ทำเนียบรัฐบาล--31 ส.ค.--บิสนิวส์
คณะรัฐมนตรีเห็นชอบตามข้อเสนอของกระทรวงการต่างประเทศเรื่อง ร่างความตกลงว่าด้วยการส่งเสริมและคุ้มครองการลงทุนต่างตอบแทนระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งรัฐอิสราเอล โดยอนุมัติในหลักการให้กระทรวงการต่างประเทศปรับปรุงถ้อยคำในร่างความตกลงฯ ที่ไม่เป็นการเปลี่ยนแปลงสาระสำคัญของร่างความตกลงฯ ก่อนที่จะจัดให้มีการลงนาม และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ หรือผู้ได้รับมอบอำนาจจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศลงนามความตกลงฯ ในนามรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย และให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการทางการทูตให้ความตกลงฯ ฉบับนี้มีผลใช้บังคับต่อไป
ทั้งนี้ ความตกลงฯ ดังกล่าว มีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้
1. ทั้งสองฝ่ายตกลงให้มีการขยายความร่วมมือทางเศรษฐกิจเพื่อประโยชน์ระหว่างกัน และมุ่งมั่นที่จะสร้างสภาพแวดล้อมอันเอื้ออำนวยต่อการลงทุนของภาคีคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่ง และจะให้การประติบัติอย่างยุติธรรมและเท่าเทียมกัน รวมทั้งให้ความคุ้มครองการลงทุนในดินแดนของตนอย่างเต็มที่
2. ทั้งสองฝ่ายจะให้การประติบัติต่อนักลงทุนของภาคีคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งไม่ด้อยไปกว่าการประติบัติต่อนักลงทุนของชาติ หรือนักลงทุนของประเทศที่สาม
3. การลงทุนของคนชาติหรือบริษัทของภาคีคู่สัญญาจะได้รับการชดใช้ค่าทดแทนหากเกิดความสูญเสียอันเนื่องมาจากสงคราม การขัดกันด้วยอาวุธ การปฏิวัติ การจราจล ฯลฯ โดยการชำระเงินทดแทนจะต้องเป็นไปอย่างทันทีและสามารถโอนได้โดยเสรีในสกุลเงินตราที่ใช้โอนได้โดยเสรี
4. ภาคีคู่สัญญาจะให้ความคุ้มครองการลงทุนของภาคีคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งไม่ให้ถูกเวนคืน ถูกโอนเป็นของรัฐ หรือมาตรการอื่นใดที่มีผลเท่าเทียมกับการเวนคืนหรือการโอนเป็นของรัฐ เว้นแต่ว่าจะเป็นไปเพื่อวัตถุประสงค์สาธารณะเกี่ยวกับความต้องการภายในของภาคีคู่สัญญาบนพื้นฐานของการไม่เลือกประติบัติ และมีการชำระค่าทดแทนโดยพลันและเพียงพอ
5. การโอนผลตอบแทนจากการลงทุนจะสามารถกระทำได้โดยเสรีตามอัตราแลกเปลี่ยนราคาตลาดในวันที่มีการโอน
6. การระงับข้อพิพาทเกี่ยวกับการลงทุนระหว่างผู้ลงทุนกับภาคีคู่สัญญาให้เป็นไปโดยการเจรจา หากไม่สามารถบรรลุผลภายใน 6 เดือน ผู้ลงทุนอาจเลือกที่จะเสนอข้อพิจารณาให้ศาลภายในประเทศภาคีคู่สัญญาพิจารณาหรือให้มีการระงับโดยกระบวนการอนุญาโตตุลาการ ซึ่งคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการจะมีผลผูกพันคู่กรณี
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ชุดนายชวน หลีกภัย)--วันที่ 31 สิงหาคม 2542--
คณะรัฐมนตรีเห็นชอบตามข้อเสนอของกระทรวงการต่างประเทศเรื่อง ร่างความตกลงว่าด้วยการส่งเสริมและคุ้มครองการลงทุนต่างตอบแทนระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งรัฐอิสราเอล โดยอนุมัติในหลักการให้กระทรวงการต่างประเทศปรับปรุงถ้อยคำในร่างความตกลงฯ ที่ไม่เป็นการเปลี่ยนแปลงสาระสำคัญของร่างความตกลงฯ ก่อนที่จะจัดให้มีการลงนาม และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ หรือผู้ได้รับมอบอำนาจจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศลงนามความตกลงฯ ในนามรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย และให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการทางการทูตให้ความตกลงฯ ฉบับนี้มีผลใช้บังคับต่อไป
ทั้งนี้ ความตกลงฯ ดังกล่าว มีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้
1. ทั้งสองฝ่ายตกลงให้มีการขยายความร่วมมือทางเศรษฐกิจเพื่อประโยชน์ระหว่างกัน และมุ่งมั่นที่จะสร้างสภาพแวดล้อมอันเอื้ออำนวยต่อการลงทุนของภาคีคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่ง และจะให้การประติบัติอย่างยุติธรรมและเท่าเทียมกัน รวมทั้งให้ความคุ้มครองการลงทุนในดินแดนของตนอย่างเต็มที่
2. ทั้งสองฝ่ายจะให้การประติบัติต่อนักลงทุนของภาคีคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งไม่ด้อยไปกว่าการประติบัติต่อนักลงทุนของชาติ หรือนักลงทุนของประเทศที่สาม
3. การลงทุนของคนชาติหรือบริษัทของภาคีคู่สัญญาจะได้รับการชดใช้ค่าทดแทนหากเกิดความสูญเสียอันเนื่องมาจากสงคราม การขัดกันด้วยอาวุธ การปฏิวัติ การจราจล ฯลฯ โดยการชำระเงินทดแทนจะต้องเป็นไปอย่างทันทีและสามารถโอนได้โดยเสรีในสกุลเงินตราที่ใช้โอนได้โดยเสรี
4. ภาคีคู่สัญญาจะให้ความคุ้มครองการลงทุนของภาคีคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งไม่ให้ถูกเวนคืน ถูกโอนเป็นของรัฐ หรือมาตรการอื่นใดที่มีผลเท่าเทียมกับการเวนคืนหรือการโอนเป็นของรัฐ เว้นแต่ว่าจะเป็นไปเพื่อวัตถุประสงค์สาธารณะเกี่ยวกับความต้องการภายในของภาคีคู่สัญญาบนพื้นฐานของการไม่เลือกประติบัติ และมีการชำระค่าทดแทนโดยพลันและเพียงพอ
5. การโอนผลตอบแทนจากการลงทุนจะสามารถกระทำได้โดยเสรีตามอัตราแลกเปลี่ยนราคาตลาดในวันที่มีการโอน
6. การระงับข้อพิพาทเกี่ยวกับการลงทุนระหว่างผู้ลงทุนกับภาคีคู่สัญญาให้เป็นไปโดยการเจรจา หากไม่สามารถบรรลุผลภายใน 6 เดือน ผู้ลงทุนอาจเลือกที่จะเสนอข้อพิจารณาให้ศาลภายในประเทศภาคีคู่สัญญาพิจารณาหรือให้มีการระงับโดยกระบวนการอนุญาโตตุลาการ ซึ่งคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการจะมีผลผูกพันคู่กรณี
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ชุดนายชวน หลีกภัย)--วันที่ 31 สิงหาคม 2542--