คณะรัฐมนตรีเห็นชอบหลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการให้ความช่วยเหลือเหยื่อจากการค้ามนุษย์ที่มิได้มีสัญชาติไทยในต่างประเทศ ตามมติที่ประชุมคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ ครั้งที่ 1/2548 ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอดังนี้
1. ในกรณีที่ไม่สามารถระบุสัญชาติของเหยื่อ และมีข้อสงสัยว่าเหยื่อนั้นมิได้เป็นบุคคลสัญชาติไทย ให้รอการพิสูจน์สัญชาติก่อนดำเนินการต่อไป
2. กรณีเหยื่อจากการค้ามนุษย์ในต่างประเทศมีสัญชาติอื่นให้ยึดหลักกฎหมายระหว่างประเทศที่กำหนดให้รัฐเจ้าของสัญชาติพึงให้ความช่วยเหลือและคุ้มครองแก่คนชาติของตน โดยรัฐบาลจะไม่อนุญาตให้เหยื่อจากการค้ามนุษย์ที่มีสัญชาติอื่นเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักร
อย่างไรก็ดี เมื่อคำนึงถึงเหตุผลทางด้านมนุษยธรรม ให้สถานเอกอัครราชทูตไทยหรือสถานกงสุลใหญ่ของไทยที่ได้รับแจ้งเหตุหรือได้รับการร้องขอให้ช่วยเหลือเหยื่อจากการค้ามนุษย์ที่มีสัญชาติอื่น ดำเนินการประสานขอความช่วยเหลือไปยังสถานเอกอัครราชทูตหรือสถานกงสุลของรัฐเจ้าของสัญชาติซึ่งตั้งอยู่ในประเทศปลายทางหรือมีเขตอาณาครอบคลุมประเทศปลายทาง เพื่อดำเนินการให้ความช่วยเหลือและคุ้มครองเหยื่อเหล่านั้นต่อไป
3. กรณีเหยื่อจากการค้ามนุษย์ในต่างประเทศที่มิได้มีสัญชาติไทยแต่มีใบสำคัญถิ่นที่อยู่ในราชอาณาจักร หรือมีเอกสารประจำตัวที่แสดงว่ามีภูมิลำเนาอยู่อาศัยในราชอาณาจักรอื่นใด ซึ่งส่วนราชการออกให้และได้ตรวจพิสูจน์ถึงความถูกต้องแท้จริงของเอกสารดังกล่าว และตรวจพิสูจน์ยืนยันความถูกต้องของบุคคลผู้ถือเอกสารแล้ว เมื่อสถานเอกอัคร-ราชทูตหรือสถานกงสุลใหญ่ สำนักงานทูตแรงงานไทยในต่างประเทศและส่วนราชการด้านความมั่นคงของไทยในประเทศนั้น ๆ เห็นพ้องกันว่า ควรดำเนินการให้ความช่วยเหลือและส่งกลับเข้ามาในราชอาณาจักร ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย พิจารณาอนุญาตการเข้ามาในราชอาณาจักรได้ โดยไม่ต้องขอความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีเป็นการเฉพาะราย
4. กรณีเหยื่อจากการค้ามนุษย์ในต่างประเทศที่มิได้มีสัญชาติไทยและไม่มีเอกสารประจำตัว แต่มีเหตุอันควรเชื่อได้ว่าเป็นบุคคลที่เคยมีภูมิลำเนาหรือมีสถานะอยู่อาศัยในราชอาณาจักรมาก่อน ให้ดำเนินการดังนี้
4.1 ให้สถานเอกอัครราชทูตหรือสถานกงสุลใหญ่ร่วมกับสำนักงานทูตแรงงานไทยในต่างประเทศ และส่วนราชการด้านความมั่นคงของไทยในประเทศนั้น ๆ ตรวจพิสูจน์สถานะของการมีภูมิลำเนาอยู่ในราชอาณาจักรของเหยื่อ
4.2 ให้สถานเอกอัครราชทูตหรือสถานกงสุลใหญ่แจ้งเรื่องมายังกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เพื่อให้ประสานความร่วมมือกับกระทรวงมหาดไทยในการตรวจพิสูจน์ภูมิลำเนาและประเมินสภาพครอบครัว
4.3 ในกรณีที่ตรวจพิสูจน์แล้วมีหลักฐานยืนยันว่าเหยื่อรายนั้นเคยมีภูมิลำเนาหรือมีสถานะอยู่อาศัย ในราชอาณาจักรจริง และเมื่อสถานเอกอัครราชทูตหรือสถานกงสุลใหญ่ สำนักงานทูตแรงงานไทยในต่างประเทศ และส่วนราชการด้านความมั่นคงของไทยในประเทศนั้น ๆ เห็นพ้องกันว่า ควรดำเนินการให้ความช่วยเหลือและส่งกลับเข้ามา ในราชอาณาจักร ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยพิจารณาอนุญาตการเข้ามาในราชอาณาจักรได้ โดยไม่ต้องขอความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีเป็นการเฉพาะราย
ทั้งนี้ ให้ถือมติคณะรัฐมนตรีที่ให้ความเห็นชอบดังกล่าวเป็นการเห็นชอบในหลักการตามนัยของมาตรา 17 แห่งพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 เพื่อให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยสามารถดำเนินการอนุญาตให้เหยื่อจากการค้ามนุษย์ตามข้อ 3 และ 4 ของหลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการให้ความช่วยเหลือเหยื่อจากการค้ามนุษย์ที่มิได้มีสัญชาติไทยในต่างประเทศ เข้ามาในราชอาณาจักรได้โดยไม่ต้องขออนุมัติคณะรัฐมนตรีเป็นการเฉพาะ และให้กระทรวงมหาดไทยนำเสนอผลการอนุญาตให้เหยื่อจากการค้ามนุษย์เข้ามาในราชอาณาจักรเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบในภายหลัง
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร) วันที่ 14 มิถุนายน 2548--จบ--
1. ในกรณีที่ไม่สามารถระบุสัญชาติของเหยื่อ และมีข้อสงสัยว่าเหยื่อนั้นมิได้เป็นบุคคลสัญชาติไทย ให้รอการพิสูจน์สัญชาติก่อนดำเนินการต่อไป
2. กรณีเหยื่อจากการค้ามนุษย์ในต่างประเทศมีสัญชาติอื่นให้ยึดหลักกฎหมายระหว่างประเทศที่กำหนดให้รัฐเจ้าของสัญชาติพึงให้ความช่วยเหลือและคุ้มครองแก่คนชาติของตน โดยรัฐบาลจะไม่อนุญาตให้เหยื่อจากการค้ามนุษย์ที่มีสัญชาติอื่นเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักร
อย่างไรก็ดี เมื่อคำนึงถึงเหตุผลทางด้านมนุษยธรรม ให้สถานเอกอัครราชทูตไทยหรือสถานกงสุลใหญ่ของไทยที่ได้รับแจ้งเหตุหรือได้รับการร้องขอให้ช่วยเหลือเหยื่อจากการค้ามนุษย์ที่มีสัญชาติอื่น ดำเนินการประสานขอความช่วยเหลือไปยังสถานเอกอัครราชทูตหรือสถานกงสุลของรัฐเจ้าของสัญชาติซึ่งตั้งอยู่ในประเทศปลายทางหรือมีเขตอาณาครอบคลุมประเทศปลายทาง เพื่อดำเนินการให้ความช่วยเหลือและคุ้มครองเหยื่อเหล่านั้นต่อไป
3. กรณีเหยื่อจากการค้ามนุษย์ในต่างประเทศที่มิได้มีสัญชาติไทยแต่มีใบสำคัญถิ่นที่อยู่ในราชอาณาจักร หรือมีเอกสารประจำตัวที่แสดงว่ามีภูมิลำเนาอยู่อาศัยในราชอาณาจักรอื่นใด ซึ่งส่วนราชการออกให้และได้ตรวจพิสูจน์ถึงความถูกต้องแท้จริงของเอกสารดังกล่าว และตรวจพิสูจน์ยืนยันความถูกต้องของบุคคลผู้ถือเอกสารแล้ว เมื่อสถานเอกอัคร-ราชทูตหรือสถานกงสุลใหญ่ สำนักงานทูตแรงงานไทยในต่างประเทศและส่วนราชการด้านความมั่นคงของไทยในประเทศนั้น ๆ เห็นพ้องกันว่า ควรดำเนินการให้ความช่วยเหลือและส่งกลับเข้ามาในราชอาณาจักร ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย พิจารณาอนุญาตการเข้ามาในราชอาณาจักรได้ โดยไม่ต้องขอความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีเป็นการเฉพาะราย
4. กรณีเหยื่อจากการค้ามนุษย์ในต่างประเทศที่มิได้มีสัญชาติไทยและไม่มีเอกสารประจำตัว แต่มีเหตุอันควรเชื่อได้ว่าเป็นบุคคลที่เคยมีภูมิลำเนาหรือมีสถานะอยู่อาศัยในราชอาณาจักรมาก่อน ให้ดำเนินการดังนี้
4.1 ให้สถานเอกอัครราชทูตหรือสถานกงสุลใหญ่ร่วมกับสำนักงานทูตแรงงานไทยในต่างประเทศ และส่วนราชการด้านความมั่นคงของไทยในประเทศนั้น ๆ ตรวจพิสูจน์สถานะของการมีภูมิลำเนาอยู่ในราชอาณาจักรของเหยื่อ
4.2 ให้สถานเอกอัครราชทูตหรือสถานกงสุลใหญ่แจ้งเรื่องมายังกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เพื่อให้ประสานความร่วมมือกับกระทรวงมหาดไทยในการตรวจพิสูจน์ภูมิลำเนาและประเมินสภาพครอบครัว
4.3 ในกรณีที่ตรวจพิสูจน์แล้วมีหลักฐานยืนยันว่าเหยื่อรายนั้นเคยมีภูมิลำเนาหรือมีสถานะอยู่อาศัย ในราชอาณาจักรจริง และเมื่อสถานเอกอัครราชทูตหรือสถานกงสุลใหญ่ สำนักงานทูตแรงงานไทยในต่างประเทศ และส่วนราชการด้านความมั่นคงของไทยในประเทศนั้น ๆ เห็นพ้องกันว่า ควรดำเนินการให้ความช่วยเหลือและส่งกลับเข้ามา ในราชอาณาจักร ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยพิจารณาอนุญาตการเข้ามาในราชอาณาจักรได้ โดยไม่ต้องขอความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีเป็นการเฉพาะราย
ทั้งนี้ ให้ถือมติคณะรัฐมนตรีที่ให้ความเห็นชอบดังกล่าวเป็นการเห็นชอบในหลักการตามนัยของมาตรา 17 แห่งพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 เพื่อให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยสามารถดำเนินการอนุญาตให้เหยื่อจากการค้ามนุษย์ตามข้อ 3 และ 4 ของหลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการให้ความช่วยเหลือเหยื่อจากการค้ามนุษย์ที่มิได้มีสัญชาติไทยในต่างประเทศ เข้ามาในราชอาณาจักรได้โดยไม่ต้องขออนุมัติคณะรัฐมนตรีเป็นการเฉพาะ และให้กระทรวงมหาดไทยนำเสนอผลการอนุญาตให้เหยื่อจากการค้ามนุษย์เข้ามาในราชอาณาจักรเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบในภายหลัง
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร) วันที่ 14 มิถุนายน 2548--จบ--