ทำเนียบรัฐบาล--29 ก.ย.--บิสนิวส์
คณะรัฐมนตรีอนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. (ยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มในเขตพื้นที่พัฒนาร่วมไทย - มาเลเซีย) และส่งให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ โดยมีสาระสำคัญคือ การยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มให้กับ
1. การขายสินค้าและการให้บริการที่กระทำในเขตพื้นที่พัฒนาร่วมฯ
2. การนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศที่นำเข้าไปและใช้ในเขตพื้นที่พัฒนาร่วมฯ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2535เป็นต้นไป
ทั้งนี้ กระทรวงการคลังรายงานว่า เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2533 รัฐบาลไทยและรัฐบาลมาเลเซียได้ลงนามในความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งมาเลเซียว่าด้วยธรรมนูญและเรื่องอื่น ๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับการจัดตั้งองค์กรร่วมไทย - มาเลเซีย เพื่อให้องค์กรร่วมฯ สวมสิทธิแทนรัฐบาลของประเทศทั้งสอง ในการแสวงหาประโยชน์จากทรัพยากรที่ไม่มีชีวิตในพื้นดินในเขตพื้นที่พัฒนาร่วมไทย - มาเลเซีย โดยในส่วนที่เกี่ยวกับการจัดเก็บภาษีทางอ้อมในเขตพื้นที่พัฒนาร่วมฯ นั้น ข้อ 17 (2)แห่งความตกลงดังกล่าวได้กำหนดให้รัฐบาลของประเทศทั้งสอง ยกเว้นภาษีการขายาทั่วไปในเขตพื้นที่ดังกล่าว และตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม2535 เป็นต้นมา ประเทศไทยได้เปลี่ยนแปลงระบบภาษีการขายทั่วไปจากระบบภาษีการค้ามาเป็นระบบภาษีมูลค่าเพิ่ม
ในการนี้ กรมสรรพากร กรมทรัพยากรธรณี และองค์กรร่วมไทย - มาเลเซีย ได้ร่วมกันหารือ แล้วมีมติว่าควรดำเนินการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มในเขตพื้นที่พัฒนาร่วมฯ เพื่อให้เป็นไปตามความตกลง และประเทศมาเลเซียได้ดำเนินการออกกฎหมายยกเว้นภาษีการขาย (SALES TAX) ซึ่งเป็นภาษีทำนองเดียวกับภาษีมูลค่าเพิ่มแล้วในปี พ.ศ. 2539 โดยกฎหมายดังกล่าวมีผลใช้บังคับตั้งแต่มีการจัดตั้งพื้นที่พัฒนาร่วมไทย - มาเลเซีย กล่าวคือ ตั้งแต่วันที่ 23 มกราคม 2534 และตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2535 ถึงปัจจุบัน มีมูลค่ากาารขายสินค้าและการให้บริการในเขตพื้นที่พัฒนาร่วมฯ ประมาณ 300 ล้านเหรียญสหรัฐ ทำให้มีจำนวนภาษีมูลค่าเพิ่มที่จะได้รับยกเว้นประมาณ 2.5 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการนำเข้าอุปกรณ์การสำรวจและผลิตปิโตรเลียมและการให้บริการสำรวจปิโตรเลียม
อนึ่ง กระทรวงอุตสาหกรรมมีข้อสังเกตว่า ในอนาคตหากกระทรวงการคลังจะพิจารณาออกมาตรการหรือกำหนดวิธีการเพิ่มเติมให้ทางราชการมีอำนาจพิจารณาอนุญาตให้บริษัทเอกชนที่สมัครใจ สามารถขอเข้ามาจดทะเบียนอยู่ภายใต้ระบบกฎหมายภาษีมูลค่าเพิ่มของไทยได้ก็น่าจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาทรัพยากรปิโตรเลียมในพื้นที่พัฒนาร่วมนี้มากยิ่งขึ้น
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ชุดนายชวน หลีกภัย)--วันที่ 29 กันยายน 2541--
คณะรัฐมนตรีอนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. (ยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มในเขตพื้นที่พัฒนาร่วมไทย - มาเลเซีย) และส่งให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ โดยมีสาระสำคัญคือ การยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มให้กับ
1. การขายสินค้าและการให้บริการที่กระทำในเขตพื้นที่พัฒนาร่วมฯ
2. การนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศที่นำเข้าไปและใช้ในเขตพื้นที่พัฒนาร่วมฯ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2535เป็นต้นไป
ทั้งนี้ กระทรวงการคลังรายงานว่า เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2533 รัฐบาลไทยและรัฐบาลมาเลเซียได้ลงนามในความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งมาเลเซียว่าด้วยธรรมนูญและเรื่องอื่น ๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับการจัดตั้งองค์กรร่วมไทย - มาเลเซีย เพื่อให้องค์กรร่วมฯ สวมสิทธิแทนรัฐบาลของประเทศทั้งสอง ในการแสวงหาประโยชน์จากทรัพยากรที่ไม่มีชีวิตในพื้นดินในเขตพื้นที่พัฒนาร่วมไทย - มาเลเซีย โดยในส่วนที่เกี่ยวกับการจัดเก็บภาษีทางอ้อมในเขตพื้นที่พัฒนาร่วมฯ นั้น ข้อ 17 (2)แห่งความตกลงดังกล่าวได้กำหนดให้รัฐบาลของประเทศทั้งสอง ยกเว้นภาษีการขายาทั่วไปในเขตพื้นที่ดังกล่าว และตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม2535 เป็นต้นมา ประเทศไทยได้เปลี่ยนแปลงระบบภาษีการขายทั่วไปจากระบบภาษีการค้ามาเป็นระบบภาษีมูลค่าเพิ่ม
ในการนี้ กรมสรรพากร กรมทรัพยากรธรณี และองค์กรร่วมไทย - มาเลเซีย ได้ร่วมกันหารือ แล้วมีมติว่าควรดำเนินการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มในเขตพื้นที่พัฒนาร่วมฯ เพื่อให้เป็นไปตามความตกลง และประเทศมาเลเซียได้ดำเนินการออกกฎหมายยกเว้นภาษีการขาย (SALES TAX) ซึ่งเป็นภาษีทำนองเดียวกับภาษีมูลค่าเพิ่มแล้วในปี พ.ศ. 2539 โดยกฎหมายดังกล่าวมีผลใช้บังคับตั้งแต่มีการจัดตั้งพื้นที่พัฒนาร่วมไทย - มาเลเซีย กล่าวคือ ตั้งแต่วันที่ 23 มกราคม 2534 และตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2535 ถึงปัจจุบัน มีมูลค่ากาารขายสินค้าและการให้บริการในเขตพื้นที่พัฒนาร่วมฯ ประมาณ 300 ล้านเหรียญสหรัฐ ทำให้มีจำนวนภาษีมูลค่าเพิ่มที่จะได้รับยกเว้นประมาณ 2.5 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการนำเข้าอุปกรณ์การสำรวจและผลิตปิโตรเลียมและการให้บริการสำรวจปิโตรเลียม
อนึ่ง กระทรวงอุตสาหกรรมมีข้อสังเกตว่า ในอนาคตหากกระทรวงการคลังจะพิจารณาออกมาตรการหรือกำหนดวิธีการเพิ่มเติมให้ทางราชการมีอำนาจพิจารณาอนุญาตให้บริษัทเอกชนที่สมัครใจ สามารถขอเข้ามาจดทะเบียนอยู่ภายใต้ระบบกฎหมายภาษีมูลค่าเพิ่มของไทยได้ก็น่าจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาทรัพยากรปิโตรเลียมในพื้นที่พัฒนาร่วมนี้มากยิ่งขึ้น
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ชุดนายชวน หลีกภัย)--วันที่ 29 กันยายน 2541--