ทำเนียบรัฐบาล--28 ม.ค.--บิสนิวส์
คณะรัฐมนตรีเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา และได้เคยนำเสนอสภาผู้แทนราษฎรชุดก่อนพิจารณาแล้ว แต่ต้องตกไปเพราะมีการบุบสภาผู้แทนราษฎร ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ โดยพิจารณาเห็นว่า
เนื่องจากพระราชบัญญัติป้องกันการทุ่มตลาด พ.ศ. 2507 ได้ใช้บังคับมาเป็นเวลานานแล้ว บทบัญญัติของพระราชบัญญัติดังกล่าวบางประการไม่เหมาะสมกับการขยายตัวและการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางเศรษฐกิจและการค้าของประเทศ ไม่มีหลักการเรื่องการตอบโต้การอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศที่นำเข้ามายังประเทศไทย และไม่สอดคล้องกับข้อตกลงระหว่างประเทศที่บังคับใช้อยู่ในปัจจุบัน สมควรบัญญัติกฎหมายขึ้นใหม่ให้มีมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศที่นำเข้ามาในประเทศ เพื่อคุ้มครองอุตสาหกรรมภายในประเทศ และให้สอดคล้องกับข้อตกลงระหว่างประเทศด้วย
ทั้งนี้ สาระสำคัญของร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว สรุปได้ดังนี้
1. ให้ยกเลิกพระราชบัญญัติป้องกันการทุ่มตลาด พ.ศ. 2057
2. ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังควบคุมและติดตามดูแลการดำเนินงานของกรมศุลกากรในการปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้
3. ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์รักษาการตามพระราชบัญญัตินี้ และมีอำนาจออกกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการใด ๆ เกี่ยวกับการพิจารณาตอบโต้การทุ่มตลาด การอุดหนุนการทบทวนมาตรการตอบโต้และในกรณีสมควรจะกำหนดให้กรณีหนึ่งกรณีใดกระทำโดยออกเป็นประกาศกระทรวงพาณิชย์ก็ได้
4. กำหนดให้การทุ่มตลาดที่อาจก่อให้เกิดความเสียหายแก่อุตสาหกรรมภายใน ได้แก่ การส่งสินค้าเข้ามาในประเทศไทยเพื่อประโยชน์ในทางพาณิชย์ โดยมีราคาส่งออกที่ต่ำกว่ามูลค่าปกติของสินค้าชนิดเดียวกัน
5. กำหนดให้ความเสียหายตามพระราชบัญญัตินี้หมายถึง
5.1 ความเสียหายอย่างสำคัญที่เกิดแก่อุตสาหกรรมภายใน
5.2 ความเสียหายอย่างสำคัญที่อาจเกิดแก่อุตสาหกรรมภายใน หรือ
5.3 อุปสรรคล่าช้าอย่างสำคัญต่อการก่อตั้งหรือการพัฒนาอุตสาหกรรมภายใน
6. กำหนดให้เริ่มกระบวนการพิจารณาตอบโต้การทุ่มตลาดใน 2 กรณี
6.1 เมื่อกรมการค้าต่างประเทศเห็นสมควรโดยต้องมีหลักฐานเพียงพอว่ามีการทุ่มตลาดและมีความเสียหายตามพระราชบัญญัตินี้
6.2 เมื่อมีคำขอจากบุคคลหรือคณะบุคคลผู้ทำการแทนอุตสาหกรรมภายในตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กระทรวงพาณิชย์ประกาศกำหนด
7. กำหนดให้กรมการค้าต่างประเทศมีอำนาจหน้าที่ไต่สวนประเด็นการทุ่มตลาด และให้กรมการค้าภายในมีอำนาจหน้าที่ไต่สวนประเด็นความเสียหาย แล้วสรุปผลการไต่สวนและเสนอความเห็นต่อคณะกรรมการพิจารณาการทุ่มตลาดและการอุดหนุนเพื่อพิจารณาวินิจฉัยต่อไป
8. กรณีที่คณะกรรมการมีคำวินิจฉัยเบื้องต้นว่ามีการทุ่มตลาดและมีความเสียหาย และมีความจำเป็นต้องป้องกันความเสียหายแก่อุตสาหกรรมภายใน คณะกรรมการอาจใช้มาตรการชั่วคราวโดยประกาศเรียกเก็บอากรชั่วคราวหรือหลักประกันการชำระอากรชั่วคราวได้
9. กำหนดให้การพิจารณาตอบโต้การทุ่มตลาดอาจยุติลงได้ โดยการทำความตกลงซึ่งจะกระทำได้ภายหลังที่คณะกรรมการมีคำวินิจฉัยเบื้องต้นแล้ว
10. กำหนดให้การเรียกเก็บอากรตอบโต้การทุ่มตลาดเมื่อคณะกรรมการมีคำวินิจฉัยชั้นที่สุดให้มีการเรียกเก็บอากรตอบโต้การทุ่มตลาด ต้องนำบทบัญญัติกฎหมายว่าด้วยศุลกากรและกฎหมายว่าด้วยพิกัดอัตราศุลกากรมาใช้บังคับ และให้ใช้ได้ตลอดเวลาที่มีการทุ่มตลาดและมีความเสียหาย
11. กำหนดให้ผู้ที่ไม่พอใจคำวินิจฉัยชั้นที่สุดของคณะกรรมการสามารถอุทธรณ์คำวินิจฉัยต่อศาลที่มีเขตอำนาจได้ภายใน 30 วัน นับแต่วันได้รับแจ้งคำวินิจฉัยนั้น โดยไม่เป็นเหตุให้ทุเลาการเรียกเก็บหรือคืนอากรตามพระราช-บัญญัตินี้ เว้นแต่ศาลจะสั่งเป็นอย่างอื่น
12. กำหนดให้การอุดหนุนที่อาจก่อให้เกิดความเสียหายแก่อุตสาหกรรมภายใน ได้แก่ การได้รับประโยชน์อย่างหนึ่งอย่างใดเนื่องจากรัฐบาลประเทศแหล่งกำเนิดหรือประเทศผู้ส่งออก กระทำการให้ความช่วยเหลือทางการเงินหรือให้การสนับสนุนด้านรายได้หรือด้านราคา ไม่ว่าในรูปแบบใดทั้งทางตรงและทางอ้อม เพื่อเพิ่มการส่งออกสินค้าใดหรือลดการนำเข้าสินค้าใด
13. เมื่อคณะกรรมการได้รับคำขอจากผู้ทำการแทนอุตสาหกรรมภายในหรือข้อเสนอของกรมการค้าต่างประเทศให้พิจารณาตอบโต้การอุดหนุน ให้แจ้งต่อประเทศซึ่งสินค้าถูกพิจารณาว่าได้มีการอุดหนุนทราบและเชิญชวนให้ประเทศนั้นมาปรึกษาหารือเพื่อทำความตกลงยุติการพิจารณา โดยไม่ชักช้า
14. ให้มีคณะกรรมการพิจารณาการทุ่มตลาดและการอุดหนุน ประกอบด้วย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธาน ผู้แทนกระทรวงการคลัง ผู้แทนกระทรวงการต่างประเทศ ผู้แทนกระทรวงอุตสาหกรรม อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ อธิบดีกรมการค้าภายใน อธิบดีกรมเศรษฐกิจการพาณิชย์ และผู้ทรงคุณวุฒิ 6 คน ซึ่งคณะรัฐมนตรีแต่งตั้ง เป็นกรรมการ และข้าราชการที่อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศแต่งตั้ง เป็นเลขานุการและผู้ช่วยเลขานุการ มีอำนาจหน้าที่พิจารณาตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุน ให้ความเห็นชอบในการทำความตกลงเพื่อระงับการทุ่มตลาดหรือการอุดหนุน ให้คำแนะนำในการออกกฎกระทรวงและประกาศ และปฏิบัติการตามพระราชบัญญัติหรือตามที่คณะรัฐมนตรีมอบหมาย
15. ให้จัดตั้งกองทุนตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนเพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน ประกอบด้วย
15.1 เงินทุนประเดิมที่รัฐบาลจัดสรรให้
15.2 เงินอุดหนุนจากรัฐบาลเป็นครั้งคราวตามความจำเป็น
15.3 อากรตามพระราชบัญญัตินี้
15.4 ค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายที่เรียกเก็บตามพระราชบัญญัตินี้
15.5 เงินและทรัพย์สินที่มีผู้มอบให้โดยไม่มีภาระผูกพัน
15.6 ดอกผลและประโยชน์อื่นที่ได้รับจากการบริหารกองทุน
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ)--วันที่ 28 มกราคม 2540--
คณะรัฐมนตรีเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา และได้เคยนำเสนอสภาผู้แทนราษฎรชุดก่อนพิจารณาแล้ว แต่ต้องตกไปเพราะมีการบุบสภาผู้แทนราษฎร ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ โดยพิจารณาเห็นว่า
เนื่องจากพระราชบัญญัติป้องกันการทุ่มตลาด พ.ศ. 2507 ได้ใช้บังคับมาเป็นเวลานานแล้ว บทบัญญัติของพระราชบัญญัติดังกล่าวบางประการไม่เหมาะสมกับการขยายตัวและการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางเศรษฐกิจและการค้าของประเทศ ไม่มีหลักการเรื่องการตอบโต้การอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศที่นำเข้ามายังประเทศไทย และไม่สอดคล้องกับข้อตกลงระหว่างประเทศที่บังคับใช้อยู่ในปัจจุบัน สมควรบัญญัติกฎหมายขึ้นใหม่ให้มีมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศที่นำเข้ามาในประเทศ เพื่อคุ้มครองอุตสาหกรรมภายในประเทศ และให้สอดคล้องกับข้อตกลงระหว่างประเทศด้วย
ทั้งนี้ สาระสำคัญของร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว สรุปได้ดังนี้
1. ให้ยกเลิกพระราชบัญญัติป้องกันการทุ่มตลาด พ.ศ. 2057
2. ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังควบคุมและติดตามดูแลการดำเนินงานของกรมศุลกากรในการปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้
3. ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์รักษาการตามพระราชบัญญัตินี้ และมีอำนาจออกกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการใด ๆ เกี่ยวกับการพิจารณาตอบโต้การทุ่มตลาด การอุดหนุนการทบทวนมาตรการตอบโต้และในกรณีสมควรจะกำหนดให้กรณีหนึ่งกรณีใดกระทำโดยออกเป็นประกาศกระทรวงพาณิชย์ก็ได้
4. กำหนดให้การทุ่มตลาดที่อาจก่อให้เกิดความเสียหายแก่อุตสาหกรรมภายใน ได้แก่ การส่งสินค้าเข้ามาในประเทศไทยเพื่อประโยชน์ในทางพาณิชย์ โดยมีราคาส่งออกที่ต่ำกว่ามูลค่าปกติของสินค้าชนิดเดียวกัน
5. กำหนดให้ความเสียหายตามพระราชบัญญัตินี้หมายถึง
5.1 ความเสียหายอย่างสำคัญที่เกิดแก่อุตสาหกรรมภายใน
5.2 ความเสียหายอย่างสำคัญที่อาจเกิดแก่อุตสาหกรรมภายใน หรือ
5.3 อุปสรรคล่าช้าอย่างสำคัญต่อการก่อตั้งหรือการพัฒนาอุตสาหกรรมภายใน
6. กำหนดให้เริ่มกระบวนการพิจารณาตอบโต้การทุ่มตลาดใน 2 กรณี
6.1 เมื่อกรมการค้าต่างประเทศเห็นสมควรโดยต้องมีหลักฐานเพียงพอว่ามีการทุ่มตลาดและมีความเสียหายตามพระราชบัญญัตินี้
6.2 เมื่อมีคำขอจากบุคคลหรือคณะบุคคลผู้ทำการแทนอุตสาหกรรมภายในตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กระทรวงพาณิชย์ประกาศกำหนด
7. กำหนดให้กรมการค้าต่างประเทศมีอำนาจหน้าที่ไต่สวนประเด็นการทุ่มตลาด และให้กรมการค้าภายในมีอำนาจหน้าที่ไต่สวนประเด็นความเสียหาย แล้วสรุปผลการไต่สวนและเสนอความเห็นต่อคณะกรรมการพิจารณาการทุ่มตลาดและการอุดหนุนเพื่อพิจารณาวินิจฉัยต่อไป
8. กรณีที่คณะกรรมการมีคำวินิจฉัยเบื้องต้นว่ามีการทุ่มตลาดและมีความเสียหาย และมีความจำเป็นต้องป้องกันความเสียหายแก่อุตสาหกรรมภายใน คณะกรรมการอาจใช้มาตรการชั่วคราวโดยประกาศเรียกเก็บอากรชั่วคราวหรือหลักประกันการชำระอากรชั่วคราวได้
9. กำหนดให้การพิจารณาตอบโต้การทุ่มตลาดอาจยุติลงได้ โดยการทำความตกลงซึ่งจะกระทำได้ภายหลังที่คณะกรรมการมีคำวินิจฉัยเบื้องต้นแล้ว
10. กำหนดให้การเรียกเก็บอากรตอบโต้การทุ่มตลาดเมื่อคณะกรรมการมีคำวินิจฉัยชั้นที่สุดให้มีการเรียกเก็บอากรตอบโต้การทุ่มตลาด ต้องนำบทบัญญัติกฎหมายว่าด้วยศุลกากรและกฎหมายว่าด้วยพิกัดอัตราศุลกากรมาใช้บังคับ และให้ใช้ได้ตลอดเวลาที่มีการทุ่มตลาดและมีความเสียหาย
11. กำหนดให้ผู้ที่ไม่พอใจคำวินิจฉัยชั้นที่สุดของคณะกรรมการสามารถอุทธรณ์คำวินิจฉัยต่อศาลที่มีเขตอำนาจได้ภายใน 30 วัน นับแต่วันได้รับแจ้งคำวินิจฉัยนั้น โดยไม่เป็นเหตุให้ทุเลาการเรียกเก็บหรือคืนอากรตามพระราช-บัญญัตินี้ เว้นแต่ศาลจะสั่งเป็นอย่างอื่น
12. กำหนดให้การอุดหนุนที่อาจก่อให้เกิดความเสียหายแก่อุตสาหกรรมภายใน ได้แก่ การได้รับประโยชน์อย่างหนึ่งอย่างใดเนื่องจากรัฐบาลประเทศแหล่งกำเนิดหรือประเทศผู้ส่งออก กระทำการให้ความช่วยเหลือทางการเงินหรือให้การสนับสนุนด้านรายได้หรือด้านราคา ไม่ว่าในรูปแบบใดทั้งทางตรงและทางอ้อม เพื่อเพิ่มการส่งออกสินค้าใดหรือลดการนำเข้าสินค้าใด
13. เมื่อคณะกรรมการได้รับคำขอจากผู้ทำการแทนอุตสาหกรรมภายในหรือข้อเสนอของกรมการค้าต่างประเทศให้พิจารณาตอบโต้การอุดหนุน ให้แจ้งต่อประเทศซึ่งสินค้าถูกพิจารณาว่าได้มีการอุดหนุนทราบและเชิญชวนให้ประเทศนั้นมาปรึกษาหารือเพื่อทำความตกลงยุติการพิจารณา โดยไม่ชักช้า
14. ให้มีคณะกรรมการพิจารณาการทุ่มตลาดและการอุดหนุน ประกอบด้วย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธาน ผู้แทนกระทรวงการคลัง ผู้แทนกระทรวงการต่างประเทศ ผู้แทนกระทรวงอุตสาหกรรม อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ อธิบดีกรมการค้าภายใน อธิบดีกรมเศรษฐกิจการพาณิชย์ และผู้ทรงคุณวุฒิ 6 คน ซึ่งคณะรัฐมนตรีแต่งตั้ง เป็นกรรมการ และข้าราชการที่อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศแต่งตั้ง เป็นเลขานุการและผู้ช่วยเลขานุการ มีอำนาจหน้าที่พิจารณาตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุน ให้ความเห็นชอบในการทำความตกลงเพื่อระงับการทุ่มตลาดหรือการอุดหนุน ให้คำแนะนำในการออกกฎกระทรวงและประกาศ และปฏิบัติการตามพระราชบัญญัติหรือตามที่คณะรัฐมนตรีมอบหมาย
15. ให้จัดตั้งกองทุนตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนเพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน ประกอบด้วย
15.1 เงินทุนประเดิมที่รัฐบาลจัดสรรให้
15.2 เงินอุดหนุนจากรัฐบาลเป็นครั้งคราวตามความจำเป็น
15.3 อากรตามพระราชบัญญัตินี้
15.4 ค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายที่เรียกเก็บตามพระราชบัญญัตินี้
15.5 เงินและทรัพย์สินที่มีผู้มอบให้โดยไม่มีภาระผูกพัน
15.6 ดอกผลและประโยชน์อื่นที่ได้รับจากการบริหารกองทุน
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ)--วันที่ 28 มกราคม 2540--