ทำเนียบรัฐบาล--2 พ.ย.--บิสนิวส์
คณะรัฐมนตรีเห็นชอบให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ให้ความช่วยเหลือในการรับซื้อเช็คเกี๊ยวอ้อยจากชาวไร่อ้อยในฤดูการผลิตปี 2543/44 ซึ่งจะเริ่มทำการปลูกอ้อยตั้งแต่เดือนกันยายน 2542 และจะส่งอ้อยเข้าหีบประมาณเดือนพฤศจิกายน 2543 ในวงเงิน 10,000 ล้านบาท โดยใช้หลักเกณฑ์และแนวปฏิบัติเช่นเดียวกับฤดูการผลิตปี 2542/43 ด้วย สำหรับข้อเสนอของคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย รวม 7 แนวทาง คือ
1. การขอคืนเงินภาษีมูลค่าเพิ่มที่อุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายนำส่งกรมสรรพากรในปี 2542 เป็นเงินประมาณ1,207.3 ล้านบาท และให้ยกเว้นการนำส่งภาษีมูลค่าเพิ่มในปี 2543 เป็นเงินประมาณ 1,245.1 ล้านบาท
2. การถอดภาษีมูลค่าเพิ่มออกจากราคาจำหน่ายน้ำตาลทรายภายในประเทศ โดยให้ผู้บริโภคเป็นผู้รับภาระภาษีตามหลักการของระบบภาษีมูลค่าเพิ่ม ซึ่งจะช่วยให้ระบบอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายมีรายได้เพิ่มขึ้นปีละประมาณ 1,245.1 ล้านบาท
3. การกู้ยืมเงินจากรัฐบาลเพื่อชดเชยราคาอ้อยขั้นสุดท้ายฤดูการผลิตปี 2541/42 ที่ต่ำกว่าราคาอ้อยขั้นต้นในวงเงินประมาณ 733.2 ล้านบาท และเพื่อช่วยเหลือชาวไร่อ้อยให้ได้รับราคาอ้อยฤดูการผลิตปี 2542/43 คุ้มกับต้นทุนการผลิตในวงเงินประมาณ6,350 ล้านบาท
4. การรับจำนำน้ำตาลทรายส่วนที่จำหน่ายไปต่างประเทศ โดยรัฐบาลเข้าไปรับจำนำน้ำตาลทรายในระดับราคาที่เกษตรกรชาวไร่อ้อยสามารถอยู่ได้
5. การปรับปรุงราคาจำหน่ายน้ำตาลทรายภายในประเทศ โดยหากมีการปรับราคาจำหน่ายน้ำตาลทรายขาวและน้ำตาลทรายขาวบริสุทธิ์ จะช่วยให้ระบบอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายมีรายได้เพิ่มขึ้นปีละประมาณ 1,589 ล้านบาท ทุก ๆ 1 บาทต่อกิโลกรัมที่ปรับราคาเพิ่มขึ้น
6. การเพิ่มผลผลิตอ้อยโดยรัฐบาลเข้าไปลงทุนในระบบน้ำ ซึ่งหากรัฐบาลสามารถจัดทำระบบน้ำเข้าสู่พื้นที่ปลูกอ้อยได้อย่างน้อย 50% ของพื้นที่เพาะปลูกอ้อยทั้งหมด ระบบอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายจะมีรายได้เพิ่มขึ้นเนื่องจากต้นทุนการผลิตที่ลดลงปีละประมาณ 7,300 ล้านบาท
7. การกำหนดราคาจำหน่ายน้ำตาลทรายภายในประเทศให้เป็นไปตามกลไกตลาด โดยหากมีการกำหนดอัตราภาษีนำเข้าไว้ที่ระดับ 65% ราคาจำหน่ายน้ำตาลทรายในประเทศจะปรับเพิ่มขึ้นกิโลกรัมละประมาณ 3 บาท ซึ่งจะทำให้ระบบอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายมีรายได้เพิ่มขึ้นปีละประมาณ 4,766 ล้านบาท
นอกจากนี้ คณะรัฐมนตรีมอบหมายให้กระทรวงการคลัง กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ไปหารือร่วมกันให้ได้ข้อสรุปโดยเร็ว เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีกครั้ง
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ชุดนายชวน หลีกภัย)--วันที่ 2 พฤศจิกายน 2542--
คณะรัฐมนตรีเห็นชอบให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ให้ความช่วยเหลือในการรับซื้อเช็คเกี๊ยวอ้อยจากชาวไร่อ้อยในฤดูการผลิตปี 2543/44 ซึ่งจะเริ่มทำการปลูกอ้อยตั้งแต่เดือนกันยายน 2542 และจะส่งอ้อยเข้าหีบประมาณเดือนพฤศจิกายน 2543 ในวงเงิน 10,000 ล้านบาท โดยใช้หลักเกณฑ์และแนวปฏิบัติเช่นเดียวกับฤดูการผลิตปี 2542/43 ด้วย สำหรับข้อเสนอของคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย รวม 7 แนวทาง คือ
1. การขอคืนเงินภาษีมูลค่าเพิ่มที่อุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายนำส่งกรมสรรพากรในปี 2542 เป็นเงินประมาณ1,207.3 ล้านบาท และให้ยกเว้นการนำส่งภาษีมูลค่าเพิ่มในปี 2543 เป็นเงินประมาณ 1,245.1 ล้านบาท
2. การถอดภาษีมูลค่าเพิ่มออกจากราคาจำหน่ายน้ำตาลทรายภายในประเทศ โดยให้ผู้บริโภคเป็นผู้รับภาระภาษีตามหลักการของระบบภาษีมูลค่าเพิ่ม ซึ่งจะช่วยให้ระบบอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายมีรายได้เพิ่มขึ้นปีละประมาณ 1,245.1 ล้านบาท
3. การกู้ยืมเงินจากรัฐบาลเพื่อชดเชยราคาอ้อยขั้นสุดท้ายฤดูการผลิตปี 2541/42 ที่ต่ำกว่าราคาอ้อยขั้นต้นในวงเงินประมาณ 733.2 ล้านบาท และเพื่อช่วยเหลือชาวไร่อ้อยให้ได้รับราคาอ้อยฤดูการผลิตปี 2542/43 คุ้มกับต้นทุนการผลิตในวงเงินประมาณ6,350 ล้านบาท
4. การรับจำนำน้ำตาลทรายส่วนที่จำหน่ายไปต่างประเทศ โดยรัฐบาลเข้าไปรับจำนำน้ำตาลทรายในระดับราคาที่เกษตรกรชาวไร่อ้อยสามารถอยู่ได้
5. การปรับปรุงราคาจำหน่ายน้ำตาลทรายภายในประเทศ โดยหากมีการปรับราคาจำหน่ายน้ำตาลทรายขาวและน้ำตาลทรายขาวบริสุทธิ์ จะช่วยให้ระบบอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายมีรายได้เพิ่มขึ้นปีละประมาณ 1,589 ล้านบาท ทุก ๆ 1 บาทต่อกิโลกรัมที่ปรับราคาเพิ่มขึ้น
6. การเพิ่มผลผลิตอ้อยโดยรัฐบาลเข้าไปลงทุนในระบบน้ำ ซึ่งหากรัฐบาลสามารถจัดทำระบบน้ำเข้าสู่พื้นที่ปลูกอ้อยได้อย่างน้อย 50% ของพื้นที่เพาะปลูกอ้อยทั้งหมด ระบบอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายจะมีรายได้เพิ่มขึ้นเนื่องจากต้นทุนการผลิตที่ลดลงปีละประมาณ 7,300 ล้านบาท
7. การกำหนดราคาจำหน่ายน้ำตาลทรายภายในประเทศให้เป็นไปตามกลไกตลาด โดยหากมีการกำหนดอัตราภาษีนำเข้าไว้ที่ระดับ 65% ราคาจำหน่ายน้ำตาลทรายในประเทศจะปรับเพิ่มขึ้นกิโลกรัมละประมาณ 3 บาท ซึ่งจะทำให้ระบบอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายมีรายได้เพิ่มขึ้นปีละประมาณ 4,766 ล้านบาท
นอกจากนี้ คณะรัฐมนตรีมอบหมายให้กระทรวงการคลัง กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ไปหารือร่วมกันให้ได้ข้อสรุปโดยเร็ว เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีกครั้ง
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ชุดนายชวน หลีกภัย)--วันที่ 2 พฤศจิกายน 2542--