ยธ. เสนอว่า โดยที่บทบัญญัติบางมาตราของพระราชบัญญัติล้มละลาย พุทธศักราช 2483 ไม่เหมาะสมกับสภาพเศรษฐกิจและสังคมในปัจจุบัน โดยเฉพาะหลักเกณฑ์และขั้นตอนในการยื่นคำขอรับชำระหนี้ ขั้นตอนในการดำเนินกระบวนพิจารณาในชั้นการขอรับชำระหนี้ รูปแบบในการขอประนอมหนี้ และบทกำหนดโทษของลูกหนี้ เป็นเหตุให้กระบวนพิจารณาคดีล้มละลายล่าช้า ไม่คุ้มครองสิทธิของบรรดาเจ้าหนี้และลูกหนี้ ประกอบกับคดีล้มละลายเป็นคดีที่มีลักษณะพิเศษแตกต่างจากคดีแพ่งโดยทั่วไป และผลของคดีล้มละลายจะกระทบต่อเศรษฐกิจโดยส่วนรวม จึงสมควรปรับปรุงพระราชบัญญัติล้มละลายฯ เพื่อปรับปรุงกระบวนการบังคับคดีล้มละลายของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ให้มีประสิทธิภาพ ลดขั้นตอนกระบวนการล้มละลายในชั้นเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ โดยให้อำนาจเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์พิจารณามีคำสั่งอนุญาตคำขอรับชำระหนี้ได้โดยไม่ต้องเสนอศาล ซึ่งเป็นหลักการเช่นเดียวกับคดีฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้ อันจะทำให้เกิดความรวดเร็วในกระบวนการล้มละลายในชั้นเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ เพิ่มเติมขั้นตอนในการยื่นคำขอรับชำระหนี้ของเจ้าหนี้ เพื่อเป็นการคุ้มครองสิทธิในมูลหนี้ของเจ้าหนี้ที่มีสิทธิตามกฎหมายที่จะได้รับชำระหนี้จากกองทรัพย์สินของลูกหนี้ ปรับปรุงสิทธิลูกหนี้ร่วมและผู้ค้ำประกันในการได้รับชำระหนี้โดยการรับช่วงสิทธิ ตลอดจนปรับปรุงการยื่นคำขอประนอมหนี้ให้ชัดเจนยิ่งขึ้น รวมทั้งปรับเปลี่ยนโทษปรับทางอาญาให้เหมาะสม เพื่อให้กระบวนการพิจารณาคดีล้มละลายมีประสิทธิภาพ ถูกต้อง เป็นธรรม และรวดเร็วยิ่งขึ้น ทั้งนี้ ได้จัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นจากผู้มีส่วนเกี่ยวข้องด้วยแล้ว
สาระสำคัญของร่างพระราชบัญญัติ
1. กำหนดเงื่อนไขในการนับคะแนนเสียงของเจ้าหนี้ และการเป็นกรรมการเจ้าหนี้ที่พนักงานพิทักษ์ทรัพย์ยังไม่ได้สั่งอนุญาตให้ได้รับชำระหนี้
2. กำหนดเงื่อนไขคำขอประนอมหนี้ โดยต้องมีรายละเอียดเกี่ยวกับลำดับการชำระหนี้ จำนวนเงินที่ขอประนอมหนี้ ความสามารถในการปฏิบัติตามคำขอประนอมหนี้ กำหนดเวลาชำระหนี้ การจัดการกับทรัพย์หลักประกัน และผู้ค้ำประกัน ด้วย
3. กำหนดให้การขอรับชำระหนี้ต้องยื่นคำขอภายในระยะเวลา และมีบัญชีแสดงรายละเอียดแห่งหนี้สินและหลักฐานประกอบหนี้และทรัพย์สิน ตลอดจนเอกสารที่แสดงว่าหนี้นั้นมีมูลตามที่กำหนด
4. กำหนดให้ศาลมีคำสั่งรับคำขอชำระหนี้ของเจ้าหนี้ที่มิได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ภายในระยะเวลาที่กำหนด เมื่อศาลเห็นว่าหนี้นั้นมีมูล และมีเหตุจำเป็นสมควร โดยให้เจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้จากกองทรัพย์สินที่มีอยู่ภายหลังการแบ่งทรัพย์สินก่อนเจ้าหนี้ยื่นคำขอรับชำระหนี้
5. กำหนดให้ลูกหนี้ร่วมคนอื่นอาจยื่นคำขอรับชำระหนี้ของลูกหนี้ร่วมที่ถูกพิทักษ์ทรัพย์ได้ หรือหากได้ชำระหนี้แทนลูกหนี้ให้ถือว่าลูกหนี้ร่วมที่ชำระหนี้แทนเป็นผู้รับช่วงสิทธิของเจ้าหนี้ผู้ขอรับชำระหนี้
6. กำหนดให้เจ้าหนี้หรือลูกหนี้อาจขอตรวจหรือโต้แย้งคำขอรับชำระหนี้ภายในกำหนดสี่สิบวัน นับแต่วันที่พ้นกำหนดเวลายื่นคำขอรับชำระหนี้ แต่หากมีเหตุผลพิเศษ เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์อาจขยายระยะเวลาดังกล่าวได้
7. กำหนดให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีอำนาจอนุญาตให้ได้รับชำระหนี้ได้ แต่หากมีข้อโต้แย้ง ให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์อาจมีคำสั่งอย่างหนึ่งอย่างใดตามที่กำหนด และให้มีอำนาจคำสั่งยกคำขอรับชำระหนี้ หรือลดจำนวนหนี้ หากคำสั่งให้รับชำระหนี้เป็นการสั่งไปโดยหลงผิด
8. กำหนดบทกำหนดโทษเกี่ยวกับการฝ่าฝืน การละเว้น กระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดที่มีเจตนา ฉ้อฉล ยักย้าย ซุกซ่อน หรือหลบซ่อนตัว เป็นต้น
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา (นายกรัฐมนตรี) วันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2558--