ก่อนเข้าสู่วาระการประชุมคณะรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้แจ้งให้คณะรัฐมนตรีทราบ 2 ประเด็น คือ
1. เรื่องการแก้ไขปัญหาเร่งด่วนของชาติ นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงที่มาของการประชุมเชิงปฏิบัติการ (Workshop) ซึ่งได้ดำเนินการมาแล้ว 2 ครั้งว่า มีจุดประสงค์เพื่อแก้ไขปัญหาเร่งด่วนของชาติ และในขณะเดียวกันจะเป็นการทำลายกำแพงระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งของภาครัฐและภาคเอกชน ให้มีการประสานงานกันมากขึ้น โดยนำภารกิจเป็นตัวตั้ง และการประชุมเชิงปฏิบัติการทุกครั้งขอให้รัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องทุกท่านติดตามงาน และติดตามผลการดำเนินการ เมื่อมีการจัดการประชุมเชิงปฏิบัติการครบทุกเรื่องแล้วจะกลับมาติดตามความก้าวหน้าในเรื่องต่างๆ โดยจะเริ่มดูความก้าวหน้าของบรรษัทบริหารสินทรัพย์แห่งชาติต่อไป
2. การขาดดุลการค้าของประเทศ นายกรัฐมนตรีขอให้ทุกหน่วยงานชะลอการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ วัสดุอุปกรณ์ใดหากยุติการนำเข้าได้ก็ต้องหยุด หากมีความจำเป็นต้องนำเข้าขอให้ใช้ดุลยพินิจของรัฐมนตรีเจ้ากระทรวง แต่ถ้าหากเป็นเรื่องตัดสินใจไม่ได้ก็เสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป
อนึ่ง ภายหลังจากที่คณะรัฐมนตรีได้พิจารณาวาระการประชุมเพื่อทราบและวาระเพื่อพิจารณาแล้ว นายกรัฐมนตรีได้ปรารภและกล่าวถึงประเด็นต่าง ๆ ที่สำคัญของชาติ ดังนี้
1. นายกรัฐมนตรีได้แสดงความห่วงใยต่อสถานการณ์ทางเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่นที่กำลังมีปัญหาในขณะนี้ว่า อาจส่งผลกระทบต่อประเทศไทยอย่างแน่นอน นายกรัฐมนตรีจึงขอให้ทุกส่วนราชการดูว่า นโยบายเก่าและนโยบายที่กำลังดำเนินการในส่วนที่นำเข้าสินค้า วัสดุอุปกรณ์จากต่างประเทศ หากมีสินค้าใดที่ผลิตได้ในประเทศไทยก็ให้ใช้สินค้าไทย และให้ยกเลิกการจัดซื้อสินค้าที่มุ่งเน้นค่านายหน้า โดยมอบแนวทาง 3 ประการ คือ
(1) การชะลอ ยกเลิก และใช้สินค้านำเข้าจากต่างประเทศให้น้อยลง ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของรัฐมนตรี
(2) การดำเนินการตามข้อ (1) หากไม่มั่นใจให้ปรึกษาคณะรัฐมนตรี
(3) สิ่งใดที่ถือว่ามีความจำเป็นและเพื่อเป็นการวางโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อการลงทุน และได้รับ
ประโยชน์คุ้มค่า ก็ให้ดำเนินการได้
ส่วนราชการจะต้องมีบทบาทสำคัญในการใช้สินค้าที่ผลิตในประเทศไทย ทั้งนี้ ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายพิทักษ์ อินทรวิทยนันท์) ดำเนินการรณรงค์เรื่องการนิยมไทยเพื่อสร้างจิตสำนึกให้กับประชาชน นอกจากนี้ จะได้ตั้งคณะกรรมการเรื่องการประหยัดพลังงานเพื่อสร้างจิตสำนึกให้ประชาชนประหยัดพลังงานในทุกด้าน
2. นายกรัฐมนตรีได้กล่าวถึงการจัดประชุมเชิงปฏิบัติการเรื่องยาเสพติดภายใต้ยุทธศาสตร์พลังแผ่นดิน ที่จังหวัดเชียงราย เมื่อวันที่ 10-11 มีนาคม 2544 ว่าเป็นการเน้นการสร้างความเข้าใจให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปปฏิบัติ
3. นายกรัฐมนตรีได้แจ้งให้ทราบว่า จะมีการจัดการประชุมเชิงปฏิบัติการ (Workshop) เรื่องการท่องเที่ยวในสัปดาห์ต่อไป ต่อจากการจัดประชุมเรื่องนโยบายสาธารณสุข ในวันที่ 17-18 มีนาคม 2544 ที่หัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์
4. นายกรัฐมนตรีได้กล่าวถึงการพิจารณาเลื่อนขั้นเงินเดือนข้าราชการ ปีงบประมาณ 2545 นี้ว่า เป็นการปรับเปลี่ยนวิธีเลื่อนขั้นเงินเดือน จากเดิม 1 ครั้งต่อปี เป็น 2 ครั้งต่อปี มีเป้าหมายที่ต้องการกระตุ้นและเพิ่มประสิทธิภาพของข้าราชการ รวมทั้งเป็นมาตรการการคลังที่ต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อเพิ่มอำนาจการซื้อและให้มีการใช้จ่ายในภาคเศรษฐกิจมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ยังได้มีการเพิ่มเงินพิเศษที่ไม่ใช่โบนัส เป็นการพิจารณาถึงผลงานของข้าราชการ โดยมีการพิจารณาเงินตอบแทนเพิ่มเดือนที่ 13 เป็นค่าตอบแทนพิเศษ ตามประสิทธิภาพและผลงานของข้าราชการแต่ละคนเป็นหลัก ซึ่งการนำเงินงบประมาณที่มาใช้จ่ายนี้ไม่มีผลกระทบต่อภาระงบประมาณแต่อย่างใด
5. นายกรัฐมนตรีได้ขอให้มีการปรับบทบาทของคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน โดยปรับทิศทางให้สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจของประเทศ จากเดิมที่ผลิตเพื่อการส่งออก ซึ่งต้องใช้วัตถุดิบนำเข้าจากต่างประเทศเป็นจำนวนมาก มาเป็นการผลิตสินค้าวัสดุอุปกรณ์ที่เป็นวัตถุดิบที่เคยนำเข้าเพื่อทดแทนการนำเข้า
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร)--วันที่ 13 มี.ค.2544
-สส-
1. เรื่องการแก้ไขปัญหาเร่งด่วนของชาติ นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงที่มาของการประชุมเชิงปฏิบัติการ (Workshop) ซึ่งได้ดำเนินการมาแล้ว 2 ครั้งว่า มีจุดประสงค์เพื่อแก้ไขปัญหาเร่งด่วนของชาติ และในขณะเดียวกันจะเป็นการทำลายกำแพงระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งของภาครัฐและภาคเอกชน ให้มีการประสานงานกันมากขึ้น โดยนำภารกิจเป็นตัวตั้ง และการประชุมเชิงปฏิบัติการทุกครั้งขอให้รัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องทุกท่านติดตามงาน และติดตามผลการดำเนินการ เมื่อมีการจัดการประชุมเชิงปฏิบัติการครบทุกเรื่องแล้วจะกลับมาติดตามความก้าวหน้าในเรื่องต่างๆ โดยจะเริ่มดูความก้าวหน้าของบรรษัทบริหารสินทรัพย์แห่งชาติต่อไป
2. การขาดดุลการค้าของประเทศ นายกรัฐมนตรีขอให้ทุกหน่วยงานชะลอการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ วัสดุอุปกรณ์ใดหากยุติการนำเข้าได้ก็ต้องหยุด หากมีความจำเป็นต้องนำเข้าขอให้ใช้ดุลยพินิจของรัฐมนตรีเจ้ากระทรวง แต่ถ้าหากเป็นเรื่องตัดสินใจไม่ได้ก็เสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป
อนึ่ง ภายหลังจากที่คณะรัฐมนตรีได้พิจารณาวาระการประชุมเพื่อทราบและวาระเพื่อพิจารณาแล้ว นายกรัฐมนตรีได้ปรารภและกล่าวถึงประเด็นต่าง ๆ ที่สำคัญของชาติ ดังนี้
1. นายกรัฐมนตรีได้แสดงความห่วงใยต่อสถานการณ์ทางเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่นที่กำลังมีปัญหาในขณะนี้ว่า อาจส่งผลกระทบต่อประเทศไทยอย่างแน่นอน นายกรัฐมนตรีจึงขอให้ทุกส่วนราชการดูว่า นโยบายเก่าและนโยบายที่กำลังดำเนินการในส่วนที่นำเข้าสินค้า วัสดุอุปกรณ์จากต่างประเทศ หากมีสินค้าใดที่ผลิตได้ในประเทศไทยก็ให้ใช้สินค้าไทย และให้ยกเลิกการจัดซื้อสินค้าที่มุ่งเน้นค่านายหน้า โดยมอบแนวทาง 3 ประการ คือ
(1) การชะลอ ยกเลิก และใช้สินค้านำเข้าจากต่างประเทศให้น้อยลง ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของรัฐมนตรี
(2) การดำเนินการตามข้อ (1) หากไม่มั่นใจให้ปรึกษาคณะรัฐมนตรี
(3) สิ่งใดที่ถือว่ามีความจำเป็นและเพื่อเป็นการวางโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อการลงทุน และได้รับ
ประโยชน์คุ้มค่า ก็ให้ดำเนินการได้
ส่วนราชการจะต้องมีบทบาทสำคัญในการใช้สินค้าที่ผลิตในประเทศไทย ทั้งนี้ ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายพิทักษ์ อินทรวิทยนันท์) ดำเนินการรณรงค์เรื่องการนิยมไทยเพื่อสร้างจิตสำนึกให้กับประชาชน นอกจากนี้ จะได้ตั้งคณะกรรมการเรื่องการประหยัดพลังงานเพื่อสร้างจิตสำนึกให้ประชาชนประหยัดพลังงานในทุกด้าน
2. นายกรัฐมนตรีได้กล่าวถึงการจัดประชุมเชิงปฏิบัติการเรื่องยาเสพติดภายใต้ยุทธศาสตร์พลังแผ่นดิน ที่จังหวัดเชียงราย เมื่อวันที่ 10-11 มีนาคม 2544 ว่าเป็นการเน้นการสร้างความเข้าใจให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปปฏิบัติ
3. นายกรัฐมนตรีได้แจ้งให้ทราบว่า จะมีการจัดการประชุมเชิงปฏิบัติการ (Workshop) เรื่องการท่องเที่ยวในสัปดาห์ต่อไป ต่อจากการจัดประชุมเรื่องนโยบายสาธารณสุข ในวันที่ 17-18 มีนาคม 2544 ที่หัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์
4. นายกรัฐมนตรีได้กล่าวถึงการพิจารณาเลื่อนขั้นเงินเดือนข้าราชการ ปีงบประมาณ 2545 นี้ว่า เป็นการปรับเปลี่ยนวิธีเลื่อนขั้นเงินเดือน จากเดิม 1 ครั้งต่อปี เป็น 2 ครั้งต่อปี มีเป้าหมายที่ต้องการกระตุ้นและเพิ่มประสิทธิภาพของข้าราชการ รวมทั้งเป็นมาตรการการคลังที่ต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อเพิ่มอำนาจการซื้อและให้มีการใช้จ่ายในภาคเศรษฐกิจมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ยังได้มีการเพิ่มเงินพิเศษที่ไม่ใช่โบนัส เป็นการพิจารณาถึงผลงานของข้าราชการ โดยมีการพิจารณาเงินตอบแทนเพิ่มเดือนที่ 13 เป็นค่าตอบแทนพิเศษ ตามประสิทธิภาพและผลงานของข้าราชการแต่ละคนเป็นหลัก ซึ่งการนำเงินงบประมาณที่มาใช้จ่ายนี้ไม่มีผลกระทบต่อภาระงบประมาณแต่อย่างใด
5. นายกรัฐมนตรีได้ขอให้มีการปรับบทบาทของคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน โดยปรับทิศทางให้สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจของประเทศ จากเดิมที่ผลิตเพื่อการส่งออก ซึ่งต้องใช้วัตถุดิบนำเข้าจากต่างประเทศเป็นจำนวนมาก มาเป็นการผลิตสินค้าวัสดุอุปกรณ์ที่เป็นวัตถุดิบที่เคยนำเข้าเพื่อทดแทนการนำเข้า
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร)--วันที่ 13 มี.ค.2544
-สส-