ทำเนียบรัฐบาล--17 ก.ค.--บิสนิวส์
คณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบร่างคำแถลงตีความ(Interpretative declarations) ของไทยตามแนวทางที่คณะกรรมการประสานงานการประชุมระดับโลกว่าด้วยสิทธิมนุษยชนได้ให้ความเห็น ชอบแล้ว และให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำภาคยานุวัติสารการเข้าเป็นภาคีกติการะหว่างประ เทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง พ.ศ.2509 เพื่อมอบให้เลขาธิการสหประชาชาติต่อไป และมอบหมายให้สำนักงานอัยการสูงสุด และกระทรวงยุติธรรม เป็นแกนกลางในการจัดทำรายงาน เสนอต่อคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติว่าด้วยการอนุวัติการตามพันธกรณีของกติกาดังกล่าว ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ โดยพิจารณาเห็นว่า
1. การเข้าเป็นภาคีกติกาฯ เป็นเรื่องที่มีความจำเป็น เนื่องจากขณะนี้มีความกังขาในวง การระหว่างประเทศว่า เหตุใดประเทศที่มีพัฒนาการทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองเช่นไทย จึง ไม่สามารถทั้งๆ ที่มีประเทศต่างๆ เข้าเป็นภาคีกติกาฯนี้แล้วถึง 128 ประเทศ ซึ่งในจำนวนนี้มีบาง ประเทศมีการปฏิบัติที่เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างรุนแรงในขณะที่ประเทศไทยมีการปฏิบัติที่เป็นการ ส่งเสริมและปกป้องสิทธิมนุษยชนในระดับหนึ่ง ดังนั้นการเข้าเป็นภาคีกติกาฯ จึงเป็นเรื่องที่เป็นศักดิ์ศรี และภาพพจน์ของประเทศ
2. ข้อบทกติกาฯ มีลักษณะเป็นการกล่าวถึงหลักการการคุ้มครองสิทธิพลเมืองต่าง ๆ อย่างกว้าง ๆ ซึ่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยและกฎหมายหลักของไทยรองรับพันธกรณีขั้นมูลฐานใน กติกาฯ อยู่แล้ว อย่างไรก็ดีโดยที่บางหน่วยราชการมีความกังวลว่า กฎหมายไทยที่มีอยู่อาจไม่สอดคล้อง กับบทบัญญัติบางประการอย่างสมบูรณ์ครบถ้วนและต้องมีการแก้ไขกฎหมายก่อน ที่ประชุมจึงเห็นควรให้ ประเทศไทยเข้าเป็นภาคีกติกาฯ ได้โดยไม่ต้องมีการแก้ไขพระราชบัญญัติที่เกี่ยวข้อง แต่ให้มีการทำคำ แถลงในลักษณะตีความ (Interpretative declarations) ของไทยในเรื่องนั้น ๆ ในการภาค ยานุวัติกติกาฯ ซึ่งการทำคำแถลงนี้เป็นแนวทางที่รัฐต่าง ๆ ปฏิบัติและเป็นที่ยอมรับโดยทั่วไป เพื่อเป็น การชี้แจงว่าไทยจะปฏิบัติตามพันธกรณีในเรื่องนั้น ๆ ตามที่กฎหมายไทยกำหนด ซึ่งจะมีผลเท่ากับเป็น การลดหย่อนพันธกรณีของกติกาฯ ให้เข้ากับกฎหมายภายในของไทย ทั้งนี้ ถ้อยคำของคำแถลงได้พิจารณา จากคำแถลงของประเทศอื่นประกอบด้วยเช่น ฝรั่งเศส ซึ่งหากมีประเทศภาคีกติกาฯ ใดทักท้วงการตี ความตามคำแถลงของไทยว่าขัดต่อเจตนารมณ์ของกติกาฯ แล้วการทักท้วงดังกล่าวก็มีผลเพียงว่าบทบัญ ญัติในเรื่องที่มีการทักท้วงนั้น ไม่ถือว่ามีผลบังคับระหว่างไทยกับประเทศภาคีที่ทักท้วง แต่ไม่มีผลต่อความ เป็นภาคีของไทยต่อกติกาฯ โดยรวม
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดนายบรรหาร ศิลปอาชา)--วันที่ 16 กรกฏาคม 2539
คณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบร่างคำแถลงตีความ(Interpretative declarations) ของไทยตามแนวทางที่คณะกรรมการประสานงานการประชุมระดับโลกว่าด้วยสิทธิมนุษยชนได้ให้ความเห็น ชอบแล้ว และให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำภาคยานุวัติสารการเข้าเป็นภาคีกติการะหว่างประ เทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง พ.ศ.2509 เพื่อมอบให้เลขาธิการสหประชาชาติต่อไป และมอบหมายให้สำนักงานอัยการสูงสุด และกระทรวงยุติธรรม เป็นแกนกลางในการจัดทำรายงาน เสนอต่อคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติว่าด้วยการอนุวัติการตามพันธกรณีของกติกาดังกล่าว ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ โดยพิจารณาเห็นว่า
1. การเข้าเป็นภาคีกติกาฯ เป็นเรื่องที่มีความจำเป็น เนื่องจากขณะนี้มีความกังขาในวง การระหว่างประเทศว่า เหตุใดประเทศที่มีพัฒนาการทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองเช่นไทย จึง ไม่สามารถทั้งๆ ที่มีประเทศต่างๆ เข้าเป็นภาคีกติกาฯนี้แล้วถึง 128 ประเทศ ซึ่งในจำนวนนี้มีบาง ประเทศมีการปฏิบัติที่เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างรุนแรงในขณะที่ประเทศไทยมีการปฏิบัติที่เป็นการ ส่งเสริมและปกป้องสิทธิมนุษยชนในระดับหนึ่ง ดังนั้นการเข้าเป็นภาคีกติกาฯ จึงเป็นเรื่องที่เป็นศักดิ์ศรี และภาพพจน์ของประเทศ
2. ข้อบทกติกาฯ มีลักษณะเป็นการกล่าวถึงหลักการการคุ้มครองสิทธิพลเมืองต่าง ๆ อย่างกว้าง ๆ ซึ่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยและกฎหมายหลักของไทยรองรับพันธกรณีขั้นมูลฐานใน กติกาฯ อยู่แล้ว อย่างไรก็ดีโดยที่บางหน่วยราชการมีความกังวลว่า กฎหมายไทยที่มีอยู่อาจไม่สอดคล้อง กับบทบัญญัติบางประการอย่างสมบูรณ์ครบถ้วนและต้องมีการแก้ไขกฎหมายก่อน ที่ประชุมจึงเห็นควรให้ ประเทศไทยเข้าเป็นภาคีกติกาฯ ได้โดยไม่ต้องมีการแก้ไขพระราชบัญญัติที่เกี่ยวข้อง แต่ให้มีการทำคำ แถลงในลักษณะตีความ (Interpretative declarations) ของไทยในเรื่องนั้น ๆ ในการภาค ยานุวัติกติกาฯ ซึ่งการทำคำแถลงนี้เป็นแนวทางที่รัฐต่าง ๆ ปฏิบัติและเป็นที่ยอมรับโดยทั่วไป เพื่อเป็น การชี้แจงว่าไทยจะปฏิบัติตามพันธกรณีในเรื่องนั้น ๆ ตามที่กฎหมายไทยกำหนด ซึ่งจะมีผลเท่ากับเป็น การลดหย่อนพันธกรณีของกติกาฯ ให้เข้ากับกฎหมายภายในของไทย ทั้งนี้ ถ้อยคำของคำแถลงได้พิจารณา จากคำแถลงของประเทศอื่นประกอบด้วยเช่น ฝรั่งเศส ซึ่งหากมีประเทศภาคีกติกาฯ ใดทักท้วงการตี ความตามคำแถลงของไทยว่าขัดต่อเจตนารมณ์ของกติกาฯ แล้วการทักท้วงดังกล่าวก็มีผลเพียงว่าบทบัญ ญัติในเรื่องที่มีการทักท้วงนั้น ไม่ถือว่ามีผลบังคับระหว่างไทยกับประเทศภาคีที่ทักท้วง แต่ไม่มีผลต่อความ เป็นภาคีของไทยต่อกติกาฯ โดยรวม
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดนายบรรหาร ศิลปอาชา)--วันที่ 16 กรกฏาคม 2539