ทำเนียบรัฐบาล--11 เม.ย.--นิวส์สแตนด์
คณะรัฐมนตรีเห็นชอบแผนแม่บทการพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (ภาคอุตสาหกรรม) ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ แล้วมีมติ ดังนี้
1. มอบหมายให้กระทรวงอุตสาหกรรมเป็นหน่วยงานหลักในการประสานการจัดทำแผนปฏิบัติการส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (ภาคอุตสาหกรรม) ภายใต้กรอบแผนแม่บทฯ โดยร่วมกับส่วนราชการ องค์กรภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ และองค์กรภาคเอกชนที่เกี่ยวข้อง และนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณา หรือเสนอคณะกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมที่จัดตั้งขึ้นเมื่อพระราชบัญญัติส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมมีผลบังคับใช้
2. เห็นชอบให้กระทรวงอุตสาหกรรมแต่งตั้งคณะกรรมการ คณะอนุกรรมการ หรือคณะทำงานร่วมระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อการจัดทำแผนปฏิบัติการตามข้อ 1 ตามความเหมาะสม
สำหรับสาระสำคัญของแผนแม่บทการพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (ภาคอุตสาหกรรม) ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ประกอบด้วย 4 ส่วนหลัก คือ
ส่วนที่ 1 บทบาทและความสำคัญของ SMEs
ในปัจจุบันภาคธุรกิจของไทยประกอบด้วยวิสาหกิจจำนวนทั้งสิ้นประมาณ 8.5 แสนกิจการ ในจำนวนนี้กว่าร้อยละ 99.7 จัดว่าเป็นวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม กล่าวคือมีการจ้างงานไม่เกิน 200 คนต่อกิจการ และประมาณร้อยละ 40 เป็นวิสาหกิจขนาดเล็กมากซึ่งอยู่นอกระบบ ไม่ได้จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลตามกฎหมาย ในภาคอุตสาหกรรมแรงงานประมาณกึ่งหนึ่ง และการจ้างงานใหม่ที่เกิดขึ้นหลังวิกฤตการณ์ในปี พ.ศ. 2540 ประมาณร้อยละ 60 อยู่ใน SMEs และประมาณร้อยละ 30 ของวิสาหกิจไทยพึ่งพาตลาดต่างประเทศ และอุตสาหกรรมส่งออกขนาดใหญ่ของไทยใช้วัตถุดิบแปรรูปขั้นต้นและชิ้นส่วนที่ผลิตภายในประเทศส่วนหนึ่ง การเพิ่มขีดความสามารถของ SMEs ที่เป็นผู้ผลิตเพื่อส่งออก และ SMEs ที่รับช่วงการผลิตจากผู้ส่งออก จึงเป็นกุญแจสำคัญในการพัฒนาการส่งออกของไทยและการสร้างรายได้ที่เป็นเงินตราต่างประเทศในภาพรวม
ส่วนที่ 2 ทิศทางและแนวคิดในการพัฒนา SMEs ภาคอุตสาหกรรม
การพัฒนาและส่งเสริม SMEs ต้องสามารถแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้าง อันได้แก่ การขาดเทคโนโลยี ขาดความสามารถในการจัดการสมัยใหม่ สินค้าด้อยคุณภาพ ขาดทรัพยากรบุคคลที่มีคุณภาพและตรงความต้องการ การกระจุกตัวอยู่ในเมืองใหม่ อุปสรรคในการเข้าถึงแหล่งทุน เป็นต้น ในขณะเดียวกัน ปัจจัยแวดล้อมการประกอบธุรกิจของ SMEs ได้เปลี่ยนไป และยังคงเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว อันเป็นผลจากการเปิดเสรีทางการค้าและความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีสารสนเทศ ไม่ว่า SMEs จะมุ่งตลาดภายในประเทศหรือตลาดต่างประเทศ ต่างก็จำเป็นต้องพัฒนาคุณภาพให้เข้าสู่มาตรฐานสากลและยกระดับผลิตภาพให้ทัดเทียมคู่แข่งขัน รวมทั้งต้องมีความสามารถที่จะเชื่อมโยงธุรกิจในลักษณะที่เป็นนานาชาติมากขึ้น ดังนั้น จึงได้กำหนดวิสัยทัศน์ของการพัฒนา SMEs ภาคอุตสาหกรรม ดังนี้
1) วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมมีขีดความสามารถในการแข่งขันในระดับสากล
2) วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมของคนไทยมีความเข้มแข็งสามารถพึ่งพาตนเองได้ ทั้งด้านการผลิตและการตลาด
3) วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมมีความเชื่อมโยงกับวิสาหกิจขนาดใหญ่และเชื่อมโยงกับภาคธุรกิจต่าง ๆ ในทุกภูมิภาคอย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพ นำไปสู่ความสมดุลในโครงสร้างเศรษฐกิจและสังคม เป็นกลไกที่สามารถช่วยบรรเทาผลกระทบจากความผันผวนในเศรษฐกิจโลกที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
ส่วนที่ 3 กลยุทธ์และมาตรการในการพัฒนา SMEs
เพื่อบรรลุวิสัยทัศน์การพัฒนาข้างต้น จึงกำหนดกลยุทธ์และมาตรการ ประกอบด้วย 7 กลยุทธ์หลัก ดังนี้
กลยุทธ์ที่ 1 ยกระดับความสามารถด้านเทคโนโลยีและการจัดการ
กลยุทธ์ที่ 2 พัฒนาผู้ประกอบการและทรัพยากรบุคคลของ SMEs
กลยุทธ์ที่ 3 สร้างและขยายโอกาสด้านการตลาดแก่ SMEs
กลยุทธ์ที่ 4 เพิ่มขีดความสามารถของสถาบันการเงินและสร้างกลไกเสริมทางการเงิน เพื่อการส่งเสริม SMEs
กลยุทธ์ที่ 5 ปรับปรุงสภาพแวดล้อมของธุรกิจ
กลยุทธ์ที่ 6 พัฒนาวิสาหกิจรายย่อยและวิสาหกิจชุมชน
กลยุทธ์ที่ 7 สร้างความเชื่อมโยงและพัฒนากลุ่มวิสาหกิจครบวงจร
ส่วนที่ 4 กลไกการบริหารแผน
กระบวนการบริหารและจัดการเพื่อนำแผนแม่บทฯ ไปสู่การปฏิบัติ กำหนดให้มีคณะกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมโดยนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน กับให้มีสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม เป็นหน่วยงานกลางทำหน้าที่ในการประสานการจัดทำแผนปฏิบัติการและติดตามประเมินผลสัมฤทธิ์ของแผนฯ โดยสำนักงานดังกล่าวมีสถานะเป็นองค์กรของรัฐที่ไม่เป็นส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจ อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของคณะกรรมการบริหารซึ่งมีปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมเป็นประธาน
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ชุดนายชวน หลีกภัย)--วันที่ 11 เมษายน 2543--
คณะรัฐมนตรีเห็นชอบแผนแม่บทการพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (ภาคอุตสาหกรรม) ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ แล้วมีมติ ดังนี้
1. มอบหมายให้กระทรวงอุตสาหกรรมเป็นหน่วยงานหลักในการประสานการจัดทำแผนปฏิบัติการส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (ภาคอุตสาหกรรม) ภายใต้กรอบแผนแม่บทฯ โดยร่วมกับส่วนราชการ องค์กรภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ และองค์กรภาคเอกชนที่เกี่ยวข้อง และนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณา หรือเสนอคณะกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมที่จัดตั้งขึ้นเมื่อพระราชบัญญัติส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมมีผลบังคับใช้
2. เห็นชอบให้กระทรวงอุตสาหกรรมแต่งตั้งคณะกรรมการ คณะอนุกรรมการ หรือคณะทำงานร่วมระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อการจัดทำแผนปฏิบัติการตามข้อ 1 ตามความเหมาะสม
สำหรับสาระสำคัญของแผนแม่บทการพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (ภาคอุตสาหกรรม) ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ประกอบด้วย 4 ส่วนหลัก คือ
ส่วนที่ 1 บทบาทและความสำคัญของ SMEs
ในปัจจุบันภาคธุรกิจของไทยประกอบด้วยวิสาหกิจจำนวนทั้งสิ้นประมาณ 8.5 แสนกิจการ ในจำนวนนี้กว่าร้อยละ 99.7 จัดว่าเป็นวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม กล่าวคือมีการจ้างงานไม่เกิน 200 คนต่อกิจการ และประมาณร้อยละ 40 เป็นวิสาหกิจขนาดเล็กมากซึ่งอยู่นอกระบบ ไม่ได้จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลตามกฎหมาย ในภาคอุตสาหกรรมแรงงานประมาณกึ่งหนึ่ง และการจ้างงานใหม่ที่เกิดขึ้นหลังวิกฤตการณ์ในปี พ.ศ. 2540 ประมาณร้อยละ 60 อยู่ใน SMEs และประมาณร้อยละ 30 ของวิสาหกิจไทยพึ่งพาตลาดต่างประเทศ และอุตสาหกรรมส่งออกขนาดใหญ่ของไทยใช้วัตถุดิบแปรรูปขั้นต้นและชิ้นส่วนที่ผลิตภายในประเทศส่วนหนึ่ง การเพิ่มขีดความสามารถของ SMEs ที่เป็นผู้ผลิตเพื่อส่งออก และ SMEs ที่รับช่วงการผลิตจากผู้ส่งออก จึงเป็นกุญแจสำคัญในการพัฒนาการส่งออกของไทยและการสร้างรายได้ที่เป็นเงินตราต่างประเทศในภาพรวม
ส่วนที่ 2 ทิศทางและแนวคิดในการพัฒนา SMEs ภาคอุตสาหกรรม
การพัฒนาและส่งเสริม SMEs ต้องสามารถแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้าง อันได้แก่ การขาดเทคโนโลยี ขาดความสามารถในการจัดการสมัยใหม่ สินค้าด้อยคุณภาพ ขาดทรัพยากรบุคคลที่มีคุณภาพและตรงความต้องการ การกระจุกตัวอยู่ในเมืองใหม่ อุปสรรคในการเข้าถึงแหล่งทุน เป็นต้น ในขณะเดียวกัน ปัจจัยแวดล้อมการประกอบธุรกิจของ SMEs ได้เปลี่ยนไป และยังคงเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว อันเป็นผลจากการเปิดเสรีทางการค้าและความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีสารสนเทศ ไม่ว่า SMEs จะมุ่งตลาดภายในประเทศหรือตลาดต่างประเทศ ต่างก็จำเป็นต้องพัฒนาคุณภาพให้เข้าสู่มาตรฐานสากลและยกระดับผลิตภาพให้ทัดเทียมคู่แข่งขัน รวมทั้งต้องมีความสามารถที่จะเชื่อมโยงธุรกิจในลักษณะที่เป็นนานาชาติมากขึ้น ดังนั้น จึงได้กำหนดวิสัยทัศน์ของการพัฒนา SMEs ภาคอุตสาหกรรม ดังนี้
1) วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมมีขีดความสามารถในการแข่งขันในระดับสากล
2) วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมของคนไทยมีความเข้มแข็งสามารถพึ่งพาตนเองได้ ทั้งด้านการผลิตและการตลาด
3) วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมมีความเชื่อมโยงกับวิสาหกิจขนาดใหญ่และเชื่อมโยงกับภาคธุรกิจต่าง ๆ ในทุกภูมิภาคอย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพ นำไปสู่ความสมดุลในโครงสร้างเศรษฐกิจและสังคม เป็นกลไกที่สามารถช่วยบรรเทาผลกระทบจากความผันผวนในเศรษฐกิจโลกที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
ส่วนที่ 3 กลยุทธ์และมาตรการในการพัฒนา SMEs
เพื่อบรรลุวิสัยทัศน์การพัฒนาข้างต้น จึงกำหนดกลยุทธ์และมาตรการ ประกอบด้วย 7 กลยุทธ์หลัก ดังนี้
กลยุทธ์ที่ 1 ยกระดับความสามารถด้านเทคโนโลยีและการจัดการ
กลยุทธ์ที่ 2 พัฒนาผู้ประกอบการและทรัพยากรบุคคลของ SMEs
กลยุทธ์ที่ 3 สร้างและขยายโอกาสด้านการตลาดแก่ SMEs
กลยุทธ์ที่ 4 เพิ่มขีดความสามารถของสถาบันการเงินและสร้างกลไกเสริมทางการเงิน เพื่อการส่งเสริม SMEs
กลยุทธ์ที่ 5 ปรับปรุงสภาพแวดล้อมของธุรกิจ
กลยุทธ์ที่ 6 พัฒนาวิสาหกิจรายย่อยและวิสาหกิจชุมชน
กลยุทธ์ที่ 7 สร้างความเชื่อมโยงและพัฒนากลุ่มวิสาหกิจครบวงจร
ส่วนที่ 4 กลไกการบริหารแผน
กระบวนการบริหารและจัดการเพื่อนำแผนแม่บทฯ ไปสู่การปฏิบัติ กำหนดให้มีคณะกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมโดยนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน กับให้มีสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม เป็นหน่วยงานกลางทำหน้าที่ในการประสานการจัดทำแผนปฏิบัติการและติดตามประเมินผลสัมฤทธิ์ของแผนฯ โดยสำนักงานดังกล่าวมีสถานะเป็นองค์กรของรัฐที่ไม่เป็นส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจ อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของคณะกรรมการบริหารซึ่งมีปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมเป็นประธาน
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ชุดนายชวน หลีกภัย)--วันที่ 11 เมษายน 2543--