ทำเนียบรัฐบาล--29 มี.ค.--บิสนิวส์
คณะรัฐมนตรีอนุมัติหลักการแผนแม่บทการพัฒนากิจการโทรคมนาคม ตามที่กระทรวงคมนาคม เสนอสรุปได้ดังนี้
แผนระยะยาว ได้กำหนดเป้าหมายของการพัฒนากิจการโทรคมนาคมที่สำคัญไว้ ดังนี้
1. ให้มีปริมาณโทรศัพท์เพียงพอกับความต้องการของประชาชน และกระจายทั่วถึงทุกชุมชนใน ระยะเวลารวดเร็ว
2. คุ้มครองผู้บริโภคให้ได้รับบริการที่มีคุณภาพอยู่ในระดับมาตรฐานสากล และมีอัตราค่าบริ การที่เหมาะสม
3. เพิ่มความสามารถในการพัฒนากิจการโทรคมนาคมของประเทศ เพื่อพัฒนาให้ประเทศ ไทยเป็นศูนย์กลางด้านการโทรคมนาคมในภูมิภาค และอยู่ในสภาพที่แข่งขันกับนานาประเทศได้
4. ส่งเสริมกิจกรรมวิชาการด้านโทรคมนาคม และวางรากฐานเพื่อนำไปสู่การพัฒนาอุต สาหกรรมโทรคมนาคมของไทย และเพื่อให้บรรลุเป้าหมายของการพัฒนากิจการโทรคมนาคม จึงกำหนด นโยบายดำเนินการที่สำคัญ 3 ข้อ คือ นโยบายการแยกบทบาทขององค์กรกำกับดูแล และองค์กรระ ดับบริการ นโยบายการเปิดเสรีธุรกิจโทรคมนาคม และนโยบายการแปรรูปองค์การโทรศัพท์แห่งประ เทศไทย และการสื่อสารแห่งประเทศไทย และเพิ่มบทบาทของภาคเอกชน ซึ่งมีสาระสำคัญ ดังนี้
1. นโยบายการแยกบทบาทขององค์กรกำกับดูแล และองค์กรระดับบริการ
1.1 กำหนดบทบาทและหน้าที่ความรับผิดชอบขององค์กรด้านโทรคมนาคมให้ชัดเจน
- ภารกิจระดับนโยบายหลักระดับชาติ ให้อยู่ในความรับผิดชอบของกระทรวงคมนาคม
- ภารกิจระดับกำกับดูแลให้อยู่ในความรับผิดชอบของคณะกรรมการการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) ซึ่งจะจัดตั้งขึ้นใหม่
- ภารกิจระดับปฏิบัติการ ให้อยู่ในความรับผิดชอบของ ทศท. และ กสท. (ซึ่งทั้งสองหน่วย งานนี้จะแปรรูปเป็นบริษัทจำกัด และบริษัทมหาชนต่อไป) และบริษัทเอกชนอื่น ๆ
- การบริหารความถี่วิทยุ ให้อยู่ในความรับผิดชอบของกรมไปรษณีย์โทรเลข และให้กรม ไปรษณีย์โทรเลขคงสถานะเดิมต่อไป
- ภารกิจในการออกใบอนุญาตประกอบการธุรกิจโทรคมนาคมให้อยู่ในความรับผิดชอบของ กทช. หรือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม หรือคณะรัฐมนตรี ทั้งนี้ ตามความสำคัญ ลักษณะและประ เภทของบริการ
1.2 การจัดตั้งคณะกรรมการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) มีบทบาทและหน้าที่ ดังนี้
- คุ้มครองผู้รับบริการให้ได้รับบริการอย่างทั่วถึง มีประสิทธิภาพในอัตราค่าบริการที่เป็น ธรรม
- กำกับดูแลและส่งเสริมให้มีการแข่งขันที่เป็นธรรมในกิจการโทรคมนาคม รวมทั้งการกระ จายการ-พัฒนากิจการโทรคมนาคมให้เหมาะสม
- กำหนดกฎเกณฑ์ กติกา ระเบียบ ข้อบังคับ เกี่ยวกับการดำเนินกิจการโทรคมนาคม
- ออกใบอนุญาตตามที่กฎหมายกำหนด
- ส่งเสริม สนับสนุนการพัฒนาอุตสาหกรรมโทรคมนาคม 2. นโยบายการเปิดเสรีธุรกิจโทรคมนาคม
2.1 ให้ ทศท. (ซึ่งจะแปรรูปเป็นบริษัทจำกัด และบริษัทมหาชนต่อไป) กสท. (ซึ่งจะแปรรูป เป็นบริษัทจำกัด และบริษัทมหาชนต่อไป) และกลุ่มบริษัทเอกชนรายใหม่อีก 2 กลุ่ม แข่งขันกันเต็มที่ในทุก บริการและทุกพื้นที่
2.2 เนื่องจากฐานะเริ่มต้นของแต่ละกลุ่มมีความแตกต่างกันในการแข่งขัน เพื่อไม่ให้แต่ละ กลุ่มมีความได้เปรียบเสียเปรียบกันมากเกินไป รวมทั้งเป็นการให้โอกาสการแข่งขันในระยะยาวอย่างเป็น ธรรม จึงได้กำหนดมาตรการในระยะ 5 ปีแรก นับจากวันเริ่มเปิดการแข่งขันไว้ ดังนี้
- ให้การคุ้มครองกิจการบริการโทรคมนาคมทางไกลในประเทศของ ทศท. และบริการ โทรคมนาคมทางไกลระหว่างประเทศของ กสท. โดยมีข้อยกเว้นในบางกรณีดังระบุในแผนแม่บทฯ
- ในส่วนบริการโทรคมนาคมท้องถิ่น ให้มีการแข่งขันอย่างเสรีในทุกบริการและทุกพื้นที่ โดย ทศท. จะไม่ขยายเลขหมายโทรศัพท์เพิ่มจากที่มีอยู่ โดยมีข้อยกเว้นในบางกรณีดังระบุในแผนแม่บทฯ 3. นโยบายการแปรรูปองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย และการสื่อสารแห่งประเทศไทย และเพิ่มบท บาทของภาคเอกชน
3.1 ให้แปรรูป ทศท. โดยแบ่งเป็น 2 ส่วน ดังนี้
3.1.1 ให้ส่วนที่ 1 เป็นรัฐวิสาหกิจในรูปบริษัทจำกัด โดยกระทรวงการคลังถือหุ้นทั้งหมด ซึ่ง ต่อไปนี้จะเรียกว่า ทศท. 1 รับผิดชอบบริการโทรคมนาคมทางไกลในประเทศ และรับผิดชอบบริการ โทรศัพท์ระหว่างประเทศเท่าที่มีอยู่เดิม และบริการโทรคมนาคมระหว่างประเทศที่จะได้รับเพิ่มเติมตาม แผนแม่บทฯ นี้
3.1.2 ให้ส่วนที่ 2 เป็นบริษัทเอกชนที่มิใช่รัฐวิสาหกิจ โดยกระทรวงการคลังถือหุ้นร้อยละ 49 ซึ่งต่อไปนี้จะเรียกว่า ทศท. 2 เป็นหน่วยงานให้บริการโทรคมนาคมท้องถิ่น (Local Service Provider)
3.2 ให้แปรรูป กสท. โดยแยกกิจการในส่วนที่เกี่ยวกับการโทรคมนาคม (รวมกิจการโทร เลข) ออกจากการสื่อสารแห่งประเทศไทย แบ่งเป็น 2 ส่วน ดังนี้
3.2.1 ให้ส่วนที่ 1 เป็นรัฐวิสาหกิจในรูปบริษัทจำกัด โดยกระทรวงการคลังถือหุ้นทั้งหมด ซึ่ง ต่อไปนี้จะเรียกว่า กสท. 1 รับผิดชอบกิจการโทรคมนาคมระหว่างประเทศ และรับผิดชอบบริการ โทรคมนาคมทางไกลในประเทศที่มีอยู่เดิม และที่จะได้รับเพิ่มเติมตามแผนแม่บทฯ นี้
3.2.2 ให้ส่วนที่ 2 เป็นบริษัทเอกชนที่มิใช่รัฐวิสาหกิจ โดยกระทรวงการคลังถือหุ้นร้อยละ 49 ซึ่งต่อไปนี้จะเรียกว่า กสท. 2 เป็นหน่วยงานให้บริการโทรคมนาคมท้องถิ่น (Local Service Provider)
3.2.3 ให้แยกกิจการในส่วนที่เกี่ยวกับบริการไปรษณีย์ และบริการการเงินของกสท. ออก จากกิจการโทรคมนาคม และให้มีฐานะเป็นรัฐวิสาหกิจต่อไป
3.3 ให้ภาคเอกชนมีบทบาทในการเข้าร่วมลงทุนใน ทศท. 2 หรือ กสท. 2 หรือเป็นผู้ลงทุน ในกลุ่มบริษัทเอกชน 2 รายใหม่ที่จะเข้ามาดำเนินธุรกิจโทรคมนาคมตามแผนแม่บทฯ นี้ โดยมี โครงสร้างการถือหุ้นใน ทศท. 2 และ กสท. 2 เป็นดังนี้
ร้อยละ
กระทรวงการคลัง 49
สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ 2
เอกชน (หลายราย) 49
รวม 100
ทั้งนี้
- เอกชนสัญชาติไทย (นิติบุคคล หรือ บุคคลธรรมดา) แต่ละรายจะถือหุ้นใน ทศท. 2 ได้ ไม่เกิน ร้อยละ 30
- ผู้ถือหุ้นที่มิใช่สัญชาติไทย (นิติบุคคล หรือบุคคลธรรมดา) ทั้งหมดถือหุ้นโดยตรงใน ทศท. 2 รวมกันต้องไม่เกินร้อยละ 20
- ในช่วงก่อนเข้าตลาดหลักทรัพย์ การถือหุ้นของผู้ถือหุ้นที่มิใช่สัญชาติไทย ทั้งทางตรงและ ทางอ้อมรวมกันต้องไม่เกินร้อยละ 25
- สัดส่วนการถือหุ้นของกระทรวงการคลังร้อยละ 49 ให้คงไว้เป็นระยะเวลา 5 ปี นับ จากวันเริ่มเปิดการแข่งขันภายหลังจากนั้นเป็นดุลยพินิจของรัฐบาลที่จะพิจารณาลดสัดส่วนการถือหุ้น โดย กระทรวงการคลังจะถือหุ้นไม่ต่ำกว่าร้อยละ 30
3.4 ภายหลัง 5 ปี นับจากวันเริ่มเปิดการแข่งขัน การจะแปรรูป ทศท. 1 และ กสท. 1 เป็น บริษัทเอกชนหรือ จะนำเข้าตลาดหลักทรัพย์ ให้อยู่ในดุลยพินิจของรัฐบาล
3.5 โครงสร้างการถือหุ้นของกลุ่มบริษัทเอกชน 2 รายใหม่ เป็นดังนี้
- เป็นการร่วมลงทุนระหว่างผู้ถือหุ้นหลายราย (consortium)
- ต้องมีผู้ถือหุ้นสัญชาติไทยถือหุ้นรวมกันไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 โดยผู้ถือหุ้นรายใดรายหนึ่งถือ หุ้นไม่เกินร้อยละ 55
- การถือหุ้นของผู้ถือหุ้นที่มิใช่สัญชาติไทยทั้งหมดถือหุ้นโดยตรงรวมกันต้องไม่เกินร้อยละ 20
- ในช่วงก่อนเข้าตลาดหลักทรัพย์ การถือหุ้นของผู้ถือหุ้นที่ไม่ใช่สัญชาติไทยทั้งทางตรงและ ทางอ้อมรวมกันต้องไม่เกินร้อยละ 25
3.6 ผู้ถือหุ้นรายใด (รวมถึงบริษัทลูกและบริษัทในเครือ) จะถือหุ้นใน ทศท. 2 หรือ กสท. 2 หรือกลุ่มเอกชนรายใหม่ได้เพียงรายใดรายหนึ่งเท่านั้น
3.7 ให้ ทศท. 1 กสท. 1 ทศท. 2 กสท. 2 และกลุ่มบริษัทเอกชนทั้ง 2 กลุ่ม ต้อง ได้รับใบอนุญาตประกอบการจาก กทช.
3.8 การแยกบริการไปรษณีย์ออกจากบริการโทรคมนาคมเพื่อให้การพัฒนากิจการโทรคม นาคมเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และเพื่อให้กิจการไปรษณีย์สามารถดำเนินการต่อไปได้โดยไม่เป็นภาระ แก่รัฐบาลมาก และเพื่อให้พนักงานด้านการไปรษณีย์ และบริการการเงินของการสื่อสารแห่งประเทศไทย ได้รับสวัสดิการที่เหมาะสมพอสมควร จึงควรแยกกิจการไปรษณีย์และบริการการเงินของการสื่อสาร แห่งประเทศไทยออกจากกิจการโทรคมนาคมโดยให้มีฐานะเป็นรัฐวิสาหกิจต่อไป และเห็นควรกำหนด แนวทางดำเนินการ ดังนี้
3.8.1 ให้คณะกรรมการรัฐวิสาหกิจไปรษณีย์ ดำเนินการปรับปรุงโครงสร้างการบริหารเพื่อ ให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น และสามารถเลี้ยงตัวเองได้
3.8.2 ให้คณะกรรมการรัฐวิสาหกิจไปรษณีย์ มีอำนาจพิจารณากำหนดอัตราค่าบริการ ไปรษณ๊ย์และบริการการเงินให้มีความเหมาะสม และสอดคล้องกับต้นทุนที่จะได้มีการปรับปรุง
3.8.3 รัฐบาลจะต้องจัดการให้มีการสนับสนุนกิจการไปรษณีย์จากภาคโทรคมนาคม โดยให้ กสท. 1และ ทศท. 1 แบ่งรายได้ให้แก่รัฐวิสาหกิจไปรษณีย์หน่วยละ 500 ล้านบาทต่อปี เป็นเวลาไม่เกิน 5 ปีติดต่อกัน นับตั้งแต่วันที่ได้รับการจัดตั้งเป็นรัฐวิสหกิจไปรษณีย์ หรือเมื่อรัฐวิสาหกิจไปรษณีย์สามารถ เลี้ยงตัวเองได้
ซึ่งแผนระยะยาวนี้คาดว่าจะสามารถประกาศกฎเกณฑ์ในการแข่งขันเสรีได้ภายในวันที่ 1 มกราคม 2540 และจะเริ่มต้นเปิดการแข่งขันเสรีได้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2540
แผนระยะสั้น มีเป้าหมายที่จะขจัดความขาดแคลนโทรศัพท์ที่มีอยู่ในปัจจุบันจนถึง พ.ศ. 2541 ดังนี้
1. ตั้งแต่ พ.ศ. 2540 พื้นที่ซึ่งครอบคลุมโดยโครงข่ายชุมสายโทรศัพท์จะมีโทรศัพท์เพียงพอ โดยสามารถติดตั้งให้กับผู้จองขอส่วนใหญ่ได้ใน 1 เดือน และผู้จองขอส่วนน้อยที่ติดตั้งได้ยากภายในเวลา ไม่เกิน 3 เดือน
2. ให้เป้าหมายการพัฒนาการสื่อสารโทรคมนาคมของแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 7 พ.ศ. 2535 - 2539 ให้มีจำนวนโทรศัพท์ไม่น้อยกว่า 10 เลขหมาย ต่อประชากร 100 คนบรรลุผลแนวทางการดำเนินงานของแผนระยะสั้น ประกอบด้วย
1. เร่งรัดการขยายเลขหมายโทรศัพท์ที่ยังค้างการดำเนินการในโครงการโทรศัพท์ 3 ล้าน เลขหมาย จำนวน 2 ล้านเลขหมาย ให้เสร็จสิ้นภายใน พ.ศ. 2539
2. ขยายเลขหมายโทรศัพท์เพิ่มขึ้นอีก 1.9 ล้านเลขหมาย ภายใน พ.ศ. 2541 โดยมีหลัก เกณฑ์ ดังนี้
2.1 ให้ดำเนินการขยายเลขหมายโทรศัพท์ จำนวน 1.1 ล้านเลขหมาย ให้แล้วเสร็จภายใน พ.ศ. 2539
2.2 ให้ดำเนินการขยายเลขหมายโทรศัพท์ เพิ่มอีกจำนวน 8 แสนเลขหมาย ให้แล้วเสร็จ ภายใน พ.ศ. 2541
2.3 ให้กระทรวงคมนาคมเจรจาตกลงกับ ทศท. บริษัท TA และบริษัท TT&T ให้ยินยอมแก้ สัญญาเพื่อให้เกิดผลที่ทีสุดแก่การดำเนินการตามข้อ 2.1 และ 2.2 ข้างต้น
2.4 ให้ ทศท. บริษัท TA และบริษัท TT&T ทำความตกลงการแบ่งสัดส่วนจำนวนเลข หมายที่จะดำเนินการขยายภายใต้การกำกับการของกระทรวงคมนาคม
3. เพิ่มเลขหมายตามโครงการโทรศัพท์สาธารณะทางไกลชนบท จากเดิมจุดละ 5 เลข หมาย เป็น 9 เลขหมายใน 4,003 ตำบล และขยายงานในชุมชนที่ยังไม่มีโทรศัพท์อีก 1,700 แห่ง ภายใน พ.ศ. 2541 โดยใช้งบประมาณที่เหลืออยู่ในวงเงินโครงการซึ่งได้รับอนุมัติโครงการไว้เดิม
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดนายชวน หลีกภัย)--วันที่ 28 มีนาคม 2538--
คณะรัฐมนตรีอนุมัติหลักการแผนแม่บทการพัฒนากิจการโทรคมนาคม ตามที่กระทรวงคมนาคม เสนอสรุปได้ดังนี้
แผนระยะยาว ได้กำหนดเป้าหมายของการพัฒนากิจการโทรคมนาคมที่สำคัญไว้ ดังนี้
1. ให้มีปริมาณโทรศัพท์เพียงพอกับความต้องการของประชาชน และกระจายทั่วถึงทุกชุมชนใน ระยะเวลารวดเร็ว
2. คุ้มครองผู้บริโภคให้ได้รับบริการที่มีคุณภาพอยู่ในระดับมาตรฐานสากล และมีอัตราค่าบริ การที่เหมาะสม
3. เพิ่มความสามารถในการพัฒนากิจการโทรคมนาคมของประเทศ เพื่อพัฒนาให้ประเทศ ไทยเป็นศูนย์กลางด้านการโทรคมนาคมในภูมิภาค และอยู่ในสภาพที่แข่งขันกับนานาประเทศได้
4. ส่งเสริมกิจกรรมวิชาการด้านโทรคมนาคม และวางรากฐานเพื่อนำไปสู่การพัฒนาอุต สาหกรรมโทรคมนาคมของไทย และเพื่อให้บรรลุเป้าหมายของการพัฒนากิจการโทรคมนาคม จึงกำหนด นโยบายดำเนินการที่สำคัญ 3 ข้อ คือ นโยบายการแยกบทบาทขององค์กรกำกับดูแล และองค์กรระ ดับบริการ นโยบายการเปิดเสรีธุรกิจโทรคมนาคม และนโยบายการแปรรูปองค์การโทรศัพท์แห่งประ เทศไทย และการสื่อสารแห่งประเทศไทย และเพิ่มบทบาทของภาคเอกชน ซึ่งมีสาระสำคัญ ดังนี้
1. นโยบายการแยกบทบาทขององค์กรกำกับดูแล และองค์กรระดับบริการ
1.1 กำหนดบทบาทและหน้าที่ความรับผิดชอบขององค์กรด้านโทรคมนาคมให้ชัดเจน
- ภารกิจระดับนโยบายหลักระดับชาติ ให้อยู่ในความรับผิดชอบของกระทรวงคมนาคม
- ภารกิจระดับกำกับดูแลให้อยู่ในความรับผิดชอบของคณะกรรมการการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) ซึ่งจะจัดตั้งขึ้นใหม่
- ภารกิจระดับปฏิบัติการ ให้อยู่ในความรับผิดชอบของ ทศท. และ กสท. (ซึ่งทั้งสองหน่วย งานนี้จะแปรรูปเป็นบริษัทจำกัด และบริษัทมหาชนต่อไป) และบริษัทเอกชนอื่น ๆ
- การบริหารความถี่วิทยุ ให้อยู่ในความรับผิดชอบของกรมไปรษณีย์โทรเลข และให้กรม ไปรษณีย์โทรเลขคงสถานะเดิมต่อไป
- ภารกิจในการออกใบอนุญาตประกอบการธุรกิจโทรคมนาคมให้อยู่ในความรับผิดชอบของ กทช. หรือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม หรือคณะรัฐมนตรี ทั้งนี้ ตามความสำคัญ ลักษณะและประ เภทของบริการ
1.2 การจัดตั้งคณะกรรมการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) มีบทบาทและหน้าที่ ดังนี้
- คุ้มครองผู้รับบริการให้ได้รับบริการอย่างทั่วถึง มีประสิทธิภาพในอัตราค่าบริการที่เป็น ธรรม
- กำกับดูแลและส่งเสริมให้มีการแข่งขันที่เป็นธรรมในกิจการโทรคมนาคม รวมทั้งการกระ จายการ-พัฒนากิจการโทรคมนาคมให้เหมาะสม
- กำหนดกฎเกณฑ์ กติกา ระเบียบ ข้อบังคับ เกี่ยวกับการดำเนินกิจการโทรคมนาคม
- ออกใบอนุญาตตามที่กฎหมายกำหนด
- ส่งเสริม สนับสนุนการพัฒนาอุตสาหกรรมโทรคมนาคม 2. นโยบายการเปิดเสรีธุรกิจโทรคมนาคม
2.1 ให้ ทศท. (ซึ่งจะแปรรูปเป็นบริษัทจำกัด และบริษัทมหาชนต่อไป) กสท. (ซึ่งจะแปรรูป เป็นบริษัทจำกัด และบริษัทมหาชนต่อไป) และกลุ่มบริษัทเอกชนรายใหม่อีก 2 กลุ่ม แข่งขันกันเต็มที่ในทุก บริการและทุกพื้นที่
2.2 เนื่องจากฐานะเริ่มต้นของแต่ละกลุ่มมีความแตกต่างกันในการแข่งขัน เพื่อไม่ให้แต่ละ กลุ่มมีความได้เปรียบเสียเปรียบกันมากเกินไป รวมทั้งเป็นการให้โอกาสการแข่งขันในระยะยาวอย่างเป็น ธรรม จึงได้กำหนดมาตรการในระยะ 5 ปีแรก นับจากวันเริ่มเปิดการแข่งขันไว้ ดังนี้
- ให้การคุ้มครองกิจการบริการโทรคมนาคมทางไกลในประเทศของ ทศท. และบริการ โทรคมนาคมทางไกลระหว่างประเทศของ กสท. โดยมีข้อยกเว้นในบางกรณีดังระบุในแผนแม่บทฯ
- ในส่วนบริการโทรคมนาคมท้องถิ่น ให้มีการแข่งขันอย่างเสรีในทุกบริการและทุกพื้นที่ โดย ทศท. จะไม่ขยายเลขหมายโทรศัพท์เพิ่มจากที่มีอยู่ โดยมีข้อยกเว้นในบางกรณีดังระบุในแผนแม่บทฯ 3. นโยบายการแปรรูปองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย และการสื่อสารแห่งประเทศไทย และเพิ่มบท บาทของภาคเอกชน
3.1 ให้แปรรูป ทศท. โดยแบ่งเป็น 2 ส่วน ดังนี้
3.1.1 ให้ส่วนที่ 1 เป็นรัฐวิสาหกิจในรูปบริษัทจำกัด โดยกระทรวงการคลังถือหุ้นทั้งหมด ซึ่ง ต่อไปนี้จะเรียกว่า ทศท. 1 รับผิดชอบบริการโทรคมนาคมทางไกลในประเทศ และรับผิดชอบบริการ โทรศัพท์ระหว่างประเทศเท่าที่มีอยู่เดิม และบริการโทรคมนาคมระหว่างประเทศที่จะได้รับเพิ่มเติมตาม แผนแม่บทฯ นี้
3.1.2 ให้ส่วนที่ 2 เป็นบริษัทเอกชนที่มิใช่รัฐวิสาหกิจ โดยกระทรวงการคลังถือหุ้นร้อยละ 49 ซึ่งต่อไปนี้จะเรียกว่า ทศท. 2 เป็นหน่วยงานให้บริการโทรคมนาคมท้องถิ่น (Local Service Provider)
3.2 ให้แปรรูป กสท. โดยแยกกิจการในส่วนที่เกี่ยวกับการโทรคมนาคม (รวมกิจการโทร เลข) ออกจากการสื่อสารแห่งประเทศไทย แบ่งเป็น 2 ส่วน ดังนี้
3.2.1 ให้ส่วนที่ 1 เป็นรัฐวิสาหกิจในรูปบริษัทจำกัด โดยกระทรวงการคลังถือหุ้นทั้งหมด ซึ่ง ต่อไปนี้จะเรียกว่า กสท. 1 รับผิดชอบกิจการโทรคมนาคมระหว่างประเทศ และรับผิดชอบบริการ โทรคมนาคมทางไกลในประเทศที่มีอยู่เดิม และที่จะได้รับเพิ่มเติมตามแผนแม่บทฯ นี้
3.2.2 ให้ส่วนที่ 2 เป็นบริษัทเอกชนที่มิใช่รัฐวิสาหกิจ โดยกระทรวงการคลังถือหุ้นร้อยละ 49 ซึ่งต่อไปนี้จะเรียกว่า กสท. 2 เป็นหน่วยงานให้บริการโทรคมนาคมท้องถิ่น (Local Service Provider)
3.2.3 ให้แยกกิจการในส่วนที่เกี่ยวกับบริการไปรษณีย์ และบริการการเงินของกสท. ออก จากกิจการโทรคมนาคม และให้มีฐานะเป็นรัฐวิสาหกิจต่อไป
3.3 ให้ภาคเอกชนมีบทบาทในการเข้าร่วมลงทุนใน ทศท. 2 หรือ กสท. 2 หรือเป็นผู้ลงทุน ในกลุ่มบริษัทเอกชน 2 รายใหม่ที่จะเข้ามาดำเนินธุรกิจโทรคมนาคมตามแผนแม่บทฯ นี้ โดยมี โครงสร้างการถือหุ้นใน ทศท. 2 และ กสท. 2 เป็นดังนี้
ร้อยละ
กระทรวงการคลัง 49
สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ 2
เอกชน (หลายราย) 49
รวม 100
ทั้งนี้
- เอกชนสัญชาติไทย (นิติบุคคล หรือ บุคคลธรรมดา) แต่ละรายจะถือหุ้นใน ทศท. 2 ได้ ไม่เกิน ร้อยละ 30
- ผู้ถือหุ้นที่มิใช่สัญชาติไทย (นิติบุคคล หรือบุคคลธรรมดา) ทั้งหมดถือหุ้นโดยตรงใน ทศท. 2 รวมกันต้องไม่เกินร้อยละ 20
- ในช่วงก่อนเข้าตลาดหลักทรัพย์ การถือหุ้นของผู้ถือหุ้นที่มิใช่สัญชาติไทย ทั้งทางตรงและ ทางอ้อมรวมกันต้องไม่เกินร้อยละ 25
- สัดส่วนการถือหุ้นของกระทรวงการคลังร้อยละ 49 ให้คงไว้เป็นระยะเวลา 5 ปี นับ จากวันเริ่มเปิดการแข่งขันภายหลังจากนั้นเป็นดุลยพินิจของรัฐบาลที่จะพิจารณาลดสัดส่วนการถือหุ้น โดย กระทรวงการคลังจะถือหุ้นไม่ต่ำกว่าร้อยละ 30
3.4 ภายหลัง 5 ปี นับจากวันเริ่มเปิดการแข่งขัน การจะแปรรูป ทศท. 1 และ กสท. 1 เป็น บริษัทเอกชนหรือ จะนำเข้าตลาดหลักทรัพย์ ให้อยู่ในดุลยพินิจของรัฐบาล
3.5 โครงสร้างการถือหุ้นของกลุ่มบริษัทเอกชน 2 รายใหม่ เป็นดังนี้
- เป็นการร่วมลงทุนระหว่างผู้ถือหุ้นหลายราย (consortium)
- ต้องมีผู้ถือหุ้นสัญชาติไทยถือหุ้นรวมกันไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 โดยผู้ถือหุ้นรายใดรายหนึ่งถือ หุ้นไม่เกินร้อยละ 55
- การถือหุ้นของผู้ถือหุ้นที่มิใช่สัญชาติไทยทั้งหมดถือหุ้นโดยตรงรวมกันต้องไม่เกินร้อยละ 20
- ในช่วงก่อนเข้าตลาดหลักทรัพย์ การถือหุ้นของผู้ถือหุ้นที่ไม่ใช่สัญชาติไทยทั้งทางตรงและ ทางอ้อมรวมกันต้องไม่เกินร้อยละ 25
3.6 ผู้ถือหุ้นรายใด (รวมถึงบริษัทลูกและบริษัทในเครือ) จะถือหุ้นใน ทศท. 2 หรือ กสท. 2 หรือกลุ่มเอกชนรายใหม่ได้เพียงรายใดรายหนึ่งเท่านั้น
3.7 ให้ ทศท. 1 กสท. 1 ทศท. 2 กสท. 2 และกลุ่มบริษัทเอกชนทั้ง 2 กลุ่ม ต้อง ได้รับใบอนุญาตประกอบการจาก กทช.
3.8 การแยกบริการไปรษณีย์ออกจากบริการโทรคมนาคมเพื่อให้การพัฒนากิจการโทรคม นาคมเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และเพื่อให้กิจการไปรษณีย์สามารถดำเนินการต่อไปได้โดยไม่เป็นภาระ แก่รัฐบาลมาก และเพื่อให้พนักงานด้านการไปรษณีย์ และบริการการเงินของการสื่อสารแห่งประเทศไทย ได้รับสวัสดิการที่เหมาะสมพอสมควร จึงควรแยกกิจการไปรษณีย์และบริการการเงินของการสื่อสาร แห่งประเทศไทยออกจากกิจการโทรคมนาคมโดยให้มีฐานะเป็นรัฐวิสาหกิจต่อไป และเห็นควรกำหนด แนวทางดำเนินการ ดังนี้
3.8.1 ให้คณะกรรมการรัฐวิสาหกิจไปรษณีย์ ดำเนินการปรับปรุงโครงสร้างการบริหารเพื่อ ให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น และสามารถเลี้ยงตัวเองได้
3.8.2 ให้คณะกรรมการรัฐวิสาหกิจไปรษณีย์ มีอำนาจพิจารณากำหนดอัตราค่าบริการ ไปรษณ๊ย์และบริการการเงินให้มีความเหมาะสม และสอดคล้องกับต้นทุนที่จะได้มีการปรับปรุง
3.8.3 รัฐบาลจะต้องจัดการให้มีการสนับสนุนกิจการไปรษณีย์จากภาคโทรคมนาคม โดยให้ กสท. 1และ ทศท. 1 แบ่งรายได้ให้แก่รัฐวิสาหกิจไปรษณีย์หน่วยละ 500 ล้านบาทต่อปี เป็นเวลาไม่เกิน 5 ปีติดต่อกัน นับตั้งแต่วันที่ได้รับการจัดตั้งเป็นรัฐวิสหกิจไปรษณีย์ หรือเมื่อรัฐวิสาหกิจไปรษณีย์สามารถ เลี้ยงตัวเองได้
ซึ่งแผนระยะยาวนี้คาดว่าจะสามารถประกาศกฎเกณฑ์ในการแข่งขันเสรีได้ภายในวันที่ 1 มกราคม 2540 และจะเริ่มต้นเปิดการแข่งขันเสรีได้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2540
แผนระยะสั้น มีเป้าหมายที่จะขจัดความขาดแคลนโทรศัพท์ที่มีอยู่ในปัจจุบันจนถึง พ.ศ. 2541 ดังนี้
1. ตั้งแต่ พ.ศ. 2540 พื้นที่ซึ่งครอบคลุมโดยโครงข่ายชุมสายโทรศัพท์จะมีโทรศัพท์เพียงพอ โดยสามารถติดตั้งให้กับผู้จองขอส่วนใหญ่ได้ใน 1 เดือน และผู้จองขอส่วนน้อยที่ติดตั้งได้ยากภายในเวลา ไม่เกิน 3 เดือน
2. ให้เป้าหมายการพัฒนาการสื่อสารโทรคมนาคมของแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 7 พ.ศ. 2535 - 2539 ให้มีจำนวนโทรศัพท์ไม่น้อยกว่า 10 เลขหมาย ต่อประชากร 100 คนบรรลุผลแนวทางการดำเนินงานของแผนระยะสั้น ประกอบด้วย
1. เร่งรัดการขยายเลขหมายโทรศัพท์ที่ยังค้างการดำเนินการในโครงการโทรศัพท์ 3 ล้าน เลขหมาย จำนวน 2 ล้านเลขหมาย ให้เสร็จสิ้นภายใน พ.ศ. 2539
2. ขยายเลขหมายโทรศัพท์เพิ่มขึ้นอีก 1.9 ล้านเลขหมาย ภายใน พ.ศ. 2541 โดยมีหลัก เกณฑ์ ดังนี้
2.1 ให้ดำเนินการขยายเลขหมายโทรศัพท์ จำนวน 1.1 ล้านเลขหมาย ให้แล้วเสร็จภายใน พ.ศ. 2539
2.2 ให้ดำเนินการขยายเลขหมายโทรศัพท์ เพิ่มอีกจำนวน 8 แสนเลขหมาย ให้แล้วเสร็จ ภายใน พ.ศ. 2541
2.3 ให้กระทรวงคมนาคมเจรจาตกลงกับ ทศท. บริษัท TA และบริษัท TT&T ให้ยินยอมแก้ สัญญาเพื่อให้เกิดผลที่ทีสุดแก่การดำเนินการตามข้อ 2.1 และ 2.2 ข้างต้น
2.4 ให้ ทศท. บริษัท TA และบริษัท TT&T ทำความตกลงการแบ่งสัดส่วนจำนวนเลข หมายที่จะดำเนินการขยายภายใต้การกำกับการของกระทรวงคมนาคม
3. เพิ่มเลขหมายตามโครงการโทรศัพท์สาธารณะทางไกลชนบท จากเดิมจุดละ 5 เลข หมาย เป็น 9 เลขหมายใน 4,003 ตำบล และขยายงานในชุมชนที่ยังไม่มีโทรศัพท์อีก 1,700 แห่ง ภายใน พ.ศ. 2541 โดยใช้งบประมาณที่เหลืออยู่ในวงเงินโครงการซึ่งได้รับอนุมัติโครงการไว้เดิม
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดนายชวน หลีกภัย)--วันที่ 28 มีนาคม 2538--