1. เห็นชอบในการดำเนินโครงการประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต 2558 ซึ่งเป็นการดำเนินงานต่อเนื่องจากโครงการฯ ปีการผลิต 2557 เพื่อให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ไปดำเนินการได้ทันฤดูกาลเพาะปลูกที่จะเริ่มในเดือนพฤษภาคม 2558 วงเงินงบประมาณจำนวน 476,483,250 บาท โดยเป็นเงินงบประมาณคงเหลือในส่วนที่ ธ.ก.ส. ได้เบิกจ่ายจากสำนักงบประมาณ (สงป.) เพื่อดำเนินโครงการฯ ในปีการผลิต 2557 จำนวน 208,471,024.74 บาท และเสนอของบประมาณเพิ่มเติมอีกจำนวน 268,012,225.26บาท
2. ให้ ธ.ก.ส. ทดรองจ่ายเงินอุดหนุนค่าเบี้ยประกันภัยแทนรัฐบาลในส่วนของงบประมาณเพิ่มเติมจำนวน 268,012,225.26 บาท และเบิกเงินชดเชยตามจำนวนที่จ่ายจริงพร้อมด้วยอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 6 เดือน ประเภทบุคคลธรรมดาของ 4 ธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ (FDR) + 1% ในปีงบประมาณถัดไป
3. มอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.) โดยกรมส่งเสริมการเกษตรประสานงานกับสมาคมประกันภัยวินาศภัยไทย โดยผู้รับประกันภัยเอกชน (สมาคมฯ) ธ.ก.ส. และกระทรวงมหาดไทย (มท.) โดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ดำเนินการเชื่อมโยงข้อมูลเอกสารทะเบียนเกษตรกร (ทบก.) แบบประมวลรวบรวมความเสียหายและการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ประสบภัย (แบบ กษ 02) และแบบรายงานข้อมูลความเสียหายจริงของเกษตรกรผู้เอาประกันภัยข้าว เพื่อรับค่าสินไหมทดแทน (แบบ กษ 02 เพื่อการรับประกันภัย) ตลอดจนพัฒนาระบบฐานข้อมูลสารสนเทศที่เกี่ยวข้องกับระบบการรับประกันภัยและการจ่ายค่าสินไหมทดแทน และข้อมูลพื้นที่ประสบภัยตามการประกาศภัยของผู้ว่าราชการจังหวัดในพื้นที่ดังกล่าว
สาระสำคัญของเรื่อง
กค. รายงานว่า
1. กค. โดยสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง(สศค.) ซึ่งเป็นหน่วยงานหลักในการดำเนินโครงการประกันภัยข้าวนาปี ตั้งแต่ปีการผลิต 2554 – 2557 ได้พบว่าอุปสรรคสำคัญที่ทำให้ผลการดำเนินโครงการต่ำกว่าเป้าหมายในทุกปีการผลิตมาจากโครงการฯ ในปีการผลิตที่ผ่าน ๆ มาเริ่มรับประกันภัยหลังฤดูกาลเพาะปลูกข้าวของเกษตรกร โดยเริ่มดำเนินโครงการตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 27 กรกฎาคม 13 กันยายน และ 24 มิถุนายน สำหรับโครงการฯ ปีการผลิต 2554 2555 2556 และ 2557 ตามลำดับ ในขณะที่เกษตรกรส่วนใหญ่ (ยกเว้นเกษตรกรที่ปลูกในพื้นที่ภาคใต้ตอนล่าง) ได้เริ่มเพาะปลูกตั้งแต่เดือนพฤษภาคม ส่งผลให้เกษตรกรกลุ่มนี้ ซึ่งเป็นกลุ่มเกษตรกรจำนวนมากไม่สามารถเข้าร่วมโครงการฯ ในปีการผลิต 2556 และ 2557 ได้ เนื่องจากได้เริ่มเพาะปลูกไปแล้วเกิน 45 วันหลังจากวันเพาะปลูกวันแรก ซึ่งไม่ตรงกับเงื่อนไขของกรมธรรม์ นอกจากนี้ เกษตรกรจะใช้เวลาในการตัดสินใจซื้อกรมธรรม์ค่อนข้างมาก ประกอบกับระยะเวลาการประชาสัมพันธ์มีจำนวนจำกัด ปัจจัยดังกล่าวล้วนเป็นอุปสรรคสำคัญต่อความสำเร็จของโครงการฯ ดังนั้น หากการดำเนินโครงการฯ ปีการผลิต 2558มีความล่าช้าในการเริ่มดำเนินการเหมือนกับปีการผลิตผ่าน ๆ มา จะทำให้เกษตรกรจำนวนมากไม่สามารถเข้าร่วมโครงการฯ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีระยะเวลาในการประชาสัมพันธ์จำกัดไม่สามารถจูงใจให้เกษตรกรทำความเข้าใจในการดูแลความเสี่ยงด้วยตนเองโดยการประกันภัย และไม่มีเวลาให้เกษตรกรเพียงพอในการตัดสินใจซื้อกรมธรรม์
2.กค. โดย สศค. ธ.ก.ส. และสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (สำนักงาน คปภ.) ได้หารือร่วมกับ กษ. และสมาคมประกันวินาศภัยไทย โดยผู้รับประกันภัยเอกชน เพื่อดำเนินโครงการฯ ปีการผลิต 2558 โดยเห็นควรดำเนินการรับประกันภัยต่อเนื่องจากโครงการฯ ในปีการผลิต 2557 และเริ่มดำเนินการก่อนฤดูกาลเพาะปลูกข้าวของเกษตรกร ทั้งนี้ โครงการฯ ปีการผลิต 2558 มีหลักการแนวทางการรับประกันภัย และรายละเอียดการรับประกันภัย เช่นเดียวกับรูปแบบที่ได้ดำเนินการในปีการผลิต 2557 ดังนี้
รายละเอียดโครงการ การรับประกันปี 2558 ผู้รับประกันภัย สมาคมประกันวินาศภัยไทย โดยผู้รับ ประกันภัยเอกชน ระยะเวลาการขาย หลังจากที่คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติ และสิ้นสุดการขายกรมธรรม์ภายใน 30 วัน หลังจากเดือนที่มีปริมาณพื้นที่ เพาะปลูกสูงสุดผ่านไป อัตราเบี้ยประกันภัย (บาทต่อไร่) แบ่งพื้นที่รับประกันภัย 5 พื้นที่ตาม ระดับความเสี่ยง 115-450 บาทต่อไร่ - เบี้ยประกันภัยเบื้องต้น (กระทรวงการคลังได้เจรจาขอปรับ ลดอัตราเบี้ยประกันภัยจากสมาคมฯ ได้ต่ำกว่าโครงการฯ ปีการผลิต 2557 อยู่ที่ร้อยละ 4.8 ทั้งนี้ ปัจจัย สำคัญที่ส่งผลให้การลดลงของอัตรา - เบี้ยประกันภัยที่เกษตรกรต้องชำระ เบี้ยประกันภัยไม่มากเท่าที่ควรมา จากสัดส่วนพื้นที่ที่เข้าร่วมโครงการฯ ต่อพื้นที่เพาะปลูกรวมยังอยู่ในระดับต่ำ) 60-100 บาทต่อไร่ (เป็นอัตรา เดียวกับโครงการฯ ปีการผลิต 2557) - เบี้ยประกันภัย 64.12-383.64 บาทต่อไร่ ส่วนที่รัฐต้องอุดหนุน วงเงิน 476,483,250 บาท (โดยเป็น เงินงบประมาณคงเหลือในส่วนที่ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ การเกษตรได้เบิกจ่ายจากสำนัก งบประมาณเพื่อดำเนินโครงการฯ ใน ปีการผลิต 2557 จำนวน 208,471,024.74 บาท และเสนอขอ งบประมาณเพิ่มเติมอีกจำนวน 268,012,225.26 บาท) ซึ่งน้อยกว่า โครงการฯ ปีการผลิต 2557 จำนวน 18,422,971.50 บาท หรือคิดเป็น อัตราการลดลงร้อยละ 3.72 ความคุ้มครอง ภัย 7 ประเภท ได้แก่ น้ำท่วมหรือ ฝนตกหนัก ภัยแล้ง ฝนแล้งหรือฝนทิ้ง ช่วงลมพายุหรือพายุไต้ฝุ่น ภัย อากาศหนาวหรือน้ำค้างแข็ง ลูกเก็บ และไฟไหม้ รวมทั้งภัยศัตรูพืชและโรคระบาด อัตราค่าสินไหมทดแทน (บาทต่อไร่) 1,111 บาทต่อไร่ สำหรับภัย ธรรมชาติ 6 ภัย และวงเงินคุ้มครอง 555 บาท ต่อไร่ สำหรับภัยศัตรูพืช และโรคระบาด (เป็นอัตราเดียวกับ โครงการฯ ปีการผลิต 2557) พื้นที่เพาะปลูกเข้าร่วมโครงการ (ไร่) 1.5 ล้านไร่
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา (นายกรัฐมนตรี) วันที่ 28 เมษายน 2558--