ทำเนียบรัฐบาล--12 ธ.ค.--นิวส์สแตนด์
คณะรัฐมนตรีเห็นชอบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายบัญญัติ บรรทัดฐาน) ประธานกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด เสนอ มาตรการทางการบริหารเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบังคับใช้ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการป้องกันเจ้าหน้าที่ของรัฐมิให้เกี่ยวข้องกับยาเสพติด พ.ศ. 2542 และให้นำข้อเสนอของรองนายกรัฐมนตรี (นายบัญญัติ บรรทัดฐาน) ประธาน ป.ป.ส. ประกอบความเห็นของกระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ สำนักงาน ก.พ. และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อนำไปประกอบการพิจารณาเกี่ยวกับการดำเนินการตามกระบวนการทางวินัย ซึ่งอาจมีผลกระทบต่ออำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการตามระเบียบและกฎหมายของส่วนราชการนั้น ๆ ด้วย
สำหรับมาตรการทางการบริหารเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบังคับใช้ระเบียบฯ โดยใช้อำนาจทางการบริหารกำกับและกำชับให้หน่วยงานต่าง ๆ ดำเนินการ ดังนี้
1. เจ้าหน้าที่ของรัฐที่มีพฤติการณ์เกี่ยวข้องกับยาเสพติดตามระเบียบฯ ให้ถือว่าเป็นการกระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรง ตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2535
2. กรณีคณะกรรมการกลั่นกรองข้อมูลหรือข่าวสารการกระทำที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติดได้วินิจฉัยชี้มูล โดยมีพยานหลักฐานในเบื้องต้นที่พิจารณาได้ว่า เจ้าหน้าที่ของรัฐนั้นมีพฤติการณ์เกี่ยวข้องกับยาเสพติดให้ถือว่าเป็นกรณีที่คณะกรรมการกลั่นกรองฯ กล่าวหาเจ้าหน้าที่ของรัฐผู้นั้น โดยมีพยานหลักฐานในเบื้องต้นแล้ว ซึ่งผู้บังคับบัญชามีหน้าที่ต้องดำเนินการทางวินัยทันที โดยไม่ต้องตั้งคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงเบื้องต้น และหากเห็นว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐนั้นอยู่ในพื้นที่หรืออยู่ในราชการต่อไป จะเป็นอุปสรรคต่อการดำเนินการทางวินัย ให้ผู้บังคับบัญชาพิจารณาย้ายออกนอกพื้นที่ พักราชการ หรือให้ออกจากราชการไว้ก่อน และการดำเนินการสั่งการทางวินัยใด ๆ ให้แจ้งคณะกรรมการกลั่นกรองฯ ทราบ
3. ในกรณีที่คณะกรรมการกลั่นกรองฯ วินิจฉัยชี้มูลเจ้าหน้าที่ของรัฐเกี่ยวข้องกับยาเสพติด และพิจารณาเห็นว่าการชี้มูลเจ้าหน้าที่ของรัฐในเรื่องใดสมควรจะส่งผู้แทนเข้าร่วมเป็นคณะกรรมการสอบสวนทางวินัย ให้คณะกรรมการกลั่นกรองฯ เสนอความเห็นพร้อมรายชื่อผู้แทนคณะกรรมการกลั่นกรองฯ ต่อ ป.ป.ส. เพื่อพิจารณา เมื่อ ป.ป.ส. เห็นชอบตามที่คณะกรรมการกลั่นกรองฯ เสนอให้ผู้บังคับบัญชาเจ้าหน้าที่ของรัฐนั้นมีคำสั่งแต่งตั้งผู้แทนของคณะกรรมการกลั่นกรองฯ ร่วมเป็นกรรมการสอบสวนทางวินัย
4. กรณีที่ผู้บังคับบัญชาดำเนินการทางวินัยแล้วสั่งยุติเรื่อง หรือไม่มีพยานหลักฐานเพียงพอหรือชัดแจ้งที่จะพิจารณาได้ว่า เจ้าหน้าที่ของรัฐเกี่ยวข้องกับยาเสพติด ให้ผู้บังคับบัญชาแจ้งคำสั่งยุติเรื่องหรือผลการดำเนินการทางวินัยพร้อมพยานหลักฐานต่อคณะกรรมการกลั่นกรองฯ เพื่อประโยชน์ในการปรับปรุงการดำเนินการตามระเบียบฯ ให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นต่อไป แต่หากคณะกรรมการกลั่นกรองฯ เห็นว่าผลการดำเนินการทางวินัยของผู้บังคับบัญชาเจ้าหน้าที่ของรัฐยังไม่เหมาะสม เป็นการสมควรที่จะต้องสอบสวนใหม่หรือสอบสวนเพิ่มเติมเพื่อประโยชน์แห่งความเป็นธรรม ให้นำเรื่องเสนอ ป.ป.ส. พิจารณาส่งเรื่องให้องค์กรที่มีหน้าที่พิจารณาเรื่องเกี่ยวกับการดำเนินการทางวินัยพิจารณาดำเนินการต่อไป
5. ให้ผู้บังคับบัญชาและองค์กรพิจารณาเรื่องเกี่ยวข้องกับการดำเนินการทางวินัยของเจ้าหน้าที่ของรัฐต่าง ๆ เช่น คณะกรรมการข้าราชการพลเรือน คณะกรรมการข้าราชการครู คณะกรรมการข้าราชการตำรวจ คณะกรรมการสามัญประจำกระทรวง คณะอนุกรรมการสามัญประจำกรม คณะอนุกรรมการสามัญประจำจังหวัด ฯลฯ สั่งการให้เร่งรัดควบคุมการปฏิบัติให้เคร่งครัดและสอดคล้องกับการดำเนินการตามระเบียบฯ นี้
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดนายชวน หลีกภัย)--วันที่ 12 ธ.ค. 2543--
-สส-
คณะรัฐมนตรีเห็นชอบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายบัญญัติ บรรทัดฐาน) ประธานกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด เสนอ มาตรการทางการบริหารเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบังคับใช้ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการป้องกันเจ้าหน้าที่ของรัฐมิให้เกี่ยวข้องกับยาเสพติด พ.ศ. 2542 และให้นำข้อเสนอของรองนายกรัฐมนตรี (นายบัญญัติ บรรทัดฐาน) ประธาน ป.ป.ส. ประกอบความเห็นของกระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ สำนักงาน ก.พ. และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อนำไปประกอบการพิจารณาเกี่ยวกับการดำเนินการตามกระบวนการทางวินัย ซึ่งอาจมีผลกระทบต่ออำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการตามระเบียบและกฎหมายของส่วนราชการนั้น ๆ ด้วย
สำหรับมาตรการทางการบริหารเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบังคับใช้ระเบียบฯ โดยใช้อำนาจทางการบริหารกำกับและกำชับให้หน่วยงานต่าง ๆ ดำเนินการ ดังนี้
1. เจ้าหน้าที่ของรัฐที่มีพฤติการณ์เกี่ยวข้องกับยาเสพติดตามระเบียบฯ ให้ถือว่าเป็นการกระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรง ตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2535
2. กรณีคณะกรรมการกลั่นกรองข้อมูลหรือข่าวสารการกระทำที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติดได้วินิจฉัยชี้มูล โดยมีพยานหลักฐานในเบื้องต้นที่พิจารณาได้ว่า เจ้าหน้าที่ของรัฐนั้นมีพฤติการณ์เกี่ยวข้องกับยาเสพติดให้ถือว่าเป็นกรณีที่คณะกรรมการกลั่นกรองฯ กล่าวหาเจ้าหน้าที่ของรัฐผู้นั้น โดยมีพยานหลักฐานในเบื้องต้นแล้ว ซึ่งผู้บังคับบัญชามีหน้าที่ต้องดำเนินการทางวินัยทันที โดยไม่ต้องตั้งคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงเบื้องต้น และหากเห็นว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐนั้นอยู่ในพื้นที่หรืออยู่ในราชการต่อไป จะเป็นอุปสรรคต่อการดำเนินการทางวินัย ให้ผู้บังคับบัญชาพิจารณาย้ายออกนอกพื้นที่ พักราชการ หรือให้ออกจากราชการไว้ก่อน และการดำเนินการสั่งการทางวินัยใด ๆ ให้แจ้งคณะกรรมการกลั่นกรองฯ ทราบ
3. ในกรณีที่คณะกรรมการกลั่นกรองฯ วินิจฉัยชี้มูลเจ้าหน้าที่ของรัฐเกี่ยวข้องกับยาเสพติด และพิจารณาเห็นว่าการชี้มูลเจ้าหน้าที่ของรัฐในเรื่องใดสมควรจะส่งผู้แทนเข้าร่วมเป็นคณะกรรมการสอบสวนทางวินัย ให้คณะกรรมการกลั่นกรองฯ เสนอความเห็นพร้อมรายชื่อผู้แทนคณะกรรมการกลั่นกรองฯ ต่อ ป.ป.ส. เพื่อพิจารณา เมื่อ ป.ป.ส. เห็นชอบตามที่คณะกรรมการกลั่นกรองฯ เสนอให้ผู้บังคับบัญชาเจ้าหน้าที่ของรัฐนั้นมีคำสั่งแต่งตั้งผู้แทนของคณะกรรมการกลั่นกรองฯ ร่วมเป็นกรรมการสอบสวนทางวินัย
4. กรณีที่ผู้บังคับบัญชาดำเนินการทางวินัยแล้วสั่งยุติเรื่อง หรือไม่มีพยานหลักฐานเพียงพอหรือชัดแจ้งที่จะพิจารณาได้ว่า เจ้าหน้าที่ของรัฐเกี่ยวข้องกับยาเสพติด ให้ผู้บังคับบัญชาแจ้งคำสั่งยุติเรื่องหรือผลการดำเนินการทางวินัยพร้อมพยานหลักฐานต่อคณะกรรมการกลั่นกรองฯ เพื่อประโยชน์ในการปรับปรุงการดำเนินการตามระเบียบฯ ให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นต่อไป แต่หากคณะกรรมการกลั่นกรองฯ เห็นว่าผลการดำเนินการทางวินัยของผู้บังคับบัญชาเจ้าหน้าที่ของรัฐยังไม่เหมาะสม เป็นการสมควรที่จะต้องสอบสวนใหม่หรือสอบสวนเพิ่มเติมเพื่อประโยชน์แห่งความเป็นธรรม ให้นำเรื่องเสนอ ป.ป.ส. พิจารณาส่งเรื่องให้องค์กรที่มีหน้าที่พิจารณาเรื่องเกี่ยวกับการดำเนินการทางวินัยพิจารณาดำเนินการต่อไป
5. ให้ผู้บังคับบัญชาและองค์กรพิจารณาเรื่องเกี่ยวข้องกับการดำเนินการทางวินัยของเจ้าหน้าที่ของรัฐต่าง ๆ เช่น คณะกรรมการข้าราชการพลเรือน คณะกรรมการข้าราชการครู คณะกรรมการข้าราชการตำรวจ คณะกรรมการสามัญประจำกระทรวง คณะอนุกรรมการสามัญประจำกรม คณะอนุกรรมการสามัญประจำจังหวัด ฯลฯ สั่งการให้เร่งรัดควบคุมการปฏิบัติให้เคร่งครัดและสอดคล้องกับการดำเนินการตามระเบียบฯ นี้
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดนายชวน หลีกภัย)--วันที่ 12 ธ.ค. 2543--
-สส-