันทึกแนวทางดำเนินนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลไทยที่ระบุไว้ในหนังสือแจ้งความจำนงฯ ฉบับที่ 6สรุปได้ดังนี้
1. ภาพรวมเศรษฐกิจมหภาคและนโยบายในปี 2541 - 2542
คาดว่าเศรษฐกิจในปี 2542 จะฟื้นตัวดีขึ้นเล็กน้อย โดยมีสัญญาณเบื้องต้นบ่งบอกว่าการหดตัวของอุปสงค์เริ่มที่จะมีแนวโน้มคลี่คลายลง ภายใต้แผนฟื้นฟูเศรษฐกิจที่ปรับปรุงใหม่นี้คาดว่าการผลิตจะเริ่มขยายตัวอย่างต่อเนื่องในปี 2542 โดยเฉลี่ยทั้งปีในอัตราประมาณร้อยละ 1 ทั้งนี้ ในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปี 2542 การขยายตัวจะอยู่ในอัตราประมาณร้อยละ 3 - 4 เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปี2541 นอกจากนี้ ระดับทุนสำรองระหว่างประเทศจะสูงขึ้นในขณะที่อัตราเงินเฟ้อลดลง
1.1 นโยบายการคลัง
เนื่องจากเศรษฐกิจภายนอกประเทศชะลอตัวเพิ่มขึ้นและอุปสงค์ภายในประเทศยังคงหดตัวอย่างต่อเนื่อง รัฐบาลมีความจำเป็นที่จะต้องมีบทบาทมากขึ้นในการกระตุ้นอุปสงค์ภายในประเทศ โดยรัฐบาลจะปรับเพิ่มเป้าหมายการขาดดุลเงินสดของรัฐบาลกลางในปีงบประมาณ 2542 อีกร้อยละ 2 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ จากเดิมขาดดุลร้อยละ 1 เป็นขาดดุลร้อยละ 3 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ การขาดดุลที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 2 นี้ประกอบด้วย 3 ส่วน ได้แก่ ส่วนแรกร้อยละ 1 จะเป็นค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น เพื่อใช้ในโครงการบรรเทาผลกระทบทางสังคมและโครงการลงทุนที่เน้นการจ้างงาน โดยคาดว่าจะสนับสนุนค่าใช้จ่ายส่วนนี้ด้วยการใช้เงินกู้จากต่างประเทศ ส่วนที่สองร้อยละ 0.5 จะเป็นการเร่งการใช้จ่ายวงเงินงบประมาณในโครงการที่อนุมัติไว้แล้ว และสรรหาโครงการลงทุนด้านสังคมเพิ่มเติมที่สามารถดำเนินการได้เร็ว โดยคาดว่าจะใช้เงินกู้จากต่างประเทศเพื่อโครงการดังกล่าว ส่วนที่สามร้อยละ 0.5 เป็นส่วนที่เกิดจากการปรับลดลงของรายได้ของรัฐ นอกจากการขาดดุลของรัฐบาลกลางแล้ว รัฐวิสาหกิจจะยังดำรงเป้าหมายการขาดดุลไว้ที่รัอยละ 2 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ ในขณะที่ภาระดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นจากการแก้ไขปัญหาระบบสถาบันการเงินจะอยู่ที่ประมาณร้อยละ 3 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ ลดลงจากการประเมินครั้งก่อนเนื่องจากการลดลงของอัตราดอกเบี้ยภายในประเทศ
1.2 นโยบายการเงินและอัตราแลกเปลี่ยน
การดำเนินนโยบายการเงินที่ผ่านมาส่งผลให้อัตราแลกเปลี่ยนมีเสถียรภาพ ในขณะเดียวกันอัตราเงินเฟ้อ และอัตราดอกเบี้ยในตลาดได้มีการปรับลดลงอย่างมาก อย่างไรก็ตาม รัฐบาลจะยังคงใช้นโยบายอัตราดอกเบี้ยแบบยืดหยุ่นในการรักษาเสถียรภาพของอัตราแลกเปลี่ยนต่อไป นอกจากนี้ รัฐบาลได้ปรับเปลี่ยนเป้าหมายขั้นสูงของตัวเลขฐานเงิน และสินทรัพย์ในประเทศสุทธิของธนาคารแห่ง-ประเทศไทยให้เหมาะสมกับการคาดการณ์ของการขยายตัวของอุปสงค์และการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในระยะต่อไป
ในส่วนของปัญหาการขาดสภาพคล่องซึ่งเกิดจากการที่สถาบันการเงินไม่สามารถปล่อยสินเชื่อให้แก่ภาคธุรกิจได้เพียงพอต่อความต้องการนั้น รัฐบาลได้มีการปรับกลไกและเงื่อนไขเงินกู้จากธนาคารพัฒนาเอเชียเพื่อแก้ไขปัญหาอุปสรรคที่เกิดขึ้นในการปล่อยสินเชื่อเพื่อการส่งออก นอกจากนี้ รัฐบาลได้ร่วมมือกับธนาคารโลกจัดทำโครงการในการเพิ่มทุน และส่งเสริมความแข็งแกร่งให้กับการดำเนินงานของสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ ทั้งนี้ เพื่อเตรียมความพร้อมให้กับสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐในการขยายการดำเนินธุรกรรมโดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับที่อยู่อาศัยราคาต่ำและผู้กู้รายเล็ก
1.3 นโยบายด้านต่างประเทศ
จากการประเมินภาวะเศรษฐกิจคาดการว่า ดุลการชำระเงินในปี 2541 จะดีกว่าที่ประเมินไว้ นอกจากนี้ การเกินดุลบัญชีเดินสะพัดที่เพิ่มขึ้นอันเนื่องมาจากการหดตัวของอุปสงค์ภายในประเทศ ส่งผลให้ปริมาณเงินสำรองระหว่างประเทศเพิ่มสูงขึ้นเป็น 28พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2541 สำหรับในปี 2542 คาดการว่า สถานการณ์ด้านต่างประเทศจะดีขึ้นกว่าในปี 2541 เพราะแม้ว่าการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดจะลดลงกว่าในปี 2541 แต่การขาดดุลเงินทุนเคลื่อนย้ายสุทธิจะลดลง ส่วนสำคัญประการหนึ่งเนื่องจากภาระการขายเงินตราต่างประเทศล่วงหน้าในตลาดต่างประเทศได้มีการชำระจนหมดสิ้นแล้ว รวมถึงการได้รับความช่วยเหลือทางการเงินเพิ่มเติมจากต่างประเทศจะส่งผลให้ปริมาณเงินสำรองระหว่างประเทศเพิ่มสูงขึ้นถึง 32 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2542
2. การปรับโครงสร้างภาคการเงิน
แม้ว่าการประเมินผลการดำเนินการปรับโครงสร้างภาคการเงินภายใต้แผนฟื้นฟูระบบสถาบันการเงิน เมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2541 และตามหนังสือแจ้งความจำนงฯ ฉบับที่ 5 เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2541 ชี้ว่า การดำเนินการได้เป็นไปตามแผน แต่ยังมีปัญหา เนื่องจากความหลากหลายของขั้นตอนในการแก้ไขปัญหา รัฐบาลจึงได้ปรับเปลี่ยนเงื่อนเวลาของบางแผนออกไปเล็กน้อย และคาดว่าธนาคารแห่งประเทศไทย โดยการสนับสนุนทางวิชาการจากธนาคารโลกจะสามารถประเมินผลการดำเนินงานของสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐได้แล้วเสร็จภายในสิ้นปี 2541 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อปรับปรุงฐานะทางการเงิน ประเมินเป้าหมายในระยะยาว และเพื่อดำเนินการเพิ่มทุนให้แล้วเสร็จภายในปี 2542 สำหรับการประมูลสินทรัพย์หลักของสถาบันการเงินที่ถูกปิดกิจการจำนวน 56 แห่ง โดย ปรส. นั้น คาดว่าจะมีการจัดการประมูลภายในกลางเดือนธันวาคม 2541 และการประเมินการดำเนินงานของ ปรส. โดยบุคคลภายนอกขณะนี้อยู่ในระหว่างการดำเนินการ
3. การปรับโครงสร้างหนี้ธุรกิจเอกชน
ในการประเมินครั้งที่แล้ว รัฐบาลได้เสนอมาตรการปรับโครงสร้างหนี้ภาคธุรกิจเอกชน โดยให้ภาคธุรกิจแสดงความจำนงโดยอาสาสมัครขอปรับโครงสร้างหนี้ ซึ่งรัฐบาลได้ดำเนินการขจัดอุปสรรคต่างๆ เช่น การออกมาตรการภาษี และการแก้ไขกฎหมายเพื่อเอื้ออำนวยต่อกระบวนการปรับโครงสร้างหนี้ในชั้นหนึ่งแล้ว โดยขณะนี้คณะกรรมการส่งเสริมการปรับโครงสร้างหนี้ (CDRAC) กำลังติดตามผลของการเจรจาปรับโครงสร้างหนี้ของ 200 รายแรก ซึ่งครอบคลุม 353 บริษัท โดยคิดเป็นมูลค่าประมาณ 674 พันล้านบาท จากจำนวนที่มีอยู่นี้เพียงครึ่งหนึ่งที่ได้มีการเริ่มดำเนินการปรับโครงสร้างอย่างเป็นทางการ นอกจากนี้ ยังมีการประนอมหนี้ที่ประสบผลสำเร็จแล้วที่ไม่อยู่ภายใต้การดูแลของ CDRAC เช่น ธุรกิจโรงงานอ้อยและน้ำตาล ซึ่งเมื่อเร็ว ๆ นี้ได้มีการลงนามในข้อตกลงประนอมหนี้แล้วกับสถาบันการเงินในประเทศมูลค่าประมาณ 33 พันล้านบาท
แม้ว่าการปรับโครงสร้างหนี้จะประสบความสำเร็จในระดับดีพอสมควร รัฐบาลจะพิจารณาออกมาตรการเพิ่มเติมเพื่อกระตุ้นให้เกิดการปรับโครงสร้างหนี้เพิ่มขึ้น เช่น สนับสนุนให้มีการยอมรับกระบวนการอนุญาโตตุลาการระหว่างสถาบันการเงินที่เป็นเจ้าหนี้เพื่อแก้ไขข้อพิพาทระหว่างเจ้าหนี้ การเพิ่มประสิทธิภาพและความสมบูรณ์ของกลไกการกำกับดูแลของ CDRAC และธนาคารแห่งประเทศไทย การออกกฎหมายจัดตั้งศูนย์ข้อมูลลูกหนี้ การพิจารณาออกมาตรการดำเนินการต่อลูกหนี้ที่ปฏิเสธการชำระหนี้และการปรับโครงสร้างหนี้ และธนาคารแห่งประเทศไทยจะรับผิดชอบด้านค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวกับการให้ความช่วยเหลือด้านวิชาการและการฝึกอบรมในส่วนที่เกี่ยวกับการปรับโครงสร้างหนี้ และการเพิ่มประสิทธิภาพการกำกับดูแลของ CDRAC ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายและบัญชี รวมถึงการให้ความรู้กับสาธารณชน
4. การแก้ไขปัญหาผลกระทบทางสังคม
ตามที่รัฐบาลได้ขยายการขาดดุลเงินสดของปีงบประมาณ 2542 เพิ่มขึ้น เพื่อใช้จ่ายในการแก้ไขปัญหาผลกระทบทางสังคม ซึ่งรวมถึงโครงการฝึกวิชาชีพ และโครงการที่เน้นการใช้แรงงาน โดยได้รับความช่วยเหลือจากธนาคารโลก และธนาคารพัฒนาเอเซีย ได้แก่ โครงการสร้างงานชั่วคราวในภาครัฐ จำนวน 200,000 คน เพื่อบรรเทาปัญหาคนตกงานในช่วงวิกฤตการณ์ โครงการฝึกวิชาชีพให้กับกลุ่มผู้เข้าสู่ตลาดแรงงานใหม่ โครงการที่จะเพิ่มงบประมาณเพื่อสนับสนุนด้านการเงินให้กับครอบครัวที่ยากจนและผู้สูงอายุ การเพิ่มงบประมาณสำหรับโครงการเงินกู้เพื่อการศึกษา โครงการอาหารกลางวันสำหรับเด็กนักเรียน และมาตรการขยายโอกาสให้ผู้ที่ตกงานสามารถเป็นเจ้าของกิจการได้ผ่านการสนับสนุนด้านการเงินและการฝึกอบรม ซึ่งมาตรการที่กล่าวมาจะเป็นการวางรากฐานให้แก่การจัดทำโครงการเงินกู้เพื่อสังคมใหม่ (SIP II) โดยใช้เงินกู้จากต่างประเทศ นอกจากนี้ ภายในสิ้นปี 2541 รัฐบาลจะดำเนินการตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงานในการจัดตั้งกองทุนเพื่อช่วยเหลือผู้ถูกออกจากงานที่ไม่ได้รับการชดเชย โดยใช้เงินจากค่าปรับที่เก็บได้จากการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน
5. การแก้ไขกฎหมาย การแปรรูปรัฐวิสาหกิจ และนโยบายการเปิดตลาดเสรี
รัฐบาลยังมีความตั้งใจแน่วแน่ในการแก้ไขกฎหมายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ตลอดจนเร่งให้เกิดการปรับโครงสร้างภาคธุรกิจและการเงิน แม้ว่าการแก้ไขกฎหมายจะใช้เวลานานกว่าที่คาดหมายไว้ เนื่องจากรัฐสภามีกฎหมายอื่นๆ ที่ต้องพิจารณาเป็นจำนวนมาก ซึ่งรัฐบาลคาดว่าสภาผู้แทนราษฎรจะดำเนินการผ่านกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับพระราชบัญญัติล้มละลายและวิธีพิจารณาความแพ่งของศาลและการบังคับคดีในไม่ช้า และรัฐบาลจะร่วมมือกับวุฒิสภาเพื่อให้กฎหมายดังกล่าวข้างต้นผ่านการอนุมัติในสมัยการประชุมนี้
ในส่วนของการแปรรูปรัฐวิสาหกิจนั้น ได้มีการดำเนินไปตามแผนแม่บทการแปรรูปรัฐวิสาหกิจที่รัฐบาลได้กำหนดไว้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการปรับปรุงระเบียบกฎหมายเพื่อกำกับการทำงานให้มีการเพิ่มการแข่งขันในภาคเศรษฐกิจสำคัญ เช่น สาขาโทรคมนาคม และสาขาพลังงาน มีความก้าวหน้าเป็นอย่างมาก โดยคาดว่าคณะรัฐมนตรีจะสามารถผ่านความเห็นชอบในร่างระเบียบได้ ภายในไตรมาสแรกของปี 2542 และส่งต่อให้รัฐสภาให้ความเห็นชอบโดยเร็ว สำหรับร่างพระราชบัญญัติทุนรัฐวิสาหกิจและพระราชบัญญัติการเดินอากาศนั้นได้ผ่านความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และจะผลักดันให้รัฐสภาพิจารณาให้ความเห็นชอบโดยเร็ว ดังนั้น รัฐบาลคาดว่าการแปรรูปรัฐวิสาหกิจคงจะดำเนินการได้ตามตารางเวลาที่ได้กำหนดไว้ในบันทึกการดำเนินนโยบายของรัฐบาลไทย ประกาศเมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2541
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ชุดนายชวน หลีกภัย)--วันที่ 1 ธันวาคม 2541--
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการและเงื่อนไขการขอรับความช่วยเหลือจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ ตามหนังสือแจ้งความจำนงฯ ฉบับที่ 6 ตามที่กระทรวงการคลัง และธนาคารแห่งประเทศไทยได้ร่วมกันจัดทำ โดยได้ร่วมปรึกษาหารือกับเจ้าหน้าที่ของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ ซึ่งได้มีการปรับปรุงให้เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อการเจริญเติบโตแบบยั่งยืน ซึ่งมีสาระสำคัญต่าง ๆ 7 ประการ ได้แก่
1. เพิ่มความสำคัญให้แก่มาตรการโดยตรงเพื่อการฟื้นฟูภาคเศรษฐกิจจริง เพื่อช่วยเพิ่มสภาพคล่องให้กับภาคธุรกิจ และสนับสนุนภาคเศรษฐกิจที่สำคัญ โดยสอดคล้องกับแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจโดยรวม
2. ในส่วนของนโยบายเศรษฐกิจมหภาค รัฐบาลจะเน้นการดำเนินนโยบายการคลังมากขึ้นเพื่อกระตุ้นอุปสงค์ในระบบเศรษฐกิจโดยจะปรับเป้าหมายฐานะการคลังของภาครัฐในปีงบประมาณ 2542 ไว้ที่ขาดดุลร้อยละ 5 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศเพิ่มขึ้นจากเป้าหมายในการประเมินในครั้งก่อนอีกร้อยละ 2 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ มาตรการการคลังเพื่อรองรับการขาดดุลการคลังที่เพิ่มขึ้นนี้จะเน้นให้เกิดผลสูงสุดต่อการกระตุ้นอุปสงค์ และบรรเทาผลกระทบทางสังคม รัฐบาลมั่นใจว่าขนาดของการขาดดุลการคลังนี้จะมีการปรับปรุงไปในทิศทางที่ดีขึ้นโดยเร็วเมื่อเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว ซึ่งจะเป็นการรักษาความแข็งแกร่งด้านฐานะการคลังของรัฐบาลในระยะปานกลาง 3. ในขณะนี้ความเชื่อมั่นในระบบเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้นและค่าเงินบาทที่มีเสถียรภาพส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยในตลาดลดลงอย่างต่อเนื่องจนอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าช่วงก่อนเกิดวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจ ดังนั้น การดำเนินนโยบายการเงินในขณะนี้เป็นการดำเนินการเพื่อสนับสนุนการฟื้นฟูเศรษฐกิจอย่างเต็มที่ โดยอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ยืมของธนาคารพาณิชย์ได้ปรับตัวต่ำลง และสภาพคล่องดีขึ้นเป็นลำดับ ทั้งนี้เมื่อสถาบันการเงินได้ดำเนินการเพิ่มทุนเป็นที่เรียบร้อยแล้วปัญหาการขาดสภาพคล่องก็จะหมดสิ้นลง
4. การฟื้นฟูระบบสถาบันการเงินนับได้ว่ามีผลคืบหน้าเป็นอันมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งได้มีการปฏิบัติตามแผนฟื้นฟูระบบสถาบันการเงินที่ประกาศเมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2541 อย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม การปฏิบัติตามแผนอาจต้องช้ากว่ากำหนดเดิมไปบ้าง เนื่องจากความหลากหลายของขั้นตอนในการแก้ไขปัญหาสถาบันการเงินที่รัฐได้เข้าแทรกแซง ดังนั้น จึงได้มีการปรับเงื่อนเวลาของบางมาตรการเพื่อให้สะท้อนต่อความเป็นจริง อนึ่ง การเพิ่มทุนของสถาบันการเงินยังคงเป็นวัตถุประสงค์หลักของแผนฟื้นฟูฯ ซึ่งรัฐบาลได้รับแจ้งว่าขณะนี้มีธนาคารพาณิชย์หลายแห่งได้แจ้งความจำนงขอรับความช่วยเหลือด้านเงินทุนจากรัฐบาลภายใต้มาตรการช่วยเหลือด้านการเพิ่มเงินกองทุนชั้นที่ 1 และชั้นที่ 2 ของรัฐบาลภายใต้แผนฟื้นฟูระบบสถาบันการเงินฯ
5. ในการดำเนินมาตรการเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ภาคเอกชนซึ่งได้มีการระบุในหนังสือแจ้งความจำนงฯ ฉบับที่ 5 แล้วนั้นรัฐบาลด้วยความช่วยเหลือจากธนาคารโลกได้มีการพิจารณาปรับเปลี่ยนกลยุทธ์บางประการ โดยการพัฒนาระบบกำกับดูแลที่มีประสิทธิภาพและทบทวนแนวทางในการจัดทำระบบที่เป็นธรรมในการให้สิทธิประโยชน์ บทลงโทษ และการระงับข้อพิพาทระหว่างกลุ่มเจ้าหนี้ในกระบวนการปรับโครงสร้างหนี้
6. รัฐบาลได้ออกมาตรการเพิ่มเติมเพื่อการบรรเทาผลกระทบทางสังคม เพื่อให้สอดคล้องต่อการกำหนดเป้าหมายการคลังใหม่ของปีงบประมาณ 2542 โดยแผนการใช้จ่ายงบประมาณในส่วนนี้จะถูกกำหนดเพื่อสนับสนุนกิจกรรมที่สำคัญในภูมิภาคและชนบท โดยไม่ก่อให้เกิดการบิดเบือนในตลาดแรงงาน
7. ท้ายที่สุด รัฐบาลมีความมั่นใจว่าการแก้ไขกฎหมายฟื้นฟูเศรษฐกิจที่มีความสำคัญต่อการปรับโครงสร้างภาคการเงินและธุรกิจเอกชนจะประสบผลสำเร็จในไม่ช้านี้ โดยเมื่อการดำเนินการแล้วเสร็จ ประเทศไทยจะเป็นประเทศที่มีสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยต่อการลงทุนจากทั้งภายในและภายนอกประเทศ
สาระสำคัญของบันทึกแนวทางดำเนินนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลไทยที่ระบุไว้ในหนังสือแจ้งความจำนงฯ ฉบับที่ 6สรุปได้ดังนี้
1. ภาพรวมเศรษฐกิจมหภาคและนโยบายในปี 2541 - 2542
คาดว่าเศรษฐกิจในปี 2542 จะฟื้นตัวดีขึ้นเล็กน้อย โดยมีสัญญาณเบื้องต้นบ่งบอกว่าการหดตัวของอุปสงค์เริ่มที่จะมีแนวโน้มคลี่คลายลง ภายใต้แผนฟื้นฟูเศรษฐกิจที่ปรับปรุงใหม่นี้คาดว่าการผลิตจะเริ่มขยายตัวอย่างต่อเนื่องในปี 2542 โดยเฉลี่ยทั้งปีในอัตราประมาณร้อยละ 1 ทั้งนี้ ในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปี 2542 การขยายตัวจะอยู่ในอัตราประมาณร้อยละ 3 - 4 เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปี2541 นอกจากนี้ ระดับทุนสำรองระหว่างประเทศจะสูงขึ้นในขณะที่อัตราเงินเฟ้อลดลง
1.1 นโยบายการคลัง
เนื่องจากเศรษฐกิจภายนอกประเทศชะลอตัวเพิ่มขึ้นและอุปสงค์ภายในประเทศยังคงหดตัวอย่างต่อเนื่อง รัฐบาลมีความจำเป็นที่จะต้องมีบทบาทมากขึ้นในการกระตุ้นอุปสงค์ภายในประเทศ โดยรัฐบาลจะปรับเพิ่มเป้าหมายการขาดดุลเงินสดของรัฐบาลกลางในปีงบประมาณ 2542 อีกร้อยละ 2 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ จากเดิมขาดดุลร้อยละ 1 เป็นขาดดุลร้อยละ 3 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ การขาดดุลที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 2 นี้ประกอบด้วย 3 ส่วน ได้แก่ ส่วนแรกร้อยละ 1 จะเป็นค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น เพื่อใช้ในโครงการบรรเทาผลกระทบทางสังคมและโครงการลงทุนที่เน้นการจ้างงาน โดยคาดว่าจะสนับสนุนค่าใช้จ่ายส่วนนี้ด้วยการใช้เงินกู้จากต่างประเทศ ส่วนที่สองร้อยละ 0.5 จะเป็นการเร่งการใช้จ่ายวงเงินงบประมาณในโครงการที่อนุมัติไว้แล้ว และสรรหาโครงการลงทุนด้านสังคมเพิ่มเติมที่สามารถดำเนินการได้เร็ว โดยคาดว่าจะใช้เงินกู้จากต่างประเทศเพื่อโครงการดังกล่าว ส่วนที่สามร้อยละ 0.5 เป็นส่วนที่เกิดจากการปรับลดลงของรายได้ของรัฐ นอกจากการขาดดุลของรัฐบาลกลางแล้ว รัฐวิสาหกิจจะยังดำรงเป้าหมายการขาดดุลไว้ที่รัอยละ 2 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ ในขณะที่ภาระดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นจากการแก้ไขปัญหาระบบสถาบันการเงินจะอยู่ที่ประมาณร้อยละ 3 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ ลดลงจากการประเมินครั้งก่อนเนื่องจากการลดลงของอัตราดอกเบี้ยภายในประเทศ
1.2 นโยบายการเงินและอัตราแลกเปลี่ยน
การดำเนินนโยบายการเงินที่ผ่านมาส่งผลให้อัตราแลกเปลี่ยนมีเสถียรภาพ ในขณะเดียวกันอัตราเงินเฟ้อ และอัตราดอกเบี้ยในตลาดได้มีการปรับลดลงอย่างมาก อย่างไรก็ตาม รัฐบาลจะยังคงใช้นโยบายอัตราดอกเบี้ยแบบยืดหยุ่นในการรักษาเสถียรภาพของอัตราแลกเปลี่ยนต่อไป นอกจากนี้ รัฐบาลได้ปรับเปลี่ยนเป้าหมายขั้นสูงของตัวเลขฐานเงิน และสินทรัพย์ในประเทศสุทธิของธนาคารแห่ง-ประเทศไทยให้เหมาะสมกับการคาดการณ์ของการขยายตัวของอุปสงค์และการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในระยะต่อไป
ในส่วนของปัญหาการขาดสภาพคล่องซึ่งเกิดจากการที่สถาบันการเงินไม่สามารถปล่อยสินเชื่อให้แก่ภาคธุรกิจได้เพียงพอต่อความต้องการนั้น รัฐบาลได้มีการปรับกลไกและเงื่อนไขเงินกู้จากธนาคารพัฒนาเอเชียเพื่อแก้ไขปัญหาอุปสรรคที่เกิดขึ้นในการปล่อยสินเชื่อเพื่อการส่งออก นอกจากนี้ รัฐบาลได้ร่วมมือกับธนาคารโลกจัดทำโครงการในการเพิ่มทุน และส่งเสริมความแข็งแกร่งให้กับการดำเนินงานของสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ ทั้งนี้ เพื่อเตรียมความพร้อมให้กับสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐในการขยายการดำเนินธุรกรรมโดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับที่อยู่อาศัยราคาต่ำและผู้กู้รายเล็ก
1.3 นโยบายด้านต่างประเทศ
จากการประเมินภาวะเศรษฐกิจคาดการว่า ดุลการชำระเงินในปี 2541 จะดีกว่าที่ประเมินไว้ นอกจากนี้ การเกินดุลบัญชีเดินสะพัดที่เพิ่มขึ้นอันเนื่องมาจากการหดตัวของอุปสงค์ภายในประเทศ ส่งผลให้ปริมาณเงินสำรองระหว่างประเทศเพิ่มสูงขึ้นเป็น 28พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2541 สำหรับในปี 2542 คาดการว่า สถานการณ์ด้านต่างประเทศจะดีขึ้นกว่าในปี 2541 เพราะแม้ว่าการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดจะลดลงกว่าในปี 2541 แต่การขาดดุลเงินทุนเคลื่อนย้ายสุทธิจะลดลง ส่วนสำคัญประการหนึ่งเนื่องจากภาระการขายเงินตราต่างประเทศล่วงหน้าในตลาดต่างประเทศได้มีการชำระจนหมดสิ้นแล้ว รวมถึงการได้รับความช่วยเหลือทางการเงินเพิ่มเติมจากต่างประเทศจะส่งผลให้ปริมาณเงินสำรองระหว่างประเทศเพิ่มสูงขึ้นถึง 32 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2542
2. การปรับโครงสร้างภาคการเงิน
แม้ว่าการประเมินผลการดำเนินการปรับโครงสร้างภาคการเงินภายใต้แผนฟื้นฟูระบบสถาบันการเงิน เมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2541 และตามหนังสือแจ้งความจำนงฯ ฉบับที่ 5 เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2541 ชี้ว่า การดำเนินการได้เป็นไปตามแผน แต่ยังมีปัญหา เนื่องจากความหลากหลายของขั้นตอนในการแก้ไขปัญหา รัฐบาลจึงได้ปรับเปลี่ยนเงื่อนเวลาของบางแผนออกไปเล็กน้อย และคาดว่าธนาคารแห่งประเทศไทย โดยการสนับสนุนทางวิชาการจากธนาคารโลกจะสามารถประเมินผลการดำเนินงานของสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐได้แล้วเสร็จภายในสิ้นปี 2541 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อปรับปรุงฐานะทางการเงิน ประเมินเป้าหมายในระยะยาว และเพื่อดำเนินการเพิ่มทุนให้แล้วเสร็จภายในปี 2542 สำหรับการประมูลสินทรัพย์หลักของสถาบันการเงินที่ถูกปิดกิจการจำนวน 56 แห่ง โดย ปรส. นั้น คาดว่าจะมีการจัดการประมูลภายในกลางเดือนธันวาคม 2541 และการประเมินการดำเนินงานของ ปรส. โดยบุคคลภายนอกขณะนี้อยู่ในระหว่างการดำเนินการ
3. การปรับโครงสร้างหนี้ธุรกิจเอกชน
ในการประเมินครั้งที่แล้ว รัฐบาลได้เสนอมาตรการปรับโครงสร้างหนี้ภาคธุรกิจเอกชน โดยให้ภาคธุรกิจแสดงความจำนงโดยอาสาสมัครขอปรับโครงสร้างหนี้ ซึ่งรัฐบาลได้ดำเนินการขจัดอุปสรรคต่างๆ เช่น การออกมาตรการภาษี และการแก้ไขกฎหมายเพื่อเอื้ออำนวยต่อกระบวนการปรับโครงสร้างหนี้ในชั้นหนึ่งแล้ว โดยขณะนี้คณะกรรมการส่งเสริมการปรับโครงสร้างหนี้ (CDRAC) กำลังติดตามผลของการเจรจาปรับโครงสร้างหนี้ของ 200 รายแรก ซึ่งครอบคลุม 353 บริษัท โดยคิดเป็นมูลค่าประมาณ 674 พันล้านบาท จากจำนวนที่มีอยู่นี้เพียงครึ่งหนึ่งที่ได้มีการเริ่มดำเนินการปรับโครงสร้างอย่างเป็นทางการ นอกจากนี้ ยังมีการประนอมหนี้ที่ประสบผลสำเร็จแล้วที่ไม่อยู่ภายใต้การดูแลของ CDRAC เช่น ธุรกิจโรงงานอ้อยและน้ำตาล ซึ่งเมื่อเร็ว ๆ นี้ได้มีการลงนามในข้อตกลงประนอมหนี้แล้วกับสถาบันการเงินในประเทศมูลค่าประมาณ 33 พันล้านบาท
แม้ว่าการปรับโครงสร้างหนี้จะประสบความสำเร็จในระดับดีพอสมควร รัฐบาลจะพิจารณาออกมาตรการเพิ่มเติมเพื่อกระตุ้นให้เกิดการปรับโครงสร้างหนี้เพิ่มขึ้น เช่น สนับสนุนให้มีการยอมรับกระบวนการอนุญาโตตุลาการระหว่างสถาบันการเงินที่เป็นเจ้าหนี้เพื่อแก้ไขข้อพิพาทระหว่างเจ้าหนี้ การเพิ่มประสิทธิภาพและความสมบูรณ์ของกลไกการกำกับดูแลของ CDRAC และธนาคารแห่งประเทศไทย การออกกฎหมายจัดตั้งศูนย์ข้อมูลลูกหนี้ การพิจารณาออกมาตรการดำเนินการต่อลูกหนี้ที่ปฏิเสธการชำระหนี้และการปรับโครงสร้างหนี้ และธนาคารแห่งประเทศไทยจะรับผิดชอบด้านค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวกับการให้ความช่วยเหลือด้านวิชาการและการฝึกอบรมในส่วนที่เกี่ยวกับการปรับโครงสร้างหนี้ และการเพิ่มประสิทธิภาพการกำกับดูแลของ CDRAC ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายและบัญชี รวมถึงการให้ความรู้กับสาธารณชน
4. การแก้ไขปัญหาผลกระทบทางสังคม
ตามที่รัฐบาลได้ขยายการขาดดุลเงินสดของปีงบประมาณ 2542 เพิ่มขึ้น เพื่อใช้จ่ายในการแก้ไขปัญหาผลกระทบทางสังคม ซึ่งรวมถึงโครงการฝึกวิชาชีพ และโครงการที่เน้นการใช้แรงงาน โดยได้รับความช่วยเหลือจากธนาคารโลก และธนาคารพัฒนาเอเซีย ได้แก่ โครงการสร้างงานชั่วคราวในภาครัฐ จำนวน 200,000 คน เพื่อบรรเทาปัญหาคนตกงานในช่วงวิกฤตการณ์ โครงการฝึกวิชาชีพให้กับกลุ่มผู้เข้าสู่ตลาดแรงงานใหม่ โครงการที่จะเพิ่มงบประมาณเพื่อสนับสนุนด้านการเงินให้กับครอบครัวที่ยากจนและผู้สูงอายุ การเพิ่มงบประมาณสำหรับโครงการเงินกู้เพื่อการศึกษา โครงการอาหารกลางวันสำหรับเด็กนักเรียน และมาตรการขยายโอกาสให้ผู้ที่ตกงานสามารถเป็นเจ้าของกิจการได้ผ่านการสนับสนุนด้านการเงินและการฝึกอบรม ซึ่งมาตรการที่กล่าวมาจะเป็นการวางรากฐานให้แก่การจัดทำโครงการเงินกู้เพื่อสังคมใหม่ (SIP II) โดยใช้เงินกู้จากต่างประเทศ นอกจากนี้ ภายในสิ้นปี 2541 รัฐบาลจะดำเนินการตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงานในการจัดตั้งกองทุนเพื่อช่วยเหลือผู้ถูกออกจากงานที่ไม่ได้รับการชดเชย โดยใช้เงินจากค่าปรับที่เก็บได้จากการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน
5. การแก้ไขกฎหมาย การแปรรูปรัฐวิสาหกิจ และนโยบายการเปิดตลาดเสรี
รัฐบาลยังมีความตั้งใจแน่วแน่ในการแก้ไขกฎหมายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ตลอดจนเร่งให้เกิดการปรับโครงสร้างภาคธุรกิจและการเงิน แม้ว่าการแก้ไขกฎหมายจะใช้เวลานานกว่าที่คาดหมายไว้ เนื่องจากรัฐสภามีกฎหมายอื่นๆ ที่ต้องพิจารณาเป็นจำนวนมาก ซึ่งรัฐบาลคาดว่าสภาผู้แทนราษฎรจะดำเนินการผ่านกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับพระราชบัญญัติล้มละลายและวิธีพิจารณาความแพ่งของศาลและการบังคับคดีในไม่ช้า และรัฐบาลจะร่วมมือกับวุฒิสภาเพื่อให้กฎหมายดังกล่าวข้างต้นผ่านการอนุมัติในสมัยการประชุมนี้
ในส่วนของการแปรรูปรัฐวิสาหกิจนั้น ได้มีการดำเนินไปตามแผนแม่บทการแปรรูปรัฐวิสาหกิจที่รัฐบาลได้กำหนดไว้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการปรับปรุงระเบียบกฎหมายเพื่อกำกับการทำงานให้มีการเพิ่มการแข่งขันในภาคเศรษฐกิจสำคัญ เช่น สาขาโทรคมนาคม และสาขาพลังงาน มีความก้าวหน้าเป็นอย่างมาก โดยคาดว่าคณะรัฐมนตรีจะสามารถผ่านความเห็นชอบในร่างระเบียบได้ ภายในไตรมาสแรกของปี 2542 และส่งต่อให้รัฐสภาให้ความเห็นชอบโดยเร็ว สำหรับร่างพระราชบัญญัติทุนรัฐวิสาหกิจและพระราชบัญญัติการเดินอากาศนั้นได้ผ่านความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และจะผลักดันให้รัฐสภาพิจารณาให้ความเห็นชอบโดยเร็ว ดังนั้น รัฐบาลคาดว่าการแปรรูปรัฐวิสาหกิจคงจะดำเนินการได้ตามตารางเวลาที่ได้กำหนดไว้ในบันทึกการดำเนินนโยบายของรัฐบาลไทย ประกาศเมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2541
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ชุดนายชวน หลีกภัย)--วันที่ 1 ธันวาคม 2541--