ทำเนียบรัฐบาล--21 มิ.ย.--บิสนิวส์
คณะรัฐมนตรีเห็นชอบร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในพระ ราชบัญญัติการประกอบธุรกิจเงินทุน ธุรกิจหลักทรัพย์ และธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์ พ.ศ. 2522 ตามที่กระ ทรวงการคลังเสนอ เพื่ออนุญาตให้บริษัทเงินทุนที่มีใบอนุญาตไม่ครบ 4 ประเภท สามารถขอรับใบอนุ ญาตเพิ่มให้ครบทั้ง 4 ประเภท คือ กิจการเงินทุนเพื่อการพาณิชย์ กิจการเงินทุนเพื่อการพัฒนา กิจการ เงินทุนเพื่อการจำหน่ายและการบริโภค และกิจการเงินทุนเพื่อการเคหะ โดยมีหลักการ ดังนี้
1. เพื่อให้บริษัทเงินทุนสามารถปรับการดำเนินงานทั้งในด้านทรัพย์สินและหนี้สินของบริษัท ให้มีความคล่องตัวมากขึ้น และทันต่อภาวะการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจการเงินทั้งในประเทศและต่าง ประเทศ และลดความเสี่ยงที่บริษัทเงินทุนเหล่านี้จะได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของภาวะการณ์ ทางเศรษฐกิจดังกล่าวนอกจากนี้ ยังช่วยให้เกิดความเป็นธรรมในการแข่งระหว่างสถาบันการเงินมากขึ้น
2. เพื่อสนับสนุนให้บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์แยกการประกอบธุรกิจออกจากกันซึ่งเป็นนโย บายของทางการและการให้ใบอนุญาตประกอบธุรกิจเงินทุนเพิ่มเติมจะช่วยให้บริษัทเงินทุนที่เกิดจากการ แยกการประกอบธุรกิจสามารถขยายขอบเขตการประกอบธุรกิจได้
3. เพื่อเป็นโอกาสที่ทางการจะกำหนดเงื่อนไขในการยื่นคำขอรับใบอนุญาตเพิ่มเติมให้ บริษัทต้องเพิ่มทุนสูงขึ้น ซึ่งเป็นการเสริมสร้างฐานะของบริษัทให้มั่นคงยิ่งขึ้นร่างกฎกระทรวงดังกล่าวมี สาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้
1. บริษัทเงินทุนที่ประสงค์จะขอรับใบอนุญาตประกอบธุรกิจเงินทุนประเภทอื่นเพิ่มเติม จากประเภทที่ได้รับอนุญาตแล้ว จะต้องมีคุณสมบัติดังต่อไปนี้
1.1 เป็นบริษัทมหาชน จำกัด และได้รับอนุญาตให้ประกอบแต่เฉพาะธุรกิจเงินทุนและ หรือให้ประกอบธุรกิจอื่นตามมาตรา 20 (6) แห่งพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจเงินทุน ธุรกิจ หลักทรัพย์ และธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์ พ.ศ. 2522
1.2 มีทุนจดทะเบียนและทุนซึ่งชำระแล้วเป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด โดยจะต้องมี เงินกองทุนสุทธิไม่ต่ำกว่า 150 ล้านบาท และสามารถดำเนินการเพิ่มทุนอีก 100 ล้านบาท ต่อใบอนุ ญาตที่ได้รับเพิ่มเติมแต่ละประเภทได้ทันทีเมื่อมีการออกใบอนุญาต เว้นแต่จะมีเงินกองทุนสุทธิไม่ต่ำกว่า 500 ล้านบาท ณ วันที่ยื่นคำขอ
2. ให้บริษัทเงินทุนที่ได้รับอนุญาตเพื่อเพิ่มเติมชำระค่าธรรมเนียมใบอนุญาต 10,000 บาท ต่อประเภทกิจการ และจ่ายเงินสมทบให้กระทรวงการคลังอีกจำนวน 50 ล้านบาท ต่อ ประเภทกิจการ เพื่อเป็นรายได้แผ่นดิน
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดนายชวน หลีกภัย)--วันที่ 20 มิถุนายน 2539--
คณะรัฐมนตรีเห็นชอบร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในพระ ราชบัญญัติการประกอบธุรกิจเงินทุน ธุรกิจหลักทรัพย์ และธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์ พ.ศ. 2522 ตามที่กระ ทรวงการคลังเสนอ เพื่ออนุญาตให้บริษัทเงินทุนที่มีใบอนุญาตไม่ครบ 4 ประเภท สามารถขอรับใบอนุ ญาตเพิ่มให้ครบทั้ง 4 ประเภท คือ กิจการเงินทุนเพื่อการพาณิชย์ กิจการเงินทุนเพื่อการพัฒนา กิจการ เงินทุนเพื่อการจำหน่ายและการบริโภค และกิจการเงินทุนเพื่อการเคหะ โดยมีหลักการ ดังนี้
1. เพื่อให้บริษัทเงินทุนสามารถปรับการดำเนินงานทั้งในด้านทรัพย์สินและหนี้สินของบริษัท ให้มีความคล่องตัวมากขึ้น และทันต่อภาวะการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจการเงินทั้งในประเทศและต่าง ประเทศ และลดความเสี่ยงที่บริษัทเงินทุนเหล่านี้จะได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของภาวะการณ์ ทางเศรษฐกิจดังกล่าวนอกจากนี้ ยังช่วยให้เกิดความเป็นธรรมในการแข่งระหว่างสถาบันการเงินมากขึ้น
2. เพื่อสนับสนุนให้บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์แยกการประกอบธุรกิจออกจากกันซึ่งเป็นนโย บายของทางการและการให้ใบอนุญาตประกอบธุรกิจเงินทุนเพิ่มเติมจะช่วยให้บริษัทเงินทุนที่เกิดจากการ แยกการประกอบธุรกิจสามารถขยายขอบเขตการประกอบธุรกิจได้
3. เพื่อเป็นโอกาสที่ทางการจะกำหนดเงื่อนไขในการยื่นคำขอรับใบอนุญาตเพิ่มเติมให้ บริษัทต้องเพิ่มทุนสูงขึ้น ซึ่งเป็นการเสริมสร้างฐานะของบริษัทให้มั่นคงยิ่งขึ้นร่างกฎกระทรวงดังกล่าวมี สาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้
1. บริษัทเงินทุนที่ประสงค์จะขอรับใบอนุญาตประกอบธุรกิจเงินทุนประเภทอื่นเพิ่มเติม จากประเภทที่ได้รับอนุญาตแล้ว จะต้องมีคุณสมบัติดังต่อไปนี้
1.1 เป็นบริษัทมหาชน จำกัด และได้รับอนุญาตให้ประกอบแต่เฉพาะธุรกิจเงินทุนและ หรือให้ประกอบธุรกิจอื่นตามมาตรา 20 (6) แห่งพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจเงินทุน ธุรกิจ หลักทรัพย์ และธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์ พ.ศ. 2522
1.2 มีทุนจดทะเบียนและทุนซึ่งชำระแล้วเป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด โดยจะต้องมี เงินกองทุนสุทธิไม่ต่ำกว่า 150 ล้านบาท และสามารถดำเนินการเพิ่มทุนอีก 100 ล้านบาท ต่อใบอนุ ญาตที่ได้รับเพิ่มเติมแต่ละประเภทได้ทันทีเมื่อมีการออกใบอนุญาต เว้นแต่จะมีเงินกองทุนสุทธิไม่ต่ำกว่า 500 ล้านบาท ณ วันที่ยื่นคำขอ
2. ให้บริษัทเงินทุนที่ได้รับอนุญาตเพื่อเพิ่มเติมชำระค่าธรรมเนียมใบอนุญาต 10,000 บาท ต่อประเภทกิจการ และจ่ายเงินสมทบให้กระทรวงการคลังอีกจำนวน 50 ล้านบาท ต่อ ประเภทกิจการ เพื่อเป็นรายได้แผ่นดิน
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดนายชวน หลีกภัย)--วันที่ 20 มิถุนายน 2539--