ทำเนียบรัฐบาล--7 พ.ย.--นิวส์สแตนด์
คณะกรรมการรัฐมนตรีว่าด้วยนโยบายเศรษฐกิจรับทราบแนวทางการพัฒนา e-Thailand ตามที่คณะกรรมการเทคโนโลยีสารสนเทศแห่งชาติเสนอ ซึ่งได้พิจารณาถึงโครงสร้าง e-Thailand โดยแบ่งเป็นการมุ่งเน้นพัฒนาใน 6 สาขา ซึ่งมีสาระสำคัญ ดังนี้
1. การส่งเสริมและพัฒนาสังคม (e-Society) เพื่อลดช่องว่างของความเหลื่อมล้ำในสังคมอย่าเป็นรูปธรรม โดยมุ่งการพัฒนาสังคม บุคคลากร และสารสนเทศอย่งมีประสิทธิภาพ รวมทั้งส่งเสริมเครือข่างความร่วมมือเพื่อพัฒนาสังคมระหว่างภาครัฐและเอกชน
2. การสร้างรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (e-Government) ในการพัฒนาบุคลากรภาครัฐให้ทันกับพัฒนาการของเทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่อให้มีความสามารถในการพัฒนาและใช้เทคโนโลยีได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตลอดจนเร่งพัฒนาปรับปรุงแก้ไขกฎหมาย และเตรียมกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เอื้อต่อการดำเนินงานในรูปแบบใหม่ที่ใช้สื่ออิเล็กทรอนิกส์
3. นโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศ เพื่อการศึกษาและกำหนดทิศทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศอย่างชัดเจน เพื่อนำมาปรับนโยบายและแผนงานของประเทศในการส่งเสริมและพัฒนากิจกรรมพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งทั้งนี้หมายรวมถึง......ระดับชาติ และการสร้าง supply ...ในระดับภูมิภาคและระหว่างภูมิภาค
4. การเปิดเสรีทางด้านการค้า บริการ และการลงทุน (Liberalization : e-Trade, e-Service, e-Investment) ในการเปิดเสรีทางด้านการค้า บริการ และการลงทุนด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ อาจเป็นได้ทั้งโอกาสและภัยคุมคามสำหรับประเทศไทย ซึ่งทั้งนี้การเป็นโอกาสหรือเป็นภัยคุกคามนั้น ขึ้นอยู่กับความพร้อมของภาคเอกชนไทยในการตอบรับกับสภาพตลาดการค้าโดยเสรีที่จะเปิดโอกาสใหมีคู่แข่งขันทางการค้าจากประเทศต่างๆ ทั่วทั้งภูมิภาค ดังนั้น หากผู้ประกอบการของไทยสามารถมีความได้เปรีบบในการแข่งขัน โดยมีระบบการผลิต การจัดการทางการตลาด ระบบการกระจายสินค้าและบริการที่มีประสิทธิภาพแล้วนั้น การเปิดตลาดเสรีก็จะเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการของไทยสามารถขยายตลาดการค้าออกไปได้มากขึ้น แต่ในทางตรงกันข้าม หากผู้ประกอบการไทยขาดความพร้อม ไม่ว่าจะเป็นด้านเทคโนโลยี เงินทุน บุคลากร หรืออื่นๆ ก็จะทำให้ผู้ประกอบการไทยถูกคุกคามจากผู้ประกอบการต่างชาติที่มีความได้เปรียบมากกว่าทางด้านปัจจัยการแข่งขันต่างๆ ดังนั้น การส่งเสริมและสนับสนุนภาคเอกชน โดยเฉพาะผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดเล็กเพื่อเพิ่มขีดความสามารถทางด้านเทคโนโลยีการผลิต การบริการ ตลอดจนการพัฒนาบุคลากรในภาคอุตสาหกรรมการผลิตแลบริการ จึงเป็นความนำเป็นที่รัฐต้องให้การสนับสนุนอย่างจริงจัง
5. การอำนวยความสะดวกด้านพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (e-Commerce Facilitation) โดยมีข้อสังเกตที่สำคัญคือ
1) ต้องมีการอำนวยความสะดวกและสร้างความเชื่อมั่นในการทำธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ โดยจัดให้มีการกำกับดูแลกลไกของการเก็บรักษาข้อมูล การปกป้องความเป็นส่วนตัว การรักษาความปลอดภัยของระบบการชำระเงิน
2) การเร่งพัฒนา ปรับปรุง และเร่งผลักดันกฎหมายด้านพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ ด้านการคุ้มครองผู้บริโภค ด้านการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล และด้านการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา และทั้งนี้ให้มีความสอดคล้องกับกฎหมายระหว่างประเทศและมาตรฐานสากล ตลอดจนเหมาะสมกับสภาพสังคมไทย
3) เป้าหมายในส่วนของการพัฒนาพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ ที่รัฐพึงสนับสนุน คือ ด้านการผลิต และการบริการ
4) เร่งพัฒนาให้บุคลากรในทุกระดับมีความรู้ ความเข้าใจถึงประโยชน์ของพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ที่มีต่อธุรกิจและการดำเนินกิจกรรมของตนเอง
6. โครงสร้างพื้นฐานสารสนเทศ (Information Intrastructure) โดยมีข้อสังเกตและแนวทางที่สำคัญ คือ
1) เร่งสนับสนุนผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อมในการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศและอิเล็กทรอนิกส์เพื่อให้เกิดนวัตกรรมและสร้างความเข้มแข็งแก่อุตสาหกรรมการผลิตในประเทศ
2) เร่งรัดการพัฒนาเทคโนโลยีต่างๆ ที่นำมาใช้ในโครงสร้างพื้นฐานสารสนเทศ เช่น อุปกรณ์โทรคมนาคม อุปกรณ์ที่นำมาใช้งานกับระบบอินเทอร์เน็ต (Internet Appliance) อุปกรณ์และเนื้อหาเพื่อการศึกษาทางไกลระบบแผนที่ ระบบซอฟต์แวร์ต่างๆ เป็นต้น เพื่อทดแทนการนำเข้าที่จะมีปริมาณเพิ่มขึ้นมาก
3) มีการส่งเสริมการใช้อินเทอร์เน็ตอย่างกว้างขวางทั้งในภาคการศึกษาและภาคการพาณิชย์
4) ยกเลิกการผูกขาดทางด้านโทรคมนาคม
5) มีการจัดทำฐานข้อมูลและพัฒนาเครือข่ายฐานข้อมูลเพื่อให้บริการแก่ภาคธุรกิจและภาคอุตสาหกรรม รวมทั้งผู้บริโภค
6) สนับสนุนให้มีมาตรฐานทางเทคนิคและระบบด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและอิเล็กทรอนิกส์ ตลอดจนมาตรฐานผลิตภัณฑ์และบริการให้อยู่ในระดับมาตรฐานสากลระหว่างประเทศ
7) จัดทำนโยบายในการพัฒนากิจกรรมที่จะก่อให้เกิดเครือข่ายการผลิต และเครือข่ายมูลค่าเพิ่มบนโครงสร้างพื้นฐานสารสนเทศที่กำลังจะเกิดขึ้น อาทิเช่น ระบบจัดการขนส่งและกระจายสินค้า (......)
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดนายชวน หลีกภัย)--วันที่ 6 พ.ย. 2543--
-สส-
คณะกรรมการรัฐมนตรีว่าด้วยนโยบายเศรษฐกิจรับทราบแนวทางการพัฒนา e-Thailand ตามที่คณะกรรมการเทคโนโลยีสารสนเทศแห่งชาติเสนอ ซึ่งได้พิจารณาถึงโครงสร้าง e-Thailand โดยแบ่งเป็นการมุ่งเน้นพัฒนาใน 6 สาขา ซึ่งมีสาระสำคัญ ดังนี้
1. การส่งเสริมและพัฒนาสังคม (e-Society) เพื่อลดช่องว่างของความเหลื่อมล้ำในสังคมอย่าเป็นรูปธรรม โดยมุ่งการพัฒนาสังคม บุคคลากร และสารสนเทศอย่งมีประสิทธิภาพ รวมทั้งส่งเสริมเครือข่างความร่วมมือเพื่อพัฒนาสังคมระหว่างภาครัฐและเอกชน
2. การสร้างรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (e-Government) ในการพัฒนาบุคลากรภาครัฐให้ทันกับพัฒนาการของเทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่อให้มีความสามารถในการพัฒนาและใช้เทคโนโลยีได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตลอดจนเร่งพัฒนาปรับปรุงแก้ไขกฎหมาย และเตรียมกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เอื้อต่อการดำเนินงานในรูปแบบใหม่ที่ใช้สื่ออิเล็กทรอนิกส์
3. นโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศ เพื่อการศึกษาและกำหนดทิศทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศอย่างชัดเจน เพื่อนำมาปรับนโยบายและแผนงานของประเทศในการส่งเสริมและพัฒนากิจกรรมพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งทั้งนี้หมายรวมถึง......ระดับชาติ และการสร้าง supply ...ในระดับภูมิภาคและระหว่างภูมิภาค
4. การเปิดเสรีทางด้านการค้า บริการ และการลงทุน (Liberalization : e-Trade, e-Service, e-Investment) ในการเปิดเสรีทางด้านการค้า บริการ และการลงทุนด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ อาจเป็นได้ทั้งโอกาสและภัยคุมคามสำหรับประเทศไทย ซึ่งทั้งนี้การเป็นโอกาสหรือเป็นภัยคุกคามนั้น ขึ้นอยู่กับความพร้อมของภาคเอกชนไทยในการตอบรับกับสภาพตลาดการค้าโดยเสรีที่จะเปิดโอกาสใหมีคู่แข่งขันทางการค้าจากประเทศต่างๆ ทั่วทั้งภูมิภาค ดังนั้น หากผู้ประกอบการของไทยสามารถมีความได้เปรีบบในการแข่งขัน โดยมีระบบการผลิต การจัดการทางการตลาด ระบบการกระจายสินค้าและบริการที่มีประสิทธิภาพแล้วนั้น การเปิดตลาดเสรีก็จะเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการของไทยสามารถขยายตลาดการค้าออกไปได้มากขึ้น แต่ในทางตรงกันข้าม หากผู้ประกอบการไทยขาดความพร้อม ไม่ว่าจะเป็นด้านเทคโนโลยี เงินทุน บุคลากร หรืออื่นๆ ก็จะทำให้ผู้ประกอบการไทยถูกคุกคามจากผู้ประกอบการต่างชาติที่มีความได้เปรียบมากกว่าทางด้านปัจจัยการแข่งขันต่างๆ ดังนั้น การส่งเสริมและสนับสนุนภาคเอกชน โดยเฉพาะผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดเล็กเพื่อเพิ่มขีดความสามารถทางด้านเทคโนโลยีการผลิต การบริการ ตลอดจนการพัฒนาบุคลากรในภาคอุตสาหกรรมการผลิตแลบริการ จึงเป็นความนำเป็นที่รัฐต้องให้การสนับสนุนอย่างจริงจัง
5. การอำนวยความสะดวกด้านพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (e-Commerce Facilitation) โดยมีข้อสังเกตที่สำคัญคือ
1) ต้องมีการอำนวยความสะดวกและสร้างความเชื่อมั่นในการทำธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ โดยจัดให้มีการกำกับดูแลกลไกของการเก็บรักษาข้อมูล การปกป้องความเป็นส่วนตัว การรักษาความปลอดภัยของระบบการชำระเงิน
2) การเร่งพัฒนา ปรับปรุง และเร่งผลักดันกฎหมายด้านพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ ด้านการคุ้มครองผู้บริโภค ด้านการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล และด้านการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา และทั้งนี้ให้มีความสอดคล้องกับกฎหมายระหว่างประเทศและมาตรฐานสากล ตลอดจนเหมาะสมกับสภาพสังคมไทย
3) เป้าหมายในส่วนของการพัฒนาพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ ที่รัฐพึงสนับสนุน คือ ด้านการผลิต และการบริการ
4) เร่งพัฒนาให้บุคลากรในทุกระดับมีความรู้ ความเข้าใจถึงประโยชน์ของพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ที่มีต่อธุรกิจและการดำเนินกิจกรรมของตนเอง
6. โครงสร้างพื้นฐานสารสนเทศ (Information Intrastructure) โดยมีข้อสังเกตและแนวทางที่สำคัญ คือ
1) เร่งสนับสนุนผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อมในการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศและอิเล็กทรอนิกส์เพื่อให้เกิดนวัตกรรมและสร้างความเข้มแข็งแก่อุตสาหกรรมการผลิตในประเทศ
2) เร่งรัดการพัฒนาเทคโนโลยีต่างๆ ที่นำมาใช้ในโครงสร้างพื้นฐานสารสนเทศ เช่น อุปกรณ์โทรคมนาคม อุปกรณ์ที่นำมาใช้งานกับระบบอินเทอร์เน็ต (Internet Appliance) อุปกรณ์และเนื้อหาเพื่อการศึกษาทางไกลระบบแผนที่ ระบบซอฟต์แวร์ต่างๆ เป็นต้น เพื่อทดแทนการนำเข้าที่จะมีปริมาณเพิ่มขึ้นมาก
3) มีการส่งเสริมการใช้อินเทอร์เน็ตอย่างกว้างขวางทั้งในภาคการศึกษาและภาคการพาณิชย์
4) ยกเลิกการผูกขาดทางด้านโทรคมนาคม
5) มีการจัดทำฐานข้อมูลและพัฒนาเครือข่ายฐานข้อมูลเพื่อให้บริการแก่ภาคธุรกิจและภาคอุตสาหกรรม รวมทั้งผู้บริโภค
6) สนับสนุนให้มีมาตรฐานทางเทคนิคและระบบด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและอิเล็กทรอนิกส์ ตลอดจนมาตรฐานผลิตภัณฑ์และบริการให้อยู่ในระดับมาตรฐานสากลระหว่างประเทศ
7) จัดทำนโยบายในการพัฒนากิจกรรมที่จะก่อให้เกิดเครือข่ายการผลิต และเครือข่ายมูลค่าเพิ่มบนโครงสร้างพื้นฐานสารสนเทศที่กำลังจะเกิดขึ้น อาทิเช่น ระบบจัดการขนส่งและกระจายสินค้า (......)
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดนายชวน หลีกภัย)--วันที่ 6 พ.ย. 2543--
-สส-