คณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบในหลักการร่างพระราชบัญญัติบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย พ.ศ. ….. ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ เพื่อรองรับการจัดตั้งบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย (Thai Asset Management Corporation : TAMC) เพื่อเป็นองค์กรกลางในการแก้ไขปัญหาหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ออกจากระบบของธนาคารพาณิชย์โดยเร็ว และเป็นระบบเบ็ดเสร็จ เพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่สถาบันการเงินในการปล่อยสินเชื่อให้กับภาคการผลิตและบริการต่อไป ทั้งนี้ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกานำข้อสังเกตและข้อคิดเห็นของคณะรัฐมนตรีไปปรับปรุง เพื่อนำกลับมาเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง ซึ่งร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว มีสาระสำคัญ สรุปได้ดังนี้
1. การจัดตั้งบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย (บสท.) กำหนดให้เป็นหน่วยงานของรัฐที่ไม่เป็นส่วนราชการรัฐวิสาหกิจ
2. วัตถุประสงค์ เพื่อบริหารสินทรัพย์ด้อยคุณภาพของสถาบันการเงินหรือบริษัทบริหารสินทรัพย์ ดำเนินการปรับโครงสร้างหนี้และปรับโครงสร้างกิจการของลูกหนี้ซึ่งรับโอนมา โดยการรับโอนสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ รวมตลอดทั้งสิทธิอื่นใดเหนือทรัพย์สินที่เป็นหลักประกันการชำระหนี้สำหรับสินทรัพย์ด้อยคุณภาพนั้น หรือโดยใช้มาตรการอื่นใด เพื่อประโยชน์ในการฟื้นฟูเศรษฐกิจหรือความมั่นคงของประเทศ
3. โครงสร้างของ บสท.
1) ให้มี "คณะกรรมการบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย" รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเป็นผู้แต่งตั้งโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี โดยในจำนวนนี้ต้องแต่งตั้งจากผู้แทนสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ผู้แทนสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และผู้แทนสมาคมธนาคารไทย แห่งละ 1 คน เพื่อวางนโยบายและกำกับดูแลโดยทั่วไปซึ่งกิจการของ บสท. ภายในขอบวัตถุประสงค์ของ บสท.
2) ให้คณะกรรมการ บสท. แต่งตั้งคณะกรรมการบริหารประกอบด้วย
(1) ประธานกรรมการบริหาร แต่งตั้งจากบุคคลที่ได้รับการเสนอชื่อจากกระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย หรือกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ
(2) กรรมการบริหารอื่น
(ก) แต่งตั้งจากผู้ที่ได้รับการเสนอชื่อจากกระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย และกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ 1 คน
(ข) แต่งตั้งจากผู้ที่ได้รับการเสนอชื่อจากสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย 1 คน
(ค) แต่งตั้งจากผู้ที่ได้รับการเสนอชื่อจากสถาบันการเงินเอกชน 1 คน
เพื่อทำหน้าที่ในการบริหารสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ ตลอดจนกำหนดกรอบและวิธีการในการบริหารงานตามนโยบายของคณะกรรมการในเรื่องต่าง ๆ เช่น อนุมัติหรือวินิจฉัยสั่งการในการดำเนินการปรับโครงสร้างหนี้และการปรับโครงสร้างกิจการ การจำหน่ายทรัพย์สินที่เป็นหลักประกัน
3) ให้คณะกรรมการ บสท. แต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบไม่เกิน 5 คน เพื่อทำหน้าที่ตรวจสอบการดำเนินกิจการของ บสท. และการปฏิบัติหน้าที่ของกรรมการผู้จัดการ
4. การโอนสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ
1) กรณีสถาบันการเงินหรือบริษัทบริหารสินทรัพย์ของรัฐ
(1) ให้โอนสินทรัพย์จัดชั้น ดังต่อไปนี้ (ก) สินทรัพย์จัดชั้นสูญ (ข) สินทรัพย์จัดชั้นสงสัยจะสูญ(ค) สินทรัพย์จัดชั้นสงสัย (ง) สินทรัพย์จัดชั้นต่ำกว่ามาตรฐาน
(2) สินทรัพย์ตาม (ก) และ (ข) คณะกรรมการบริหารโดยความเห็นชอบจากคณะกรรมการ บสท. จะกำหนดให้โอนเฉพาะที่มีเจ้าหนี้เกิน 1 รายก็ได้
(3) สินทรัพย์ตาม (ค) และ (ง) ถ้าคณะกรรมการเห็นสมควรจะกำหนดให้โอนเฉพาะบางส่วนก็ได้
2) กรณีสถาบันการเงินหรือบริษัทบริหารสินทรัพย์เอกชน
(1) สินทรัพย์จัดชั้นเช่นเดียวกับของภาครัฐ แต่เฉพาะที่มีทรัพย์สินเป็นหลักประกัน
(2) สินทรัพย์ที่มีลูกหนี้เป็นนิติบุคคลและมีเจ้าหนี้ตั้งแต่ 2 รายขึ้นไป
(3) มีมูลหนี้ตั้งแต่ 5 ล้านบาทขึ้นไป
(4) เป็นสินทรัพย์ที่ยังมิได้มีความตกลงปรับโครงสร้างหนี้ใหม่และศาลยังมิได้มีคำสั่งเห็นชอบด้วยแผนฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้
5. ราคาการโอนสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ
1) กรณีสถาบันการเงินหรือบริษัทบริหารสินทรัพย์ของรัฐ
(1) เท่ากับมูลค่าทรัพย์สินที่เป็นหลักประกัน โดยไม่รวมการประกันด้วยบุคคล
(2) กรณีที่ไม่มีหลักประกันให้มีราคาตามหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการ บสท. กำหนด
2) กรณีสถาบันการเงินหรือบริษัทสินทรัพย์เอกชน มูลค่าทรัพย์สินที่เป็นหลักประกันโดยไม่รวมการค้ำประกันบุคคล แต่ต้องไม่เกินมูลค่าสินทรัพย์ด้อยคุณภาพตามบัญชีหักเงินสำรองตามกฎหมาย
3) กำหนดให้ บสท. ชำระราคาสินทรัพย์ด้อยคุณภาพให้แก่สถาบันการเงินหรือบริษัทบริหารสินทรัพย์ โดยออกเป็นตราสารหนี้ซึ่งเปลี่ยนมือไม่ได้และมีกำหนดใช้เงินเมื่อสิ้นระยะเวลา 10 ปีนับแต่วันที่ออกตราสารหนี้นั้น
6. การแบ่งปันผลกำไรและรับผิดชอบผลขาดทุน
1) การแบ่งปันผลกำไร
(1) ผลกำไรส่วนแรกไม่เกินร้อยละ 20 ของราคาสินทรัพย์ด้อยคุณภาพให้แบ่งคนละครึ่งระหว่างบสท. กับสถาบันการเงินหรือบริษัทบริหารสินทรัพย์
(2) ผลกำไรส่วนที่ 2 ให้สถาบันการเงินหรือบริษัทบริหารสินทรัพย์รับไปทั้งหมด แต่ต้องไม่เกินส่วนต่างระหว่างมูลค่าตามบัญชีกับราคาที่ บสท. รับโอนมา
(3) กำไรส่วนที่เหลือจาก (2) ให้ บสท. รับไปทั้งหมด
2) การรับผิดชอบผลขาดทุน
(1) ผลขาดทุนส่วนแรกไม่เกินร้อยละ 20 ของราคาที่รับโอนให้สถาบันการเงินหรือบริษัทบริหารสินทรัพย์รับไปทั้งหมด
(2) ผลขาดทุนส่วนที่ 2 ไม่เกินร้อยละ 20 ของราคาที่รับโอนให้แบ่งกันคนละครึ่ง ระหว่าง บสท.และสถาบันการเงินหรือบริษัทบริหารสินทรัพย์
(3) ผลขาดทุนส่วนที่เหลือจาก (2) ให้ บสท. รับไปทั้งหมด
7. การบริหารสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ
บสท. มีอำนาจดำเนินการใน 3 กรณี ได้แก่ การปรับโครงสร้างหนี้ ปรับโครงสร้างกิจการ หรือจำหน่ายสินทรัพย์ที่เป็นหลักประกันของลูกหนี้ อย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่างรวมกันตามที่เห็นสมควร โดย บสท. จะดำเนินการบริหารกองสินทรัพย์เองหรือจะว่าจ้างผู้เชี่ยวชาญให้เป็นผู้บริหารกองสินทรัพย์ก็ได้
1) ในการปรับโครงสร้างหนี้ บสท. มีอำนาจใช้วิธีการต่าง ๆ อันได้แก่ การผ่อนปรนเงื่อนไขในการชำระหนี้ รับโอนทรัพย์สินของลูกหนี้เพื่อชำระหนี้ หรือดำเนินการอื่นใดโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการ บสท.
2) ในการปรับโครงสร้างกิจการ ให้ผู้บริหารกองสินทรัพย์หรือบุคคลอื่นใดที่ บสท. แต่งตั้งเปป็นผู้จัดทำแผนปรับโครงสร้างกิจการเสนอต่อคณะกรรมการบริหารเพื่อพิจารณาอนุมัติภายในเวลาที่คณะกรรมการ บสท. กำหนด และให้ผู้บริหารของลูกหนี้หมดอำนาจในการกระทำกิจการใด ๆ ในนามของลูกหนี้ ในกรณีที่ผู้บริหารแผนเห็นว่าแผนไม่อาจดำเนินต่อไปได้ให้รายงานไปยังคณะกรรมการบริหารเพื่อขออนุมัติต่อคณะกรรมการ บสท. เพื่อยุติการปรับโครงสร้างกิจการ
3) ในการจำหน่ายทรัพย์สินที่เป็นหลักประกัน ให้ บสท. ดำเนินการโดยวิธีขายทอดตลาดหรือวิธีอื่นใดที่จะเป็นประโยชน์มากกว่า และหากยังมีหนี้ที่ทรัพย์สินนั้นเป็นหลักประกันคงค้างอยู่ กำหนดให้หนี้นั้นเป็นอันพับไป
8. การกำกับ การดำเนินงานและการควบคุม
1) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังมีอำนาจกำกับโดยทั่วไปซึ่งกิจการของ บสท. และอาจมอบหมายให้ธนาคารแห่งประเทศไทยตรวจสอบกิจการ สินทรัพย์และหนี้สินของ บสท. ได้
2) เมื่อครบระยะเวลา 2 ปี นับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ กำหนดให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังแต่งตั้งคณะทำงานเพื่อจัดทำรายงานประเมินผลการดำเนินการของ บสท. และนำเสนอต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาว่าสมควรจะยุบหรือควรปรับปรุงการดำเนินการของ บสท. หรือไม่เพียงใด
9. การสอบและตรวจบัญชี
1) กำหนดให้รัฐมนตรีมีอำนาจแต่งตั้งสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินหรือบุคคลอื่นเป็นผู้สอบบัญชีของ บสท. และเสนอรายงานผลการตรวจสอบบัญชีต่อรัฐมนตรีฯ ทุก 6 เดือน
2) กำหนดให้ บสท. รายงานกิจการ งบดุล บัญชีกำไรและขาดทุน ซึ่งผู้สอบบัญชีรับรองแล้วต่อรัฐมนตรีฯ ภายใน 4 เดือนนับแต่วันสิ้นงวดการบัญชี เพื่อรายงานให้คณะรัฐมนตรีทราบ
10. การชดเชยความเสียหาย และการนำเงินส่งเป็นรายได้แผ่นดิน
ในกรณีที่กองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ ได้รับความเสียหาย เนื่องจากการที่ต้องลงทุนในการจัดตั้งหรือดำเนินกิจการของ บสท. การค้ำประกัน หรือรับรองหรือรับอาวัลตราสารที่ บสท. ออกหรือเนื่องจากการจ่ายดอกเบี้ยแทนบสท. ให้กระทรวงการคลังชดเชยให้กองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ เท่าจำนวนที่เสียหายภายในเวลาที่กระทรวงการคลังเห็นว่ากองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ มีความจำเป็นเว้นแต่ฐานะโดยรวมของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ อยู่ในเกณฑ์ดีแล้ว แต่ในกรณีที่กองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ ได้กำไรให้นำส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดินตามจำนวนที่กระทรวงการคลังกำหนด
11. ความคุ้มครองกรรมการและพนักงานของ บสท.
1) กรรมการ พนักงานและลูกจ้างของ บสท. ที่ดำเนินการไม่ต้องรับผิดในการกระทำของตน เมื่อได้ใช้ความระมัดระวังตามวิสัยของผู้ประกอบวิชาชีพดังกล่าว เว้นแต่เป็นกรณีฝ่าฝืนกฎหมาย ทุจริตหรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง
2) มิให้นำกฎหมายว่าด้วยการจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครองมาใช้บังคับแก่การดำเนินการเกี่ยวกับการบริหารสินทรัพย์ด้อยคุณภาพของ บสท. ตามกฎหมาย และการออกระเบียบหรือข้อบังคับ คำสั่งคำวินิจฉัย การอนุญาต และการกระทำอื่นใดของคณะกรรมการและคณะกรรมการบริหาร อันเกี่ยวกับการบริหารสินทรัพย์ด้อยคุณภาพตามพระราชบัญญัตินี้
12. บทกำหนดโทษ
ผู้บริหารกองทรัพย์สิน พนักงานและลูกจ้าง หรือบุคคลใดที่ บสท. มอบหมายให้ดำเนินการตามพระราชบัญญัตินี้ เรียก รับ หรือยอมจะรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดจากลูกหนี้ เพื่อให้ลูกหนี้รายใดชำระหนี้น้อยลงกว่าที่ควรจะเป็น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี และปรับไม่เกิน 1 แสนบาท เว้นแต่ผู้กระทำความผิดเป็นนิติบุคคลให้ระวางโทษปรับเท่ากับจำนวนมูลค่าของสินทรัพย์ด้อยคุณภาพของลูกหนี้รายนั้น
13. การยุบเลิก บสท.
เมื่อคณะรัฐมนตรีมีมติให้ยุบเลิก บสท. ให้ตราพระราชกฤษฎีกากำหนดการแต่งตั้งคณะกรรมการชำระบัญชี ระยะเวลาการชำระบัญชี เงื่อนไขในการโอนทรัพย์สินและหนี้สินของ บสท. และให้ดำเนินการชำระบัญชีให้แล้วเสร็จภายใน 1 ปี นับแต่วันที่พระราชกฤษฎีกาดังกล่าวใช้บังคับ และหากมีบรรดาทรัพย์สินของ บสท. เหลืออยู่ภายหลังการชำระบัญชีให้โอนแก่กระทรวงการคลังภายใน 60 วัน นับแต่วันถึงที่สุดแห่งการชำระบัญชี
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร)--วันที่ 29 พ.ค.2544
-สส-
1. การจัดตั้งบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย (บสท.) กำหนดให้เป็นหน่วยงานของรัฐที่ไม่เป็นส่วนราชการรัฐวิสาหกิจ
2. วัตถุประสงค์ เพื่อบริหารสินทรัพย์ด้อยคุณภาพของสถาบันการเงินหรือบริษัทบริหารสินทรัพย์ ดำเนินการปรับโครงสร้างหนี้และปรับโครงสร้างกิจการของลูกหนี้ซึ่งรับโอนมา โดยการรับโอนสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ รวมตลอดทั้งสิทธิอื่นใดเหนือทรัพย์สินที่เป็นหลักประกันการชำระหนี้สำหรับสินทรัพย์ด้อยคุณภาพนั้น หรือโดยใช้มาตรการอื่นใด เพื่อประโยชน์ในการฟื้นฟูเศรษฐกิจหรือความมั่นคงของประเทศ
3. โครงสร้างของ บสท.
1) ให้มี "คณะกรรมการบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย" รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเป็นผู้แต่งตั้งโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี โดยในจำนวนนี้ต้องแต่งตั้งจากผู้แทนสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ผู้แทนสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และผู้แทนสมาคมธนาคารไทย แห่งละ 1 คน เพื่อวางนโยบายและกำกับดูแลโดยทั่วไปซึ่งกิจการของ บสท. ภายในขอบวัตถุประสงค์ของ บสท.
2) ให้คณะกรรมการ บสท. แต่งตั้งคณะกรรมการบริหารประกอบด้วย
(1) ประธานกรรมการบริหาร แต่งตั้งจากบุคคลที่ได้รับการเสนอชื่อจากกระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย หรือกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ
(2) กรรมการบริหารอื่น
(ก) แต่งตั้งจากผู้ที่ได้รับการเสนอชื่อจากกระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย และกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ 1 คน
(ข) แต่งตั้งจากผู้ที่ได้รับการเสนอชื่อจากสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย 1 คน
(ค) แต่งตั้งจากผู้ที่ได้รับการเสนอชื่อจากสถาบันการเงินเอกชน 1 คน
เพื่อทำหน้าที่ในการบริหารสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ ตลอดจนกำหนดกรอบและวิธีการในการบริหารงานตามนโยบายของคณะกรรมการในเรื่องต่าง ๆ เช่น อนุมัติหรือวินิจฉัยสั่งการในการดำเนินการปรับโครงสร้างหนี้และการปรับโครงสร้างกิจการ การจำหน่ายทรัพย์สินที่เป็นหลักประกัน
3) ให้คณะกรรมการ บสท. แต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบไม่เกิน 5 คน เพื่อทำหน้าที่ตรวจสอบการดำเนินกิจการของ บสท. และการปฏิบัติหน้าที่ของกรรมการผู้จัดการ
4. การโอนสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ
1) กรณีสถาบันการเงินหรือบริษัทบริหารสินทรัพย์ของรัฐ
(1) ให้โอนสินทรัพย์จัดชั้น ดังต่อไปนี้ (ก) สินทรัพย์จัดชั้นสูญ (ข) สินทรัพย์จัดชั้นสงสัยจะสูญ(ค) สินทรัพย์จัดชั้นสงสัย (ง) สินทรัพย์จัดชั้นต่ำกว่ามาตรฐาน
(2) สินทรัพย์ตาม (ก) และ (ข) คณะกรรมการบริหารโดยความเห็นชอบจากคณะกรรมการ บสท. จะกำหนดให้โอนเฉพาะที่มีเจ้าหนี้เกิน 1 รายก็ได้
(3) สินทรัพย์ตาม (ค) และ (ง) ถ้าคณะกรรมการเห็นสมควรจะกำหนดให้โอนเฉพาะบางส่วนก็ได้
2) กรณีสถาบันการเงินหรือบริษัทบริหารสินทรัพย์เอกชน
(1) สินทรัพย์จัดชั้นเช่นเดียวกับของภาครัฐ แต่เฉพาะที่มีทรัพย์สินเป็นหลักประกัน
(2) สินทรัพย์ที่มีลูกหนี้เป็นนิติบุคคลและมีเจ้าหนี้ตั้งแต่ 2 รายขึ้นไป
(3) มีมูลหนี้ตั้งแต่ 5 ล้านบาทขึ้นไป
(4) เป็นสินทรัพย์ที่ยังมิได้มีความตกลงปรับโครงสร้างหนี้ใหม่และศาลยังมิได้มีคำสั่งเห็นชอบด้วยแผนฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้
5. ราคาการโอนสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ
1) กรณีสถาบันการเงินหรือบริษัทบริหารสินทรัพย์ของรัฐ
(1) เท่ากับมูลค่าทรัพย์สินที่เป็นหลักประกัน โดยไม่รวมการประกันด้วยบุคคล
(2) กรณีที่ไม่มีหลักประกันให้มีราคาตามหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการ บสท. กำหนด
2) กรณีสถาบันการเงินหรือบริษัทสินทรัพย์เอกชน มูลค่าทรัพย์สินที่เป็นหลักประกันโดยไม่รวมการค้ำประกันบุคคล แต่ต้องไม่เกินมูลค่าสินทรัพย์ด้อยคุณภาพตามบัญชีหักเงินสำรองตามกฎหมาย
3) กำหนดให้ บสท. ชำระราคาสินทรัพย์ด้อยคุณภาพให้แก่สถาบันการเงินหรือบริษัทบริหารสินทรัพย์ โดยออกเป็นตราสารหนี้ซึ่งเปลี่ยนมือไม่ได้และมีกำหนดใช้เงินเมื่อสิ้นระยะเวลา 10 ปีนับแต่วันที่ออกตราสารหนี้นั้น
6. การแบ่งปันผลกำไรและรับผิดชอบผลขาดทุน
1) การแบ่งปันผลกำไร
(1) ผลกำไรส่วนแรกไม่เกินร้อยละ 20 ของราคาสินทรัพย์ด้อยคุณภาพให้แบ่งคนละครึ่งระหว่างบสท. กับสถาบันการเงินหรือบริษัทบริหารสินทรัพย์
(2) ผลกำไรส่วนที่ 2 ให้สถาบันการเงินหรือบริษัทบริหารสินทรัพย์รับไปทั้งหมด แต่ต้องไม่เกินส่วนต่างระหว่างมูลค่าตามบัญชีกับราคาที่ บสท. รับโอนมา
(3) กำไรส่วนที่เหลือจาก (2) ให้ บสท. รับไปทั้งหมด
2) การรับผิดชอบผลขาดทุน
(1) ผลขาดทุนส่วนแรกไม่เกินร้อยละ 20 ของราคาที่รับโอนให้สถาบันการเงินหรือบริษัทบริหารสินทรัพย์รับไปทั้งหมด
(2) ผลขาดทุนส่วนที่ 2 ไม่เกินร้อยละ 20 ของราคาที่รับโอนให้แบ่งกันคนละครึ่ง ระหว่าง บสท.และสถาบันการเงินหรือบริษัทบริหารสินทรัพย์
(3) ผลขาดทุนส่วนที่เหลือจาก (2) ให้ บสท. รับไปทั้งหมด
7. การบริหารสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ
บสท. มีอำนาจดำเนินการใน 3 กรณี ได้แก่ การปรับโครงสร้างหนี้ ปรับโครงสร้างกิจการ หรือจำหน่ายสินทรัพย์ที่เป็นหลักประกันของลูกหนี้ อย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่างรวมกันตามที่เห็นสมควร โดย บสท. จะดำเนินการบริหารกองสินทรัพย์เองหรือจะว่าจ้างผู้เชี่ยวชาญให้เป็นผู้บริหารกองสินทรัพย์ก็ได้
1) ในการปรับโครงสร้างหนี้ บสท. มีอำนาจใช้วิธีการต่าง ๆ อันได้แก่ การผ่อนปรนเงื่อนไขในการชำระหนี้ รับโอนทรัพย์สินของลูกหนี้เพื่อชำระหนี้ หรือดำเนินการอื่นใดโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการ บสท.
2) ในการปรับโครงสร้างกิจการ ให้ผู้บริหารกองสินทรัพย์หรือบุคคลอื่นใดที่ บสท. แต่งตั้งเปป็นผู้จัดทำแผนปรับโครงสร้างกิจการเสนอต่อคณะกรรมการบริหารเพื่อพิจารณาอนุมัติภายในเวลาที่คณะกรรมการ บสท. กำหนด และให้ผู้บริหารของลูกหนี้หมดอำนาจในการกระทำกิจการใด ๆ ในนามของลูกหนี้ ในกรณีที่ผู้บริหารแผนเห็นว่าแผนไม่อาจดำเนินต่อไปได้ให้รายงานไปยังคณะกรรมการบริหารเพื่อขออนุมัติต่อคณะกรรมการ บสท. เพื่อยุติการปรับโครงสร้างกิจการ
3) ในการจำหน่ายทรัพย์สินที่เป็นหลักประกัน ให้ บสท. ดำเนินการโดยวิธีขายทอดตลาดหรือวิธีอื่นใดที่จะเป็นประโยชน์มากกว่า และหากยังมีหนี้ที่ทรัพย์สินนั้นเป็นหลักประกันคงค้างอยู่ กำหนดให้หนี้นั้นเป็นอันพับไป
8. การกำกับ การดำเนินงานและการควบคุม
1) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังมีอำนาจกำกับโดยทั่วไปซึ่งกิจการของ บสท. และอาจมอบหมายให้ธนาคารแห่งประเทศไทยตรวจสอบกิจการ สินทรัพย์และหนี้สินของ บสท. ได้
2) เมื่อครบระยะเวลา 2 ปี นับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ กำหนดให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังแต่งตั้งคณะทำงานเพื่อจัดทำรายงานประเมินผลการดำเนินการของ บสท. และนำเสนอต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาว่าสมควรจะยุบหรือควรปรับปรุงการดำเนินการของ บสท. หรือไม่เพียงใด
9. การสอบและตรวจบัญชี
1) กำหนดให้รัฐมนตรีมีอำนาจแต่งตั้งสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินหรือบุคคลอื่นเป็นผู้สอบบัญชีของ บสท. และเสนอรายงานผลการตรวจสอบบัญชีต่อรัฐมนตรีฯ ทุก 6 เดือน
2) กำหนดให้ บสท. รายงานกิจการ งบดุล บัญชีกำไรและขาดทุน ซึ่งผู้สอบบัญชีรับรองแล้วต่อรัฐมนตรีฯ ภายใน 4 เดือนนับแต่วันสิ้นงวดการบัญชี เพื่อรายงานให้คณะรัฐมนตรีทราบ
10. การชดเชยความเสียหาย และการนำเงินส่งเป็นรายได้แผ่นดิน
ในกรณีที่กองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ ได้รับความเสียหาย เนื่องจากการที่ต้องลงทุนในการจัดตั้งหรือดำเนินกิจการของ บสท. การค้ำประกัน หรือรับรองหรือรับอาวัลตราสารที่ บสท. ออกหรือเนื่องจากการจ่ายดอกเบี้ยแทนบสท. ให้กระทรวงการคลังชดเชยให้กองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ เท่าจำนวนที่เสียหายภายในเวลาที่กระทรวงการคลังเห็นว่ากองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ มีความจำเป็นเว้นแต่ฐานะโดยรวมของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ อยู่ในเกณฑ์ดีแล้ว แต่ในกรณีที่กองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ ได้กำไรให้นำส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดินตามจำนวนที่กระทรวงการคลังกำหนด
11. ความคุ้มครองกรรมการและพนักงานของ บสท.
1) กรรมการ พนักงานและลูกจ้างของ บสท. ที่ดำเนินการไม่ต้องรับผิดในการกระทำของตน เมื่อได้ใช้ความระมัดระวังตามวิสัยของผู้ประกอบวิชาชีพดังกล่าว เว้นแต่เป็นกรณีฝ่าฝืนกฎหมาย ทุจริตหรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง
2) มิให้นำกฎหมายว่าด้วยการจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครองมาใช้บังคับแก่การดำเนินการเกี่ยวกับการบริหารสินทรัพย์ด้อยคุณภาพของ บสท. ตามกฎหมาย และการออกระเบียบหรือข้อบังคับ คำสั่งคำวินิจฉัย การอนุญาต และการกระทำอื่นใดของคณะกรรมการและคณะกรรมการบริหาร อันเกี่ยวกับการบริหารสินทรัพย์ด้อยคุณภาพตามพระราชบัญญัตินี้
12. บทกำหนดโทษ
ผู้บริหารกองทรัพย์สิน พนักงานและลูกจ้าง หรือบุคคลใดที่ บสท. มอบหมายให้ดำเนินการตามพระราชบัญญัตินี้ เรียก รับ หรือยอมจะรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดจากลูกหนี้ เพื่อให้ลูกหนี้รายใดชำระหนี้น้อยลงกว่าที่ควรจะเป็น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี และปรับไม่เกิน 1 แสนบาท เว้นแต่ผู้กระทำความผิดเป็นนิติบุคคลให้ระวางโทษปรับเท่ากับจำนวนมูลค่าของสินทรัพย์ด้อยคุณภาพของลูกหนี้รายนั้น
13. การยุบเลิก บสท.
เมื่อคณะรัฐมนตรีมีมติให้ยุบเลิก บสท. ให้ตราพระราชกฤษฎีกากำหนดการแต่งตั้งคณะกรรมการชำระบัญชี ระยะเวลาการชำระบัญชี เงื่อนไขในการโอนทรัพย์สินและหนี้สินของ บสท. และให้ดำเนินการชำระบัญชีให้แล้วเสร็จภายใน 1 ปี นับแต่วันที่พระราชกฤษฎีกาดังกล่าวใช้บังคับ และหากมีบรรดาทรัพย์สินของ บสท. เหลืออยู่ภายหลังการชำระบัญชีให้โอนแก่กระทรวงการคลังภายใน 60 วัน นับแต่วันถึงที่สุดแห่งการชำระบัญชี
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร)--วันที่ 29 พ.ค.2544
-สส-