ทำเนียบรัฐบาล--18 ก.ย.--บิสนิวส์
คณะรัฐมนตรีรับทราบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้รายงานสรุปสถานการณ์น้ำ การ คาดหมายการเกิดอุทกภัย ปี 2539 การเตรียมการช่วยเหลือ และการให้ความช่วยเหลือ สรุปได้ดังนี้
1. สถานการณ์น้ำ (ณ วันที่ 14 สิงหาคม 2539)
1.1 สภาพฝน ปริมาณฝนสะสมตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2539 ถึงวันที่ 13 สิงหาคม 2539 ในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือยังอยู่ในเกณฑ์ต่ำกว่าปี 2538 ยกเว้นภาคกลางที่มีฝน มากกว่าปี 2538 ส่วนในภาคตะวันออกมีปริมาณฝนเท่ากับปี 2538 เฉพาะในช่วงเดือนกรกฎาคมทุก ภาคยังมีปริมาณฝนต่ำกว่าปี 2538
1.2 สภาพน้ำในแม่น้ำสายหลัก ระดับน้ำยังอยู่ในเกณฑ์ปกติยังไม่มีแนวโน้มจะเกิด สภาพน้ำล้นตลิ่งแต่อย่างใด สภาพน้ำในแม่น้ำยมมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเล็กน้อย สภาพน้ำในแม่น้ำน่านเหนือ เขื่อนสิริกิติ์ บริเวณจังหวัดน่าน ปริมาณน้ำยังต่ำกว่าระดับตลิ่งประมาณ 4 เมตร ส่วนสภาพน้ำในทุ่งเจ้า พระยาตอนล่างทั้งสองฝั่งได้รักษาระดับน้ำให้อยู่ในเกณฑ์ต่ำกว่าระดับเก็บกักประมาณ 20 - 30 เซนติ เมตร เพื่อรองรับปริมาณน้ำฝนที่จะตกในช่วงต่อไป
1.3 สภาพน้ำในอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ ประมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำอยู่ในเกณฑ์ประมาณร้อย ละ 30 - 40 ของปริมาณน้ำใช้งานได้ ส่วนอ่างเก็บน้ำที่ยังคงมีปริมาณน้ำอยู่ในเกณฑ์สูง ได้แก่ อ่าง เก็บน้ำแก่งกระจาน ปราณบุรี และบางพระ ยังคงระบายน้ำอย่างต่อเนื่องเพื่อพร่องอ่างไว้รองรับปริ มาณฝนชุกปลายฤดู สำหรับอ่างเก็บน้ำกระเสียว ทับเสลา ลำพระเพลิง และแม่งัดสมบูรณ์ชล ถึงปัจจุบัน ได้ลดระดับลงเพียงพอแล้ว จึงจะระบายน้ำเฉพาะเท่าที่จำเป็นตามความต้องการใช้น้ำที่มีเท่านั้น
1.4 สภาพน้ำในอ่างเก็บน้ำเขื่อนภูมิพลและเขื่อนสิริกิติ์ ยังเหลือปริมาตรว่างที่จะรับน้ำ ได้อีกประมาณ 5,000 และ 4,000 ล้านลูกบาศก์เมตร ตามลำดับ ปัจจุบันน้ำไหลลงอ่างเก็บน้ำเขื่อน สิริกิติ์ตั้งแต่ต้นเดือนสิงหาคม เฉลี่ยประมาณวันละ 36 ล้านลูกบาศก์เมตร ยังไม่มีแนวโน้มที่จะมีปริมาณน้ำ ไหลลงอ่างฯ ในเกณฑ์สูงมาก
2. การคาดหมายการเกิดอุทกภัย ปี 2539 ยังไม่มีปัจจัยที่ทำให้เกิดอุทกภัยรุนแรงเหมือน กับปี 2538 อาจมีปริมาณน้ำมาก สูงล้นตลิ่งบ้าง ก็เหมือนกับปีที่มีน้ำมากตามปกติ และคาดว่าสามารถ ป้องกันได้ แต่สิ่งที่ควรเป็นห่วงเกี่ยวกับน้ำท่วมในปีนี้ คือ พื้นที่ที่อาจเกิดน้ำท่วมขังเนื่องจากฝนตกหนัก จนท่วมขังพื้นที่ที่มีระบบการระบายน้ำไม่ดี หรือไม่สามารถระบายน้ำออกทิ้งไปได้ทัน เช่น พื้นที่สวนส้ม ทางย่านรังสิต จังหวัดปทุมธานี ซึ่งต้องติดตามสภาวะฝนที่ตกในบริเวณภาคกลางโดยตรงและทำการแก้ไข สถานการณ์ให้ได้ทันท่วงทีต่อไป
3. การเตรียมการให้ความช่วยเหลือ
3.1 จัดทำแผนการป้องกันและแก้ไขปัญหาในช่วงฤดูฝนปี 2539 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ ให้การดำเนินการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ประสบอุทกภัย เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและทันต่อเหตุการณ์
3.2 แจ้งให้เกษตรและสหกรณ์จังหวัดหรือผู้แทนกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในจังหวัดที่ ยังไม่มีเกษตรและสหกรณ์จังหวัดทุกจังหวัด ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในสังกัดกระทรวงเกษตรและ สหกรณ์ จัดทำแผนการป้องกันและช่วยเหลือเกษตรกรผู้ประสบภัยธรรมชาติ ปี 2539 ในระดับจังหวัด ทุกจังหวัด
3.3 มอบหมายให้กรมป่าไม้ประสานงานกับสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรกำหนดแนว ทางการช่วยเหลือเกษตรกรที่ประสบอุทกภัยภายใต้แผนงานหรือโครงการเฉพาะต่าง ๆ เช่น แผนฟื้นฟู การเกษตร โครงการปรับโครงสร้างและระบบการผลิตการเกษตร และโครงการส่งเสริม เกษตรกรปลูกป่า
3.4 ดำเนินการตกกล้านารวม เพื่อเตรียมรับสถานการณ์ฝนทิ้งช่วง แก้ไขปัญหาการ ขาดแคลนกล้าข้าวสำหรับปักดำ ดำเนินการในพื้นที่ 7 จังหวัด ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้แก่ จังหวัด ขอนแก่น มหาสารคาม สุรินทร์ ศรีสะเกษ อุดรธานี ชัยภูมิ ร้อยเอ็ด จังหวัดละ 3 จุด ๆ ละ 100 ไร่ จำนวน 21 จุด (กล้า 1 ไร่ จะปักดำได้ 20 ไร่) ซึ่งจะสามารถปักดำได้ทั้งหมด 42,000 ไร่ ขณะนี้ ได้เตรียมเมล็ดพันธุ์ข้าวไว้แล้ว 728 ตัน นอกจากนี้ยังได้เตรียมการแนะนำและ ส่งเสริมให้เกษตรกรทำ นาหว่านสำหรับในพื้นที่แห้งแล้งซึ่งใช้ความชื้นในดินถึงแม้ขาดฝนก็สามารถงอกให้ผลผลิตได้
3.5 การปฏิบัติการฝนหลวงได้จัดเตรียมและปฏิบัติการฝนหลวงช่วยเหลือเกษตรกร รวม 6 คณะ
4. การช่วยเหลือ
4.1 กรณีเร่งด่วนฉุกเฉิน ให้สำนักงานเกษตรจังหวัด สำนักงานปศุสัตว์จังหวัด และ สำนักงานประมงจังหวัด ใช้เงินทดลองราชการตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราช การเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. 2538 ที่มีอยู่ที่จังหวัด ดังนี้ 1) ด้านพืช จังหวัดละ 2 ล้านบาท 2) ด้านปศุสัตว์ จังหวัดละ 1 ล้านบาท 3) ด้านประมง จังหวัดละ 1 ล้านบาท
4.2 การฟื้นฟูระยะต่อไป ให้หน่วยงานรวบรวมข้อมูลความเสียหายเสนอขออนุมัติเงินงบ กลางช่วยเหลือเพิ่มเติมตามหลักเกณฑ์
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดนายบรรหาร ศิลปอาชา)--วันที่ 17 กันยายน 2539--
คณะรัฐมนตรีรับทราบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้รายงานสรุปสถานการณ์น้ำ การ คาดหมายการเกิดอุทกภัย ปี 2539 การเตรียมการช่วยเหลือ และการให้ความช่วยเหลือ สรุปได้ดังนี้
1. สถานการณ์น้ำ (ณ วันที่ 14 สิงหาคม 2539)
1.1 สภาพฝน ปริมาณฝนสะสมตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2539 ถึงวันที่ 13 สิงหาคม 2539 ในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือยังอยู่ในเกณฑ์ต่ำกว่าปี 2538 ยกเว้นภาคกลางที่มีฝน มากกว่าปี 2538 ส่วนในภาคตะวันออกมีปริมาณฝนเท่ากับปี 2538 เฉพาะในช่วงเดือนกรกฎาคมทุก ภาคยังมีปริมาณฝนต่ำกว่าปี 2538
1.2 สภาพน้ำในแม่น้ำสายหลัก ระดับน้ำยังอยู่ในเกณฑ์ปกติยังไม่มีแนวโน้มจะเกิด สภาพน้ำล้นตลิ่งแต่อย่างใด สภาพน้ำในแม่น้ำยมมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเล็กน้อย สภาพน้ำในแม่น้ำน่านเหนือ เขื่อนสิริกิติ์ บริเวณจังหวัดน่าน ปริมาณน้ำยังต่ำกว่าระดับตลิ่งประมาณ 4 เมตร ส่วนสภาพน้ำในทุ่งเจ้า พระยาตอนล่างทั้งสองฝั่งได้รักษาระดับน้ำให้อยู่ในเกณฑ์ต่ำกว่าระดับเก็บกักประมาณ 20 - 30 เซนติ เมตร เพื่อรองรับปริมาณน้ำฝนที่จะตกในช่วงต่อไป
1.3 สภาพน้ำในอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ ประมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำอยู่ในเกณฑ์ประมาณร้อย ละ 30 - 40 ของปริมาณน้ำใช้งานได้ ส่วนอ่างเก็บน้ำที่ยังคงมีปริมาณน้ำอยู่ในเกณฑ์สูง ได้แก่ อ่าง เก็บน้ำแก่งกระจาน ปราณบุรี และบางพระ ยังคงระบายน้ำอย่างต่อเนื่องเพื่อพร่องอ่างไว้รองรับปริ มาณฝนชุกปลายฤดู สำหรับอ่างเก็บน้ำกระเสียว ทับเสลา ลำพระเพลิง และแม่งัดสมบูรณ์ชล ถึงปัจจุบัน ได้ลดระดับลงเพียงพอแล้ว จึงจะระบายน้ำเฉพาะเท่าที่จำเป็นตามความต้องการใช้น้ำที่มีเท่านั้น
1.4 สภาพน้ำในอ่างเก็บน้ำเขื่อนภูมิพลและเขื่อนสิริกิติ์ ยังเหลือปริมาตรว่างที่จะรับน้ำ ได้อีกประมาณ 5,000 และ 4,000 ล้านลูกบาศก์เมตร ตามลำดับ ปัจจุบันน้ำไหลลงอ่างเก็บน้ำเขื่อน สิริกิติ์ตั้งแต่ต้นเดือนสิงหาคม เฉลี่ยประมาณวันละ 36 ล้านลูกบาศก์เมตร ยังไม่มีแนวโน้มที่จะมีปริมาณน้ำ ไหลลงอ่างฯ ในเกณฑ์สูงมาก
2. การคาดหมายการเกิดอุทกภัย ปี 2539 ยังไม่มีปัจจัยที่ทำให้เกิดอุทกภัยรุนแรงเหมือน กับปี 2538 อาจมีปริมาณน้ำมาก สูงล้นตลิ่งบ้าง ก็เหมือนกับปีที่มีน้ำมากตามปกติ และคาดว่าสามารถ ป้องกันได้ แต่สิ่งที่ควรเป็นห่วงเกี่ยวกับน้ำท่วมในปีนี้ คือ พื้นที่ที่อาจเกิดน้ำท่วมขังเนื่องจากฝนตกหนัก จนท่วมขังพื้นที่ที่มีระบบการระบายน้ำไม่ดี หรือไม่สามารถระบายน้ำออกทิ้งไปได้ทัน เช่น พื้นที่สวนส้ม ทางย่านรังสิต จังหวัดปทุมธานี ซึ่งต้องติดตามสภาวะฝนที่ตกในบริเวณภาคกลางโดยตรงและทำการแก้ไข สถานการณ์ให้ได้ทันท่วงทีต่อไป
3. การเตรียมการให้ความช่วยเหลือ
3.1 จัดทำแผนการป้องกันและแก้ไขปัญหาในช่วงฤดูฝนปี 2539 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ ให้การดำเนินการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ประสบอุทกภัย เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและทันต่อเหตุการณ์
3.2 แจ้งให้เกษตรและสหกรณ์จังหวัดหรือผู้แทนกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในจังหวัดที่ ยังไม่มีเกษตรและสหกรณ์จังหวัดทุกจังหวัด ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในสังกัดกระทรวงเกษตรและ สหกรณ์ จัดทำแผนการป้องกันและช่วยเหลือเกษตรกรผู้ประสบภัยธรรมชาติ ปี 2539 ในระดับจังหวัด ทุกจังหวัด
3.3 มอบหมายให้กรมป่าไม้ประสานงานกับสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรกำหนดแนว ทางการช่วยเหลือเกษตรกรที่ประสบอุทกภัยภายใต้แผนงานหรือโครงการเฉพาะต่าง ๆ เช่น แผนฟื้นฟู การเกษตร โครงการปรับโครงสร้างและระบบการผลิตการเกษตร และโครงการส่งเสริม เกษตรกรปลูกป่า
3.4 ดำเนินการตกกล้านารวม เพื่อเตรียมรับสถานการณ์ฝนทิ้งช่วง แก้ไขปัญหาการ ขาดแคลนกล้าข้าวสำหรับปักดำ ดำเนินการในพื้นที่ 7 จังหวัด ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้แก่ จังหวัด ขอนแก่น มหาสารคาม สุรินทร์ ศรีสะเกษ อุดรธานี ชัยภูมิ ร้อยเอ็ด จังหวัดละ 3 จุด ๆ ละ 100 ไร่ จำนวน 21 จุด (กล้า 1 ไร่ จะปักดำได้ 20 ไร่) ซึ่งจะสามารถปักดำได้ทั้งหมด 42,000 ไร่ ขณะนี้ ได้เตรียมเมล็ดพันธุ์ข้าวไว้แล้ว 728 ตัน นอกจากนี้ยังได้เตรียมการแนะนำและ ส่งเสริมให้เกษตรกรทำ นาหว่านสำหรับในพื้นที่แห้งแล้งซึ่งใช้ความชื้นในดินถึงแม้ขาดฝนก็สามารถงอกให้ผลผลิตได้
3.5 การปฏิบัติการฝนหลวงได้จัดเตรียมและปฏิบัติการฝนหลวงช่วยเหลือเกษตรกร รวม 6 คณะ
4. การช่วยเหลือ
4.1 กรณีเร่งด่วนฉุกเฉิน ให้สำนักงานเกษตรจังหวัด สำนักงานปศุสัตว์จังหวัด และ สำนักงานประมงจังหวัด ใช้เงินทดลองราชการตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราช การเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. 2538 ที่มีอยู่ที่จังหวัด ดังนี้ 1) ด้านพืช จังหวัดละ 2 ล้านบาท 2) ด้านปศุสัตว์ จังหวัดละ 1 ล้านบาท 3) ด้านประมง จังหวัดละ 1 ล้านบาท
4.2 การฟื้นฟูระยะต่อไป ให้หน่วยงานรวบรวมข้อมูลความเสียหายเสนอขออนุมัติเงินงบ กลางช่วยเหลือเพิ่มเติมตามหลักเกณฑ์
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดนายบรรหาร ศิลปอาชา)--วันที่ 17 กันยายน 2539--