คณะรัฐมนตรีพิจารณามีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติการจัดสรรที่ดิน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณาต่อไป
สาระสำคัญของร่างพระราชบัญญัติ
1. แก้ไขชื่อตำแหน่งกรรมการในคณะกรรมการจัดสรรที่ดินกลางและคณะกรรมการจัดสรรที่ดินจังหวัดให้เป็นไปตามตำแหน่งที่กำหนดในกฎหมายที่ใช้บังคับในปัจจุบันโดยสอดคล้องกับกฎหมายว่าด้วยการปรับปรุง กระทรวง ทบวง กรม และเพิ่มเติมให้อธิบดีกรมที่ดินแต่งตั้งข้าราชการกรมที่ดินจำนวนไม่เกินสองคนเป็นผู้ช่วยเลขานุการ
2. เมื่อออกใบอนุญาตให้ทำการจัดสรรที่ดินแล้ว กำหนดให้มีการจดแจ้งลงในโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ว่ามีที่ดินแปลงใดเป็นที่ดินอันเป็นสาธารณูปโภคหรือที่ดินที่ใช้เพื่อบริการสาธารณะ และในกรณีที่มีการแบ่งแยกออกเป็นแปลงย่อยแล้วก็ให้จดแจ้งลงในโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่แบ่งแยกทุกฉบับด้วยเพื่อให้เกิดความชัดเจนแก่ผู้ซื้อที่ดินจัดสรรหรือบุคคลภายนอก
3. ห้ามโอนที่ดินอันเป็นสาธารณูปโภค เว้นแต่เป็นการโอนตามกฎหมายว่าด้วยการจัดสรรที่ดินและกฎหมายว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ เนื่องจากที่ดินอันเป็นสาธารณูปโภคเป็นที่ดินซึ่งผู้ซื้อที่ดินจัดสรรต้องใช้ประโยชน์ร่วมกัน จึงไม่ควรให้มีการโอนที่ดินอันเป็นสาธารณูปโภคได้เป็นการทั่วไป ซึ่งตามกฎหมายกำหนดให้ผู้จัดสรรที่ดินหรือนิติบุคคลหมู่บ้านจัดสรรเป็นผู้มีหน้าที่รับผิดชอบดูแลและบำรุงรักษาสาธารณูปโภค
4. กำหนดให้ทรัพย์สินอันเป็นสาธารณูปโภคตกเป็นของนิติบุคคลหมู่บ้านจัดสรรและพนักงานเจ้าหน้าที่สามารถออกใบแทนได้ในกรณีที่ผู้จัดสรรที่ดินไม่ยอมส่งมอบโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ให้แก่นิติบุคคลหมู่บ้านจัดสรร
5. แก้ไขระยะเวลาการค้างชำระค่าบำรุงรักษาและการจัดการสาธารณูปโภคเพื่อแก้ไขปัญหาการหลีกเลี่ยงการชำระเงินค่าบำรุงรักษาและการจัดการสาธารณูปโภค
6. กำหนดรองรับให้ผู้ซื้อที่ดินจัดสรรตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 286 ลงวันที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2515 ซึ่งยื่นคำขอจัดตั้งนิติบุคคลหมู่บ้านจัดสรรตามมาตรา 70 หากในภายหลังที่คณะกรรมการจัดสรรที่ดินจังหวัดเห็นชอบการจัดตั้งนิติบุคคลหมู่บ้านจัดสรรแล้วให้ทรัพย์สินอันเป็นสาธารณูปโภคตกเป็นของนิติบุคคลหมู่บ้านจัดสรร และให้พนักงานเจ้าหน้าที่ออกใบแทนได้ซึ่งเป็นหลักการที่สอดคล้องกับการแก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 44
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา (นายกรัฐมนตรี) วันที่ 23 ธันวาคม 2557--