ทำเนียบรัฐบาล--6 ก.ย.--บิสนิวส์
คณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอในบันทึกความเข้าใจลับเกี่ยวกับ ความตกลงว่าด้วยบริการเดินอากาศระหว่างคณะผู้แทนรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับฟิลิปปินส์ ก่อนมอบ ให้กระทรวงการต่าง-ประเทศดำเนินการให้มีการแลกเปลี่ยนหนังสือทางการทูตต่อไป สาระสำคัญ ของความตกลงมีดังนี้
1.การกำหนดสายการบิน ทั้งสองฝ่ายตกลงปรับปรุงข้อ 2 ของความตกลงว่าด้วยบริการ เดินอากาศในเรื่องสายการบินที่กำหนด โดยระบุในบันทึกความเข้าใจลับที่จัดทำระหว่างกันว่า ทั้งสอง ฝ่ายตกลงจะกำหนดสายการบินได้ไม่เกินฝ่ายละสองสายการบิน นอกจากนี้ ยังได้ตกลงปรับปรุงข้อ 3 ข้อ 5 และวรรค ค. ของภาคผนวกเส้นทางบินท้ายความตกลงว่าด้วยบริการเดินอากาศฯ เพื่อเปลี่ยนคำว่า "สายการบิน(airline)" เป็น "สายการบินสายหนึ่งหรือหลายสาย(an airline or airlines)" เพื่อให้สอดคล้องกับการปรับปรุงข้อ 2 ของความตกลงฯ ด้วย
2.ใบพิกัดเส้นทางบินแนบท้ายความตกลงฯ ทั้งสองฝ่ายได้ตกลงเพิ่มเส้นทางบินระหว่างกัน อีกฝ่ายละ 2 เส้นทาง คือ
ก) เส้นทางที่ 3 เพื่อให้สายการบินของทั้งสองฝ่ายสามารถทำการบินระหว่างจุดในประเทศ ไทยกับเซบูของฟิลิปปินส์ จึงได้กำหนดเส้นทาง ดังนี้
เส้นทางของไทย หนึ่งจุดในประเทศไทย - เซบู และกลับ
เส้นทางของฟิลิปปินส์ เซบู - หนึ่งจุดในประเทศไทย และกลับ
ข)เส้นทางที่4เพื่อให้สายการบินของทั้งสองฝ่ายสามารถดำเนินการขนส่งสินค้า ระหว่าง กันจึงได้กำหนดเส้นทาง ดังนี้
เส้นทางของไทยจุดในไทย - จุดในฟิลิปปินส์ และกลับ
เส้นทางของฟิลิปปินส์จุดในฟิลิปปินส์ - จุดในไทย และกลับ
3.ความจุความถี่ ทั้งสองฝ่ายตกลงปรับปรุงระบบความถี่ จากเดิมที่กำหนดเป็นฝ่ายละ 9 เที่ยว/สัปดาห์ ด้วยอากาศยานแบบ DC10 มาเป็นการกำหนดความจุเป็นจำนวนที่นั่ง/สัปดาห์ (Seat Capacity) เพื่อให้สายการบินของทั้งสองฝ่ายมีความคล่องตัวมากขึ้นในการนำอากาศยานแบบต่าง ๆ มาใช้ทำการบินในเส้นทางระหว่างกันรวมทั้งการนำอากาศยานแบบ A330 ของไทยมาใช้ทำการบินด้วย ทั้งสองฝ่ายจึงได้ตกลงกันกำหนดจำนวนที่นั่ง/สัปดาห์ ในเส้นทางต่าง ๆ ดังนี้
3.1เส้นทางที่ 1 เส้นทางบินพ้นอาณาเขตของภาคีผู้ทำความตกลง แต่ละฝ่ายสามารถทำ การบินได้ ฝ่ายละ 2,850 ที่นั่ง/สัปดาห์ ในแต่ละทิศทาง
3.2เส้นทางที่2เส้นทางบินไป-กลับระหว่างกัน (turnaround) แต่ละฝ่ายสามารถ ทำการบินได้ฝ่ายละ 850 ที่นั่ง/สัปดาห์ ในแต่ละทิศทาง
3.3เส้นทางที่ 3 เส้นทางระหว่างเซบู กับหนึ่งจุดในไทย แต่ละฝ่ายสามารถทำการบินได้ ฝ่ายละ 850 ที่นั่ง/สัปดาห์ ในแต่ละทิศทาง
3.4 เส้นทางที่ 4 เส้นทางสำหรับขนส่งสินค้าระหว่างจุดในไทยกับจุดในฟิลิปปินส์ แต่ละฝ่าย สามารถทำ การบินด้วยพื้นที่ระหว่างบรรทุก 300 ตัน/สัปดาห์ ในแต่ละทิศทาง
4. คณะผู้แทนฟิลิปปินส์ได้ร้องขอให้ฝ่ายไทย ยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มให้กับสายการบินฟิลิปปินส์ แอร์ไลนส์ในลักษณะต่างตอบแทน โดยอ้างว่าฝ่ายฟิลิปปินส์ได้ยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มให้กับบริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) แล้ว ซึ่งคณะผู้แทนไทยได้ชี้แจงให้ฝ่ายฟิลิปปินส์ทราบว่า ในทางปฏิบัติประเทศไทยได้ ใช้หลักการต่างตอบแทนกับทุกประเทศอยู่แล้ว สำหรับฟิลิปปินส์นั้น เนื่องจากฟิลิปปินส์ยังเรียกเก็บ Common Carrier Taxes จากบริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) ซึ่งฝ่ายไทยถือเป็นภาษีมูลค่าเพิ่ม ประเภทหนึ่ง ดังนั้น ตามหลักการปฏิบัติต่างตอบแทนไทยจึงยังคงเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากสาย การบินฟิลิปปินส์แอร์ไลนส์อยู่ ซึ่งฝ่ายฟิลิปปินส์ได้รับทราบ
5. ผลการเจรจาดังกล่าว คณะผู้แทนของทั้งสองฝ่ายได้จัดทำเป็นบันทึกความเข้าใจลับ และ ลงนามร่วมกันเมื่อวันที่24 พฤษภาคม 2538 จะต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบก่อนมอบกระ ทรวงการต่างประเทศดำเนินการให้มีการแลกเปลี่ยนหนังสือทางการทูตต่อไป
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดนายบรรหาร ศิลปอาชา)--วันที่ 5 กันยายน 2538--
คณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอในบันทึกความเข้าใจลับเกี่ยวกับ ความตกลงว่าด้วยบริการเดินอากาศระหว่างคณะผู้แทนรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับฟิลิปปินส์ ก่อนมอบ ให้กระทรวงการต่าง-ประเทศดำเนินการให้มีการแลกเปลี่ยนหนังสือทางการทูตต่อไป สาระสำคัญ ของความตกลงมีดังนี้
1.การกำหนดสายการบิน ทั้งสองฝ่ายตกลงปรับปรุงข้อ 2 ของความตกลงว่าด้วยบริการ เดินอากาศในเรื่องสายการบินที่กำหนด โดยระบุในบันทึกความเข้าใจลับที่จัดทำระหว่างกันว่า ทั้งสอง ฝ่ายตกลงจะกำหนดสายการบินได้ไม่เกินฝ่ายละสองสายการบิน นอกจากนี้ ยังได้ตกลงปรับปรุงข้อ 3 ข้อ 5 และวรรค ค. ของภาคผนวกเส้นทางบินท้ายความตกลงว่าด้วยบริการเดินอากาศฯ เพื่อเปลี่ยนคำว่า "สายการบิน(airline)" เป็น "สายการบินสายหนึ่งหรือหลายสาย(an airline or airlines)" เพื่อให้สอดคล้องกับการปรับปรุงข้อ 2 ของความตกลงฯ ด้วย
2.ใบพิกัดเส้นทางบินแนบท้ายความตกลงฯ ทั้งสองฝ่ายได้ตกลงเพิ่มเส้นทางบินระหว่างกัน อีกฝ่ายละ 2 เส้นทาง คือ
ก) เส้นทางที่ 3 เพื่อให้สายการบินของทั้งสองฝ่ายสามารถทำการบินระหว่างจุดในประเทศ ไทยกับเซบูของฟิลิปปินส์ จึงได้กำหนดเส้นทาง ดังนี้
เส้นทางของไทย หนึ่งจุดในประเทศไทย - เซบู และกลับ
เส้นทางของฟิลิปปินส์ เซบู - หนึ่งจุดในประเทศไทย และกลับ
ข)เส้นทางที่4เพื่อให้สายการบินของทั้งสองฝ่ายสามารถดำเนินการขนส่งสินค้า ระหว่าง กันจึงได้กำหนดเส้นทาง ดังนี้
เส้นทางของไทยจุดในไทย - จุดในฟิลิปปินส์ และกลับ
เส้นทางของฟิลิปปินส์จุดในฟิลิปปินส์ - จุดในไทย และกลับ
3.ความจุความถี่ ทั้งสองฝ่ายตกลงปรับปรุงระบบความถี่ จากเดิมที่กำหนดเป็นฝ่ายละ 9 เที่ยว/สัปดาห์ ด้วยอากาศยานแบบ DC10 มาเป็นการกำหนดความจุเป็นจำนวนที่นั่ง/สัปดาห์ (Seat Capacity) เพื่อให้สายการบินของทั้งสองฝ่ายมีความคล่องตัวมากขึ้นในการนำอากาศยานแบบต่าง ๆ มาใช้ทำการบินในเส้นทางระหว่างกันรวมทั้งการนำอากาศยานแบบ A330 ของไทยมาใช้ทำการบินด้วย ทั้งสองฝ่ายจึงได้ตกลงกันกำหนดจำนวนที่นั่ง/สัปดาห์ ในเส้นทางต่าง ๆ ดังนี้
3.1เส้นทางที่ 1 เส้นทางบินพ้นอาณาเขตของภาคีผู้ทำความตกลง แต่ละฝ่ายสามารถทำ การบินได้ ฝ่ายละ 2,850 ที่นั่ง/สัปดาห์ ในแต่ละทิศทาง
3.2เส้นทางที่2เส้นทางบินไป-กลับระหว่างกัน (turnaround) แต่ละฝ่ายสามารถ ทำการบินได้ฝ่ายละ 850 ที่นั่ง/สัปดาห์ ในแต่ละทิศทาง
3.3เส้นทางที่ 3 เส้นทางระหว่างเซบู กับหนึ่งจุดในไทย แต่ละฝ่ายสามารถทำการบินได้ ฝ่ายละ 850 ที่นั่ง/สัปดาห์ ในแต่ละทิศทาง
3.4 เส้นทางที่ 4 เส้นทางสำหรับขนส่งสินค้าระหว่างจุดในไทยกับจุดในฟิลิปปินส์ แต่ละฝ่าย สามารถทำ การบินด้วยพื้นที่ระหว่างบรรทุก 300 ตัน/สัปดาห์ ในแต่ละทิศทาง
4. คณะผู้แทนฟิลิปปินส์ได้ร้องขอให้ฝ่ายไทย ยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มให้กับสายการบินฟิลิปปินส์ แอร์ไลนส์ในลักษณะต่างตอบแทน โดยอ้างว่าฝ่ายฟิลิปปินส์ได้ยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มให้กับบริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) แล้ว ซึ่งคณะผู้แทนไทยได้ชี้แจงให้ฝ่ายฟิลิปปินส์ทราบว่า ในทางปฏิบัติประเทศไทยได้ ใช้หลักการต่างตอบแทนกับทุกประเทศอยู่แล้ว สำหรับฟิลิปปินส์นั้น เนื่องจากฟิลิปปินส์ยังเรียกเก็บ Common Carrier Taxes จากบริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) ซึ่งฝ่ายไทยถือเป็นภาษีมูลค่าเพิ่ม ประเภทหนึ่ง ดังนั้น ตามหลักการปฏิบัติต่างตอบแทนไทยจึงยังคงเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากสาย การบินฟิลิปปินส์แอร์ไลนส์อยู่ ซึ่งฝ่ายฟิลิปปินส์ได้รับทราบ
5. ผลการเจรจาดังกล่าว คณะผู้แทนของทั้งสองฝ่ายได้จัดทำเป็นบันทึกความเข้าใจลับ และ ลงนามร่วมกันเมื่อวันที่24 พฤษภาคม 2538 จะต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบก่อนมอบกระ ทรวงการต่างประเทศดำเนินการให้มีการแลกเปลี่ยนหนังสือทางการทูตต่อไป
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดนายบรรหาร ศิลปอาชา)--วันที่ 5 กันยายน 2538--