วันนี้ เมื่อเวลา 09.30 น. ที่ห้องประชุมสีเขียว ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล นายชวน หลีกภัย นายก-รัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการรัฐมนตรีว่าด้วยนโยบายเศรษฐกิจ นายอรรคพล สรสุชาติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นางรัตนา จงสุทธนามณี และนายปาน พึ่งสุจริต รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้ร่วมกันแถลงผลการประชุมคณะกรรมการดังกล่าว สรุปได้ดังนี้
1. เรื่อง การแก้ไขปัญหาภาคอุตสาหกรรม
คณะกรรมการรัฐมนตรีว่าด้วยนโยบายเศรษฐกิจรับทราบตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมรายงานว่า คณะทำงานแก้ไขปัญหาภาคอุตสาหกรรม ได้แต่งตั้งกลุ่มทำงานเพื่อดำเนินการแก้ไขปัญหาภาคอุตสาหกรรมรวม 6 กลุ่ม ดังนี้
1. กลุ่มทำงานแก้ไขปัญหาด้านกฎ ระเบียบ นโยบาย กลุ่มทำงานแก้ไขปัญหาด้านโครงสร้างพื้นฐาน กลุ่มทำงานแก้ไขปัญหาด้านภาษีอากรและการเงิน และกลุ่มทำงานแก้ไขปัญหาด้านการผลิตและวัตถุดิบ โดยมีรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมเป็นประธานทั้งสี่กลุ่ม
2. กลุ่มทำงานแก้ไขปัญหาด้านการตลาดและข้อตกลงทางการค้าระหว่างประเทศ มีรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์เป็นประธาน
3. กลุ่มทำงานแก้ไขปัญหาด้านแรงงาน มีรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม เป็นประธาน
กลุ่มทำงานดังกล่าวได้พิจารณาแก้ไขปัญหาในส่วนที่เกี่ยวข้อง และได้รายงานให้คณะรัฐมนตรีทราบ 2 ครั้ง เมื่อวันที่ 9 มีนาคม และวันที่ 28 กันยายน 2542 และที่ประชุมคณะรัฐมนตรีวันที่ 28 กันยายน มีมติให้กระทรวงอุตสาหกรรมติดตามผลการแก้ไขปัญหาภาคอุตสาหกรรมในส่วนที่ได้ดำเนินการไปแล้ว และเร่งรัดดำเนินการในส่วนที่ยังแก้ไขไม่แล้วเสร็จ นั้น
กระทรวงอุตสาหกรรมได้ติดตามผลการแก้ไขปัญหาภาคอุตสาหกรรมที่ได้ดำเนินการแล้ว ปรากฏว่าปัญหาส่วนใหญ่ได้แก้ไขเป็นที่เรียบร้อยแล้ว มีเพียงบางปัญหาที่จำเป็นต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่อง สำหรับปัญหาที่ยังแก้ไขไม่แล้วเสร็จ จะได้ประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อเร่งดำเนินการแก้ไขต่อไป
2. เรื่อง กรอบการติดตามงานของรัฐบาลในช่วง 5 เดือนสุดท้ายของปีงบประมาณ 2543
คณะกรรมการรัฐมนตรีว่าด้วยนโยบายเศรษฐกิจให้ความเห็นชอบกรอบการเร่งรัดติดตามงานในช่วงที่เหลือของปีงบประมาณ 2543 ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ และให้ความเห็นเกี่ยวกับงานที่สมควรเร่งรัดเพิ่มเติมให้แล้วเสร็จภายในปีงบประมาณ 2543 โดยในช่วงไตรมาสแรกของปี 2543 ดัชนีและเครื่องชี้เศรษฐกิจยังคงแสดงให้เห็นถึงแนวโน้มการฟื้นตัวต่อเนื่อง การส่งออกมีแนวโน้มจะเพิ่มสูงกว่าเป้าหมาย ในขณะที่ภาวะระดับราคา อัตราแลกเปลี่ยน ดุลการชำระเงินยังคงมีเสถียรภาพ ในช่วงต่อไปของปี 2543 การดำเนินงานของภาครัฐยังคงต้องพยายามแก้ไขปัญหาหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ให้ลดลงได้อย่างยั่งยืน และกระตุ้นการลงทุนภาคเอกชนให้เห็นผลเป็นรูปธรรมอย่างชัดเจน และเพื่อให้การดำเนินงานของภาครัฐสนับสนุนการฟื้นตัวได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สำหรับกรอบการเร่งรัดติดตามงานในช่วง 5 - 6 เดือนสุดท้ายของปีงบประมาณ 2543 ภายใต้กรอบนโยบายและมาตรการเศรษฐกิจ 4 ด้าน มีดังนี้
1. ด้านเศรษฐกิจมหภาคการเงินการคลัง เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ของนโยบายและมาตรการทางด้านการเงินการคลังที่จะสนับสนุนให้ภาคเศรษฐกิจที่แท้จริงฟื้นตัวและก่อให้เกิดรายได้จากการจ้างงานที่แท้จริงในระยะยาว โดย 1) ส่งผ่านสภาพคล่องทางการเงิน (Credit Line) ให้ถึงผู้ประกอบในภาคการผลิตและบริการ โดยเฉพาะวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม 2) เสริมสภาพคล่องให้กับภาคเอกชนผ่านการใช้เงินงบประมาณแผ่นดินและเงินกู้ต่างประเทศ และ 3) ปรับปรุงโครงสร้างภาษีระยะยาวเพื่อลดต้นทุนการผลิตให้สามารถแข่งขันได้ งานที่ควรเร่งรัดการดำเนินการที่สำคัญได้แก่
1.1 การเสริมสภาพคล่องให้กับภาคเศรษฐกิจที่แท้จริง เป็นการดำเนินการผ่าน 2 ช่องทาง คือ
1) ขยายวงเงินความช่วยเหลือทางการเงินให้กับสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ โดยเฉพาะธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย เพื่อนำไปปล่อยกู้ต่อหรือปล่อยกู้ร่วมกับสถาบันการเงินเอกชนให้กับผู้ส่งออกและผู้ผลิตสินค้าอุตสาหกรรมเพื่อส่งออก รวมทั้งการส่งออกไปยังตลาดใหม่
2) ขยายความอนุเคราะห์ทางการเงินแก่วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมให้ครอบคลุมกิจการภาคการผลิตและบริการมากขึ้น เช่น ภาคการค้า ภาคบริการ และการรับจ้างทำของ ทั้งนี้โดยพิจารณาผ่อนคลายกฎระเบียบเพื่อช่วยให้วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมที่ประสบปัญหาและเข้าร่วมกระบวนการปรับโครงสร้างหนี้ดำเนินงานต่อไปได้
นอกจากนี้ ให้ติดตามการให้ความช่วยเหลือด้านสภาพคล่องให้กับภาคอุตสาหกรรมโดยผ่านกองทุน 3 กองทุนตามมาตรการ 10 สิงหาคม 2542 และเร่งรัดการเบิกจ่ายเงินงบประมาณและงบลงทุนรัฐวิสาหกิจประจำปี 2543 ให้เป็นไปตามเป้าหมายอย่างมีประสิทธิภาพและโปร่งใส
1.2 การจัดตั้งศูนย์ข้อมูลเครดิต มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการแลกเปลี่ยนข้อมูลประวัติการปล่อยสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ ในระหว่างที่ยังรอผ่านร่างพระราชบัญญัติธุรกิจศูนย์ข้อมูลเครดิตนั้น ทางภาคเอกชนโดยสมาคมธนาคารไทยได้ริเริ่มจัดตั้งบริษัทศูนย์ข้อมูลเครดิตให้สามารถดำเนินการได้เป็นการล่วงหน้า แต่ยังคงมีปัญหาและอุปสรรคในทางปฏิบัติที่สำคัญคือการนำข้อมูลลูกค้ามาเปิดเผยระหว่างธนาคารด้วยกัน ซึ่งทางกระทรวงการคลังพร้อมจะรับฟังความคิดเห็นของสมาคมธนาคารไทยเพื่อประกอบการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว และรับที่จะไปดูประเด็นข้อกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง
1.3 การปรับโครงสร้างพิกัดอัตราศุลกากรที่ยังมีความลักลั่นของอัตราภาษีนำเข้าวัตถุดิบที่สูงกว่าสินค้าสำเร็จรูป ซึ่งเป็นมาตรการที่จะสนับสนุนให้ธุรกิจที่มีศักยภาพในการแข่งขันและไม่มีปัญหาด้านหนี้สิน มีขีดความสามารถในการแข่งขันในตลาดส่งออกได้มากขึ้นจากการที่มีต้นทุนด้านภาษีที่เหมาะสม ในเรื่องนี้กระทรวงการคลังได้รับมอบหมายจากคณะรัฐมนตรีตามมติการประชุมเมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2541 ให้พิจารณาปรับโครงสร้างพิกัดอัตราศุลกากรทั้งระบบ โดยกระทรวงการคลังได้ตั้งคณะทำงานขึ้น 2 ชุด คือ คณะกรรมการปรับปรุงโครงสร้างพิกัดอัตราศุลกากรที่ดูแลเกี่ยวกับด้านนโยบาย และคณะทำงานด้านเทคนิคที่ดูรายละเอียดของโครงสร้างพิกัดอัตราศุลกากรของแต่ละกลุ่มสินค้า ซึ่งบัดนี้ได้สรุปข้อเสนอในการดำเนินการแก้ไขโครงสร้างภาษีเสร็จเรียบร้อยแล้ว และอยู่ในระหว่างนำเสนอคณะรัฐมนตรี
2. ด้านการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันหรือเพิ่มศักยภาพของภาคการผลิตและการส่งออก ได้แก่ ภาคเกษตร ภาคอุตสาหกรรม ภาคการส่งออก ภาคธุรกิจการท่องเที่ยว และการกระตุ้นการลงทุน ดังนี้
2.1 ภาคเกษตร โดยเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายและแผนงานปรับโครงสร้างภาคผลิตภาคเกษตรภายใต้เงินกู้ต่างประเทศ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้รายงานความคืบหน้าต่อคณะกรรมการรัฐมนตรีว่าด้วยนโยบายเศรษฐกิจ เมื่อวันที่ 3 เมษายน 2543 นอกจากนี้ควรให้ความสำคัญเพิ่มเติมใน 2 เรื่อง ได้แก่
1) ผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากการเปิดเสรีทางการค้า ทางกระทรวงพาณิชย์และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ควรร่วมกันศึกษาเพิ่มเติมในกรณีที่ผลการศึกษาเกี่ยวกับผลกระทบยังไม่ชัดเจน โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมสิ่งทอ อุตสาหกรรมนม ส่วนสินค้าเกษตรภายใต้กรอบอาฟต้าส่วนใหญ่จะเป็นประโยชน์ต่อไทยชัดเจน ยกเว้นปาล์มน้ำมัน
2) การส่งเสริมงานวิจัยและพัฒนาให้มากขึ้น โดยเฉพาะการปรับปรุงประสิทธิภาพและการเพิ่มผลผลิตต่อหน่วยในสินค้าพืชเกษตรหลัก
2.2 ภาคอุตสาหกรรม
1) ติดตามและเร่งรัดการดำเนินงานตามแผนการปรับโครงสร้างอุตสาหกรรม โดยให้ความสำคัญเร่งด่วนกับแผนงานการปรับปรุงประสิทธิภาพและเพิ่มผลิตภาพการผลิตในระดับโรงงาน
2) ติดตามการดำเนินงานสนับสนุนอุตสาหหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อมอย่างเป็นระบบ ทั้งในด้านการลงทุน การถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิต การจัดการสมัยใหม่ และการพัฒนาคุณภาพและรูปแบบผลิตภัณฑ์เพื่อให้อุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อมมีความเข้มแข็งและเลี้ยงตนเองได้ในระยะยาว
3) ส่งเสริมอุตสาหกรรมที่มีการใช้วัตถุดิบในประเทศ เพื่อให้เกิดความเชื่อมโยงการผลิตภายในประเทศ โดยเฉพาะกับแหล่งการผลิตในภาคเกษตรและเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลผลิตของประเทศ
4) ติดตามการดำเนินการของสถาบันเฉพาะทางที่จัดตั้งแล้วให้ดำเนินการอย่างจริงจัง ได้แก่ สถาบันอาหาร สถาบันเครื่องไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ สถาบันอัญมณี สถาบันสิ่งทอ และสถาบันยานยนต์ เพื่อประเมินประสิทธิภาพและประสิทธิผลของการดำเนินงาน โดยเฉพาะในเรื่องการทำวิจัยและพัฒนาเพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมให้มีศักยภาพในการแข่งขันและมีคุณภาพตรงตามความต้องการของตลาด
5) ติดตามผลการดำเนินงานด้านมาตรฐานสินค้า องค์กร และกลไกตรวจสอบ โดยเร่งให้เข้าสู่ระดับมาตรฐานสากล ISO ด้านอุตสาหกรรม รวมทั้งมาตรฐานสุขอนามัย
2.3 ภาคการส่งออก
1) ดำเนินการป้องกันและแก้ไขปัญหาการตอบโต้การทุ่มตลาดด้วยมาตรการภาษี โดยมีความจำเป็นที่จะต้องพยายามผลักดันให้มีการลดการอุดหนุนจากประเทศที่พัฒนาแล้ว
2) เร่งรัดกลยุทธ์การเจาะตลาดใหม่ โดยมีเป้าหมายที่จะปรับโครงสร้างตลาดให้กระจายไปยังตลาดใหม่เพิ่มขึ้นจากสัดส่วนตลาดเก่าและตลาดใหม่จากเดิมร้อยละ 75 : 25 ให้เป็นร้อยละ 65 : 35
3) ติดตามการแก้ไขปัญหาการส่งเสริมการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมบางประเภทที่มีศักยภาพการส่งออกดี เรื่องที่ยังค้างการพิจารณาซึ่งยังมีประเด็นปัญหาในส่วนที่เกี่ยวกับการขอผ่อนคลายกฎระเบียบต่าง ๆ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ควรจะได้มีการชี้แจงข้อจำกัด หรือหากจำเป็นควรนำเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณากำหนดเป็นนโยบายที่เหมาะสมต่อไป
4) เตรียมพร้อมด้านพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ ผลักดันให้ร่างพระราชบัญญัติที่เกี่ยวข้องกับพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ผ่านการพิจารณาวาระแรกของสภาผู้แทนราษฎรอย่างน้อย 2 ฉบับจากทั้งหมด 6 ฉบับ
2.4 ภาคการท่องเที่ยว ได้แก่ การเร่งรัดการดำเนินการตามแผนการอนุรักษ์ ฟื้นฟู และปรับปรุงแหล่งท่องเที่ยวภายใต้เงินกู้ต่างประเทศ ซึ่งเน้นกลยุทธ์หลัก 3 ประการ คือ 1) การเปิดตัวแหล่งท่องเที่ยวใหม่ ๆ 2) การตลาด และ 3) การพัฒนาบุคลากรด้านการท่องเที่ยวให้มีคุณภาพมากขึ้น
2.5 การกระตุ้นการลงทุน
1) เร่งรัดการทบทวนและจัดลำดับความสำคัญของโครงการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน โดยให้ความสำคัญกับโครงการที่จะช่วยลดต้นทุนและเพิ่มศักยภาพการผลิต
2) ติดตามการดำเนินการภายใต้มาตรการเพื่อสนับสนุนการลงทุนภาคเอกชนที่ประกาศใช้เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2542 ให้มีผลในทางปฏิบัติอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวการลงทุนภาคเอกชน ซึ่งเป็นเงื่อนไขจำเป็นต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน
3) ปรับปรุงกรอบโครงสร้างนโยบายส่งเสริมการลงทุนให้สนับสนุนการเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันของประเทศในระยะยาว โดยให้ครอบคลุมปัจจัยที่จะนำไปสู่ความสำเร็จที่สำคัญ 3 ประการคือ การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ การส่งเสริมงานวิจัยและพัฒนา และการพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำหรับเรื่องนี้อยู่ในระหว่างดำเนินการของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน
3. ด้านการลดผลกระทบต่อคนและสังคม อยู่ในความรับผิดชอบของคณะกรรมการระดับชาติ 3 ชุด คือ คณะกรรมการนโยบายสังคมแห่งชาติ คณะกรรมการบรรเทาปัญหาการว่างงานแห่งชาติ และคณะกรรมการประสานนโยบายและจัดทำแผนปฏิบัติการเพื่อพัฒนาสังคม งานที่ควรเร่งรัดการดำเนินงานที่สำคัญ ได้แก่
3.1 ติดตามและเร่งรัดการดำเนินงานการบรรเทาปัญหาการว่างงาน เพื่อให้สามารถสร้างงานในตลาดได้ไม่ต่ำกว่า 1.3 ล้านคนต่อปี
3.2 ติดตามและจัดทำแผนปฏิบัติการเพื่อลดผลกระทบทางสังคมที่มีต่อผู้ด้อยโอกาสและคนยากจน โดยการจัดทำยุทธศาสตร์การคุ้มครองทางสังคมและการติดตามและประเมินโครงการเงินกู้ทางด้านสังคม เพื่อลดผลกระทบจากภาวะวิกฤตเศรษฐกิจ เพื่อนำไปสู่การปรับปรุงการกำหนดแผนงานโครงข่ายการคุ้มครองทางสังคม การปรับปรุงประสิทธิภาพกระบวนการบริหารจัดการบริการทางสังคม
3.3 ปรับปรุงประสิทธิภาพและวางระบบการจัดการด้านความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน
3.4 เร่งรัดและติดตามกระบวนการการวางรากฐานการพัฒนาคนและสังคม ซึ่งได้มีการปฏิรูปภาคสังคมหลายเรื่องเพื่อนำไปสู่การปรับโครงสร้างทางสังคม
3.5 พัฒนาระบบฐานข้อมูลและสารสนเทศด้านคนและสังคมที่มีเครือข่ายการดำเนินงานเชื่อมโยงทั้งในระดับประเทศ ระดับภูมิภาค ระดับจังหวัด และระดับชุมชน เพื่อใช้เป็นฐานข้อมูลสำหรับการเฝ้าระวังและเตือนภัยล่วงหน้า และเพื่อให้ชุมชนใช้เป็นเครื่องมือในการวางแผนแก้ปัญหาด้วยตนเอง คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในเดือนกันยายน 2543
4. ด้านการบริหารจัดการภาครัฐ งานที่ควรเร่งรัดการดำเนินการ ได้แก่ การกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ตามที่พระราชบัญญัติกำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2542 ได้กำหนดว่า ในปีงบประมาณ 2544 ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีรายได้เพิ่มขึ้นคิดเป็นสัดส่วนไม่น้อยกว่าร้อยละ 20 ของรายได้รัฐบาล ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 11 เมษายน 2543 อนุมัติกรอบวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2544 โดยรวมถึงวงเงินที่เป็นไปตามพระราชบัญญัติดังกล่าวแล้ว เรื่องที่ควรเร่งรัดพิจารณามีดังนี้
4.1 ในการจัดสรรเงินอุดหนุนเพื่อการถ่ายโอนภารกิจจากส่วนกลางไปให้องค์กรปครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่ดำเนินการ ควรให้ตรงกับความต้องการของประชาชนในพื้นที่อย่างแท้จริง และควรมีหลักเกณฑ์ตลอดจนวิธีปฏิบัติที่ชัดเจน และสามารถทำให้ส่วนท้องถิ่นเบิกจ่ายงบประมาณได้รวดเร็วยิ่งขึ้น
4.2 ในการจัดแบ่งภาษีอากรจากส่วนกลางไปจัดสรรให้ส่วนท้องถิ่น ควรมีความชัดเจนในเรื่องหลักเกณฑ์การจัดสรรและสัดส่วนที่ท้องถิ่นแต่ละรูปแบบจะได้รับ
4.3 ในการจัดทำแผนการกระจายอำนาจฯ และแผนปฏิบัติการเพื่อกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นตามพระราชบัญญัติข้างต้น ควรเร่งรัดให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องจัดทำให้เสร็จภายในสิ้นปีงบประมาณ 2543 เพื่อให้ทันกับกระบวนการจัดทำคำของบประมาณในปี 2545 ต่อไป
นอกจากนี้ คณะกรรมการรัฐมนตรีว่าด้วยนโยบายเศรษฐกิจได้มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดูแลและเร่งรัดการดำเนินงานดังกล่าวให้เป็นไปตามเป้าหมายและวัตถุประสงค์ และนำเสนอคณะกรรมการรัฐมนตรีว่าด้วยนโยบายเศรษฐกิจ หรือคณะรัฐมนตรี ทั้งนี้ โดยมอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการติดตามผลความก้าวหน้าเพื่อรายงานต่อคณะกรรมการรัฐมนตรีว่าด้วยนโยบายเศรษฐกิจต่อไป
3. เรื่อง โครงการปฏิรูปกองทุนบำเหน็จบำนาญและกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ
คณะกรรมการรัฐมนตรีว่าด้วยนโยบายเศรษฐกิจรับทราบผลการศึกษาโครงการปฏิรูปกองทุนบำเหน็จบำนาญและกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ และให้ความเห็นชอบในหลักการของการริเริ่มโครงการปฏิรูประบบการออมเพื่อการชราภาพ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ซึ่งบริษัทที่ปรึกษา Deloitte & Touche Consulting Group, Thailand ได้ดำเนินการศึกษาเกี่ยวกับการปฏิรูปกองทุนบำเหน็จบำนาญและกองทุนสำรองเลี้ยงชีพของประเทศไทย โดยมีสาระสำคัญของผลการศึกษาสรุปได้ ดังนี้
1. ระบบกองทุนบำเหน็จบำนาญและกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการออมเพื่อการชราภาพ ในหลักการประกอบด้วยกองทุน 3 ระดับ ดังนี้
1) กองทุนชั้นที่ 1 (Pillar 1) เป็นโครงการบำเหน็จบำนาญแบบบังคับ ซึ่งสมาชิกจะได้รับผลประโยชน์ทดแทนตามอัตราที่กำหนด (Defined Benefit) โดยสมาชิกอาจจ่ายเงินสะสมเพียงบางส่วน หรืออาจไม่ต้องจ่ายเงินสะสมเลย โครงการบำเหน็จบำนาญลักษณะนี้ที่มีอยู่ในประเทศไทยในปัจจุบัน คือ ระบบบำเหน็จบำนาญของข้าราชการ และกองทุนประกันสังคมเพื่อการชราภาพของลูกจ้างภาคเอกชน
2) กองทุนชั้นที่ 2 (Pillar 2) เป็นโครงการบำเหน็จบำนาญแบบบังคับ ซึ่งฝ่ายลูกจ้างและฝ่ายนายจ้างต้องจ่ายเงินสะสม/เงินสมทบตามอัตราที่กำหนด (Defined Contribution) โดยสมาชิกแต่ละรายจะได้รับประโยชน์ทดแทนเต็มตามจำนวนเงินสะสม/เงินสมทบในส่วนของตนที่จ่ายเข้ากองทุนและดอกผลที่เกิดขึ้น โครงการบำเหน็จบำนาญลักษณะนี้ที่มีอยู่ในประเทศไทยในปัจจุบันมีเฉพาะสำหรับข้าราชการ คือ กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ
3) กองทุนชั้นที่ 3 (Pillar 3) เป็นโครงการการออมเพื่อการชราภาพแบบสมัครใจ ซึ่งพนักงานหรือลูกจ้างเป็นผู้ออมเพียงฝ่ายเดียว หรือโดยมีนายจ้างร่วมจ่ายเงินสมทบด้วย โครงการการออมลักษณะนี้ที่มีอยู่ในประเทศไทยในปัจจุบันที่สำคัญ คือ กองทุนสำรองเลี้ยงชีพในภาคเอกชน และภาครัฐวิสาหกิจ และกองทุนสำรองเลี้ยงชีพสำหรับลูกจ้างประจำภาครัฐ
อย่างไรก็ดี ในการศึกษาของบริษัทที่ปรึกษาฯ ครั้งนี้ ได้เน้นเฉพาะในส่วนของโครงการบำเหน็จบำนาญเฉพาะของลูกจ้างภาคเอกชนเท่านั้น
2. จากการศึกษาคาดว่าในอีก 20 ปีข้างหน้าประเทศไทยอาจประสบกับปัญหาวิกฤตจากการมีจำนวนประชากรสูงอายุเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว อีกทั้งระบบกองทุนบำเหน็จบำนาญของไทยในปัจจุบันยังไม่สามารถตอบสนองได้ดีเท่าที่ควรต่อวัตถุประสงค์หลักของการมีระบบบำเหน็จบำนาญที่ดี 4 ด้าน คือ 1) การมีรายได้ที่เพียงพอหลังเกษียณอายุ 2) ระบบมีความครอบคลุมแรงงานอย่างทั่วถึง 3) ระบบมีความเป็นไปได้ทางการเงินในระยะยาว และ 4) ระบบเป็นเครื่องมือพัฒนาและสร้างเสถียรภาพของพนักงานของเศรษฐกิจ
3. จากผลการศึกษา บริษัทที่ปรึกษาฯ ได้เสนอทางเลือกในการปรับปรุงระบบบำเหน็จบำนาญและกองทุนสำรองเลี้ยงชีพสำหรับไทย 4 ทางเลือก สรุปได้ดังนี้
ทางเลือกที่ 1 แก้ไขปรับปรุงระบบบำเหน็จบำนาญเฉพาะตามแผนที่สำนักงานประกันสังคมกำหนดไว้แล้ว ได้แก่ การขยายขอบข่ายการครอบคลุมของสำนักงานประกันสังคมให้กว้างขวางขึ้น และแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายว่าด้วยกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ เพื่อให้มีการบริหารจัดการ การกำกับดูแล และการตรวจสอบที่เหมาะสมและรัดกุมยิ่งขึ้น
ทางเลือกที่ 2 นำระบบกองทุนชั้นที่ 2 ซึ่งเป็นกองทุนการออมเพื่อการชราภาพแบบบังคับ ซึ่งสมาชิกจะได้รับผลประโยชน์เต็มตามจำนวนเงินสะสม/เงินสมทบและดอกผลมาใช้แทนระบบกองทุนประกันสังคมเพื่อการชราภาพ ซึ่งเป็นกองทุนชั้นที่ 1 สำหรับลูกจ้างภาคเอกชนที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน
ทางเลือกที่ 3 เปลี่ยนกองทุนชั้นที่ 3 คือ กองทุนสำรองเลี้ยงชีพแบบสมัครใจ ในปัจจุบันให้เป็นกองทุนสำรองเลี้ยงชีพแบบบังคับ โดยกำหนดให้นายจ้างทุกรายต้องจัดตั้งกองทุนสำรองเลี้ยงชีพสำหรับพนักงาน และให้ส่วนลูกจ้างภาคเอกชนในระยะแรกอาจเป็นสมาชิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพโดยความสมัครใจ แต่เมื่อถึงระยะเวลาหนึ่งลูกจ้างทุกคนต้องเป็นสมาชิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพที่นายจ้างจัดตั้งขึ้น
ทางเลือกที่ 4 จัดตั้งระบบบำเหน็จบำนาญแบบหลายชั้น (Multi - Pillar) โดยปรับปรุงกองทุนประกันสังคมเพื่อการชราภาพ ซึ่งเป็นกองทุนชั้นที่ 1 ให้มีความแข็งแกร่งและขยายขอบข่ายความครอบคลุมของกองทุน และจัดตั้งกองทุนการออมเพื่อการชราภาพแบบบังคับ ซึ่งเป็นกองทุนชั้นที่ 2 โดยให้เอกชนเป็นผู้บริหารกองทุน รวมทั้งปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ซึ่งเป็นกองทุนชั้นที่ 3 เพื่อให้มีการบริหารจัดการ การกำกับดูแล และการตรวจสอบที่เหมาะสมและรัดกุมยิ่งขึ้น
บริษัทที่ปรึกษาฯ มีความเห็นว่าเมื่อพิจารณาตามหลักเกณฑ์ 4 ประการ ตามข้อ 2 แล้ว เห็นว่าทางเลือกที่ 4 เป็นทางเลือกที่เหมาะสมกับประเทศไทยมากที่สุด
4. สำหรับทางเลือกที่ 4 ที่บริษัทที่ปรึกษาฯ เสนอ มีรายละเอียดดังนี้
1) สร้างความแข็งแกร่งและขยายระบบประกันสังคม (กองทุนชั้นที่ 1) โดยจัดให้มีการประกันประโยชน์ทดแทนขั้นต่ำ เพิ่มอายุเกษียณอย่างค่อยเป็นค่อยไป ให้รัฐบาลหยุดจ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคมกรณีชราภาพและสงเคราะห์บุตร ตลอดจนขยายขอบเขตของประกันสังคมให้ครอบคลุมลูกจ้างภาครัฐวิสาหกิจและพนักงานภาครัฐที่ไม่มีระบบการออมเพื่อการชราภาพแบบกำหนดประโยชน์ทดแทน
2) จัดตั้งกองทุนการออมเพื่อการชราภาพแบบบังคับ (กองทุนชั้นที่ 2) โดยให้เอกชนเป็นผู้บริหารจัดการกองทุน และมีการแยกบัญชีเป็นรายบุคคล รวมทั้งต้องมีการจัดวางระบบเพื่อการดำเนินการและการกำกับดูแลกองทุนดังกล่าว
3) ปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (กองทุนชั้นที่ 3) เพื่อให้มีการบริหารจัดการการกำกับดูแล และการตรวจสอบที่เหมาะสมและรัดกุมยิ่งขึ้น รวมทั้งควรพิจารณาปรับปรุงสิทธิประโยชน์ทางภาษี เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนการออมเพื่อการชราภาพโดยสมัครใจรูปแบบอื่น ๆ ด้วย
ทั้งนี้ คณะกรรมการรัฐมนตรีว่าด้วยนโยบายเศรษฐกิจได้มอบหมายให้กระทรวงการคลังดำเนินการตามแผนการที่ได้กำหนดไว้ ดังนี้
1. นำรายงานการศึกษาของบริษัทที่ปรึกษา Deloitte & Touche Consulting Group, Thailand เสนอคณะกรรมการรัฐมนตรีว่าด้วยนโยบายเศรษฐกิจเพื่อทราบและเห็นชอบในหลักการของการริเริ่มโครงการปฏิรูประบบการออมเพื่อการชราภาพ
2. นำรายงานการศึกษาของบริษัทที่ปรึกษา Deloitte & Touche Consulting Group, Thailand บรรจุไว้เป็นหัวข้อหนึ่งสำหรับการจัดประชุมสัมมนาการปฏิรูประบบกองทุนบำเหน็จบำนาญภายใต้กรอบเอเปค ในวันที่ 30 - 31มีนาคม 2543 ซึ่งประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ
3. คณะกรรมการนโยบายเงินออมเพื่อการชราภาพจะพิจารณากำหนดแผนการดำเนินการและหาแนวนโยบายที่เหมาะสม เพื่อเสนอแผนการปฏิรูประบบการออมเพื่อการชราภาพ รวมทั้งจัดตั้งแกนนำในการผลักดันเพื่อให้เกิดการปฏิรูปที่ชัดเจนและเหมาะสม
4. จัดให้มีการสัมมนาและประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจให้แก่ประชาชน พร้อมทั้งให้ผู้เข้าร่วมสัมมนาแสดงความคิดเห็นภายในปี 2543
5. ร่างและแก้ไขข้อกฎหมายและกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องและจำเป็นต่อการปรับปรุงระบบบำเหน็จบำนาญฯ ให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ชุดนายชวน หลีกภัย)--วันที่ 24 เมษายน 2543--
1. เรื่อง การแก้ไขปัญหาภาคอุตสาหกรรม
คณะกรรมการรัฐมนตรีว่าด้วยนโยบายเศรษฐกิจรับทราบตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมรายงานว่า คณะทำงานแก้ไขปัญหาภาคอุตสาหกรรม ได้แต่งตั้งกลุ่มทำงานเพื่อดำเนินการแก้ไขปัญหาภาคอุตสาหกรรมรวม 6 กลุ่ม ดังนี้
1. กลุ่มทำงานแก้ไขปัญหาด้านกฎ ระเบียบ นโยบาย กลุ่มทำงานแก้ไขปัญหาด้านโครงสร้างพื้นฐาน กลุ่มทำงานแก้ไขปัญหาด้านภาษีอากรและการเงิน และกลุ่มทำงานแก้ไขปัญหาด้านการผลิตและวัตถุดิบ โดยมีรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมเป็นประธานทั้งสี่กลุ่ม
2. กลุ่มทำงานแก้ไขปัญหาด้านการตลาดและข้อตกลงทางการค้าระหว่างประเทศ มีรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์เป็นประธาน
3. กลุ่มทำงานแก้ไขปัญหาด้านแรงงาน มีรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม เป็นประธาน
กลุ่มทำงานดังกล่าวได้พิจารณาแก้ไขปัญหาในส่วนที่เกี่ยวข้อง และได้รายงานให้คณะรัฐมนตรีทราบ 2 ครั้ง เมื่อวันที่ 9 มีนาคม และวันที่ 28 กันยายน 2542 และที่ประชุมคณะรัฐมนตรีวันที่ 28 กันยายน มีมติให้กระทรวงอุตสาหกรรมติดตามผลการแก้ไขปัญหาภาคอุตสาหกรรมในส่วนที่ได้ดำเนินการไปแล้ว และเร่งรัดดำเนินการในส่วนที่ยังแก้ไขไม่แล้วเสร็จ นั้น
กระทรวงอุตสาหกรรมได้ติดตามผลการแก้ไขปัญหาภาคอุตสาหกรรมที่ได้ดำเนินการแล้ว ปรากฏว่าปัญหาส่วนใหญ่ได้แก้ไขเป็นที่เรียบร้อยแล้ว มีเพียงบางปัญหาที่จำเป็นต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่อง สำหรับปัญหาที่ยังแก้ไขไม่แล้วเสร็จ จะได้ประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อเร่งดำเนินการแก้ไขต่อไป
2. เรื่อง กรอบการติดตามงานของรัฐบาลในช่วง 5 เดือนสุดท้ายของปีงบประมาณ 2543
คณะกรรมการรัฐมนตรีว่าด้วยนโยบายเศรษฐกิจให้ความเห็นชอบกรอบการเร่งรัดติดตามงานในช่วงที่เหลือของปีงบประมาณ 2543 ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ และให้ความเห็นเกี่ยวกับงานที่สมควรเร่งรัดเพิ่มเติมให้แล้วเสร็จภายในปีงบประมาณ 2543 โดยในช่วงไตรมาสแรกของปี 2543 ดัชนีและเครื่องชี้เศรษฐกิจยังคงแสดงให้เห็นถึงแนวโน้มการฟื้นตัวต่อเนื่อง การส่งออกมีแนวโน้มจะเพิ่มสูงกว่าเป้าหมาย ในขณะที่ภาวะระดับราคา อัตราแลกเปลี่ยน ดุลการชำระเงินยังคงมีเสถียรภาพ ในช่วงต่อไปของปี 2543 การดำเนินงานของภาครัฐยังคงต้องพยายามแก้ไขปัญหาหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ให้ลดลงได้อย่างยั่งยืน และกระตุ้นการลงทุนภาคเอกชนให้เห็นผลเป็นรูปธรรมอย่างชัดเจน และเพื่อให้การดำเนินงานของภาครัฐสนับสนุนการฟื้นตัวได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สำหรับกรอบการเร่งรัดติดตามงานในช่วง 5 - 6 เดือนสุดท้ายของปีงบประมาณ 2543 ภายใต้กรอบนโยบายและมาตรการเศรษฐกิจ 4 ด้าน มีดังนี้
1. ด้านเศรษฐกิจมหภาคการเงินการคลัง เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ของนโยบายและมาตรการทางด้านการเงินการคลังที่จะสนับสนุนให้ภาคเศรษฐกิจที่แท้จริงฟื้นตัวและก่อให้เกิดรายได้จากการจ้างงานที่แท้จริงในระยะยาว โดย 1) ส่งผ่านสภาพคล่องทางการเงิน (Credit Line) ให้ถึงผู้ประกอบในภาคการผลิตและบริการ โดยเฉพาะวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม 2) เสริมสภาพคล่องให้กับภาคเอกชนผ่านการใช้เงินงบประมาณแผ่นดินและเงินกู้ต่างประเทศ และ 3) ปรับปรุงโครงสร้างภาษีระยะยาวเพื่อลดต้นทุนการผลิตให้สามารถแข่งขันได้ งานที่ควรเร่งรัดการดำเนินการที่สำคัญได้แก่
1.1 การเสริมสภาพคล่องให้กับภาคเศรษฐกิจที่แท้จริง เป็นการดำเนินการผ่าน 2 ช่องทาง คือ
1) ขยายวงเงินความช่วยเหลือทางการเงินให้กับสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ โดยเฉพาะธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย เพื่อนำไปปล่อยกู้ต่อหรือปล่อยกู้ร่วมกับสถาบันการเงินเอกชนให้กับผู้ส่งออกและผู้ผลิตสินค้าอุตสาหกรรมเพื่อส่งออก รวมทั้งการส่งออกไปยังตลาดใหม่
2) ขยายความอนุเคราะห์ทางการเงินแก่วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมให้ครอบคลุมกิจการภาคการผลิตและบริการมากขึ้น เช่น ภาคการค้า ภาคบริการ และการรับจ้างทำของ ทั้งนี้โดยพิจารณาผ่อนคลายกฎระเบียบเพื่อช่วยให้วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมที่ประสบปัญหาและเข้าร่วมกระบวนการปรับโครงสร้างหนี้ดำเนินงานต่อไปได้
นอกจากนี้ ให้ติดตามการให้ความช่วยเหลือด้านสภาพคล่องให้กับภาคอุตสาหกรรมโดยผ่านกองทุน 3 กองทุนตามมาตรการ 10 สิงหาคม 2542 และเร่งรัดการเบิกจ่ายเงินงบประมาณและงบลงทุนรัฐวิสาหกิจประจำปี 2543 ให้เป็นไปตามเป้าหมายอย่างมีประสิทธิภาพและโปร่งใส
1.2 การจัดตั้งศูนย์ข้อมูลเครดิต มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการแลกเปลี่ยนข้อมูลประวัติการปล่อยสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ ในระหว่างที่ยังรอผ่านร่างพระราชบัญญัติธุรกิจศูนย์ข้อมูลเครดิตนั้น ทางภาคเอกชนโดยสมาคมธนาคารไทยได้ริเริ่มจัดตั้งบริษัทศูนย์ข้อมูลเครดิตให้สามารถดำเนินการได้เป็นการล่วงหน้า แต่ยังคงมีปัญหาและอุปสรรคในทางปฏิบัติที่สำคัญคือการนำข้อมูลลูกค้ามาเปิดเผยระหว่างธนาคารด้วยกัน ซึ่งทางกระทรวงการคลังพร้อมจะรับฟังความคิดเห็นของสมาคมธนาคารไทยเพื่อประกอบการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว และรับที่จะไปดูประเด็นข้อกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง
1.3 การปรับโครงสร้างพิกัดอัตราศุลกากรที่ยังมีความลักลั่นของอัตราภาษีนำเข้าวัตถุดิบที่สูงกว่าสินค้าสำเร็จรูป ซึ่งเป็นมาตรการที่จะสนับสนุนให้ธุรกิจที่มีศักยภาพในการแข่งขันและไม่มีปัญหาด้านหนี้สิน มีขีดความสามารถในการแข่งขันในตลาดส่งออกได้มากขึ้นจากการที่มีต้นทุนด้านภาษีที่เหมาะสม ในเรื่องนี้กระทรวงการคลังได้รับมอบหมายจากคณะรัฐมนตรีตามมติการประชุมเมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2541 ให้พิจารณาปรับโครงสร้างพิกัดอัตราศุลกากรทั้งระบบ โดยกระทรวงการคลังได้ตั้งคณะทำงานขึ้น 2 ชุด คือ คณะกรรมการปรับปรุงโครงสร้างพิกัดอัตราศุลกากรที่ดูแลเกี่ยวกับด้านนโยบาย และคณะทำงานด้านเทคนิคที่ดูรายละเอียดของโครงสร้างพิกัดอัตราศุลกากรของแต่ละกลุ่มสินค้า ซึ่งบัดนี้ได้สรุปข้อเสนอในการดำเนินการแก้ไขโครงสร้างภาษีเสร็จเรียบร้อยแล้ว และอยู่ในระหว่างนำเสนอคณะรัฐมนตรี
2. ด้านการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันหรือเพิ่มศักยภาพของภาคการผลิตและการส่งออก ได้แก่ ภาคเกษตร ภาคอุตสาหกรรม ภาคการส่งออก ภาคธุรกิจการท่องเที่ยว และการกระตุ้นการลงทุน ดังนี้
2.1 ภาคเกษตร โดยเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายและแผนงานปรับโครงสร้างภาคผลิตภาคเกษตรภายใต้เงินกู้ต่างประเทศ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้รายงานความคืบหน้าต่อคณะกรรมการรัฐมนตรีว่าด้วยนโยบายเศรษฐกิจ เมื่อวันที่ 3 เมษายน 2543 นอกจากนี้ควรให้ความสำคัญเพิ่มเติมใน 2 เรื่อง ได้แก่
1) ผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากการเปิดเสรีทางการค้า ทางกระทรวงพาณิชย์และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ควรร่วมกันศึกษาเพิ่มเติมในกรณีที่ผลการศึกษาเกี่ยวกับผลกระทบยังไม่ชัดเจน โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมสิ่งทอ อุตสาหกรรมนม ส่วนสินค้าเกษตรภายใต้กรอบอาฟต้าส่วนใหญ่จะเป็นประโยชน์ต่อไทยชัดเจน ยกเว้นปาล์มน้ำมัน
2) การส่งเสริมงานวิจัยและพัฒนาให้มากขึ้น โดยเฉพาะการปรับปรุงประสิทธิภาพและการเพิ่มผลผลิตต่อหน่วยในสินค้าพืชเกษตรหลัก
2.2 ภาคอุตสาหกรรม
1) ติดตามและเร่งรัดการดำเนินงานตามแผนการปรับโครงสร้างอุตสาหกรรม โดยให้ความสำคัญเร่งด่วนกับแผนงานการปรับปรุงประสิทธิภาพและเพิ่มผลิตภาพการผลิตในระดับโรงงาน
2) ติดตามการดำเนินงานสนับสนุนอุตสาหหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อมอย่างเป็นระบบ ทั้งในด้านการลงทุน การถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิต การจัดการสมัยใหม่ และการพัฒนาคุณภาพและรูปแบบผลิตภัณฑ์เพื่อให้อุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อมมีความเข้มแข็งและเลี้ยงตนเองได้ในระยะยาว
3) ส่งเสริมอุตสาหกรรมที่มีการใช้วัตถุดิบในประเทศ เพื่อให้เกิดความเชื่อมโยงการผลิตภายในประเทศ โดยเฉพาะกับแหล่งการผลิตในภาคเกษตรและเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลผลิตของประเทศ
4) ติดตามการดำเนินการของสถาบันเฉพาะทางที่จัดตั้งแล้วให้ดำเนินการอย่างจริงจัง ได้แก่ สถาบันอาหาร สถาบันเครื่องไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ สถาบันอัญมณี สถาบันสิ่งทอ และสถาบันยานยนต์ เพื่อประเมินประสิทธิภาพและประสิทธิผลของการดำเนินงาน โดยเฉพาะในเรื่องการทำวิจัยและพัฒนาเพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมให้มีศักยภาพในการแข่งขันและมีคุณภาพตรงตามความต้องการของตลาด
5) ติดตามผลการดำเนินงานด้านมาตรฐานสินค้า องค์กร และกลไกตรวจสอบ โดยเร่งให้เข้าสู่ระดับมาตรฐานสากล ISO ด้านอุตสาหกรรม รวมทั้งมาตรฐานสุขอนามัย
2.3 ภาคการส่งออก
1) ดำเนินการป้องกันและแก้ไขปัญหาการตอบโต้การทุ่มตลาดด้วยมาตรการภาษี โดยมีความจำเป็นที่จะต้องพยายามผลักดันให้มีการลดการอุดหนุนจากประเทศที่พัฒนาแล้ว
2) เร่งรัดกลยุทธ์การเจาะตลาดใหม่ โดยมีเป้าหมายที่จะปรับโครงสร้างตลาดให้กระจายไปยังตลาดใหม่เพิ่มขึ้นจากสัดส่วนตลาดเก่าและตลาดใหม่จากเดิมร้อยละ 75 : 25 ให้เป็นร้อยละ 65 : 35
3) ติดตามการแก้ไขปัญหาการส่งเสริมการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมบางประเภทที่มีศักยภาพการส่งออกดี เรื่องที่ยังค้างการพิจารณาซึ่งยังมีประเด็นปัญหาในส่วนที่เกี่ยวกับการขอผ่อนคลายกฎระเบียบต่าง ๆ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ควรจะได้มีการชี้แจงข้อจำกัด หรือหากจำเป็นควรนำเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณากำหนดเป็นนโยบายที่เหมาะสมต่อไป
4) เตรียมพร้อมด้านพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ ผลักดันให้ร่างพระราชบัญญัติที่เกี่ยวข้องกับพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ผ่านการพิจารณาวาระแรกของสภาผู้แทนราษฎรอย่างน้อย 2 ฉบับจากทั้งหมด 6 ฉบับ
2.4 ภาคการท่องเที่ยว ได้แก่ การเร่งรัดการดำเนินการตามแผนการอนุรักษ์ ฟื้นฟู และปรับปรุงแหล่งท่องเที่ยวภายใต้เงินกู้ต่างประเทศ ซึ่งเน้นกลยุทธ์หลัก 3 ประการ คือ 1) การเปิดตัวแหล่งท่องเที่ยวใหม่ ๆ 2) การตลาด และ 3) การพัฒนาบุคลากรด้านการท่องเที่ยวให้มีคุณภาพมากขึ้น
2.5 การกระตุ้นการลงทุน
1) เร่งรัดการทบทวนและจัดลำดับความสำคัญของโครงการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน โดยให้ความสำคัญกับโครงการที่จะช่วยลดต้นทุนและเพิ่มศักยภาพการผลิต
2) ติดตามการดำเนินการภายใต้มาตรการเพื่อสนับสนุนการลงทุนภาคเอกชนที่ประกาศใช้เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2542 ให้มีผลในทางปฏิบัติอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวการลงทุนภาคเอกชน ซึ่งเป็นเงื่อนไขจำเป็นต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน
3) ปรับปรุงกรอบโครงสร้างนโยบายส่งเสริมการลงทุนให้สนับสนุนการเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันของประเทศในระยะยาว โดยให้ครอบคลุมปัจจัยที่จะนำไปสู่ความสำเร็จที่สำคัญ 3 ประการคือ การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ การส่งเสริมงานวิจัยและพัฒนา และการพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำหรับเรื่องนี้อยู่ในระหว่างดำเนินการของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน
3. ด้านการลดผลกระทบต่อคนและสังคม อยู่ในความรับผิดชอบของคณะกรรมการระดับชาติ 3 ชุด คือ คณะกรรมการนโยบายสังคมแห่งชาติ คณะกรรมการบรรเทาปัญหาการว่างงานแห่งชาติ และคณะกรรมการประสานนโยบายและจัดทำแผนปฏิบัติการเพื่อพัฒนาสังคม งานที่ควรเร่งรัดการดำเนินงานที่สำคัญ ได้แก่
3.1 ติดตามและเร่งรัดการดำเนินงานการบรรเทาปัญหาการว่างงาน เพื่อให้สามารถสร้างงานในตลาดได้ไม่ต่ำกว่า 1.3 ล้านคนต่อปี
3.2 ติดตามและจัดทำแผนปฏิบัติการเพื่อลดผลกระทบทางสังคมที่มีต่อผู้ด้อยโอกาสและคนยากจน โดยการจัดทำยุทธศาสตร์การคุ้มครองทางสังคมและการติดตามและประเมินโครงการเงินกู้ทางด้านสังคม เพื่อลดผลกระทบจากภาวะวิกฤตเศรษฐกิจ เพื่อนำไปสู่การปรับปรุงการกำหนดแผนงานโครงข่ายการคุ้มครองทางสังคม การปรับปรุงประสิทธิภาพกระบวนการบริหารจัดการบริการทางสังคม
3.3 ปรับปรุงประสิทธิภาพและวางระบบการจัดการด้านความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน
3.4 เร่งรัดและติดตามกระบวนการการวางรากฐานการพัฒนาคนและสังคม ซึ่งได้มีการปฏิรูปภาคสังคมหลายเรื่องเพื่อนำไปสู่การปรับโครงสร้างทางสังคม
3.5 พัฒนาระบบฐานข้อมูลและสารสนเทศด้านคนและสังคมที่มีเครือข่ายการดำเนินงานเชื่อมโยงทั้งในระดับประเทศ ระดับภูมิภาค ระดับจังหวัด และระดับชุมชน เพื่อใช้เป็นฐานข้อมูลสำหรับการเฝ้าระวังและเตือนภัยล่วงหน้า และเพื่อให้ชุมชนใช้เป็นเครื่องมือในการวางแผนแก้ปัญหาด้วยตนเอง คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในเดือนกันยายน 2543
4. ด้านการบริหารจัดการภาครัฐ งานที่ควรเร่งรัดการดำเนินการ ได้แก่ การกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ตามที่พระราชบัญญัติกำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2542 ได้กำหนดว่า ในปีงบประมาณ 2544 ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีรายได้เพิ่มขึ้นคิดเป็นสัดส่วนไม่น้อยกว่าร้อยละ 20 ของรายได้รัฐบาล ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 11 เมษายน 2543 อนุมัติกรอบวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2544 โดยรวมถึงวงเงินที่เป็นไปตามพระราชบัญญัติดังกล่าวแล้ว เรื่องที่ควรเร่งรัดพิจารณามีดังนี้
4.1 ในการจัดสรรเงินอุดหนุนเพื่อการถ่ายโอนภารกิจจากส่วนกลางไปให้องค์กรปครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่ดำเนินการ ควรให้ตรงกับความต้องการของประชาชนในพื้นที่อย่างแท้จริง และควรมีหลักเกณฑ์ตลอดจนวิธีปฏิบัติที่ชัดเจน และสามารถทำให้ส่วนท้องถิ่นเบิกจ่ายงบประมาณได้รวดเร็วยิ่งขึ้น
4.2 ในการจัดแบ่งภาษีอากรจากส่วนกลางไปจัดสรรให้ส่วนท้องถิ่น ควรมีความชัดเจนในเรื่องหลักเกณฑ์การจัดสรรและสัดส่วนที่ท้องถิ่นแต่ละรูปแบบจะได้รับ
4.3 ในการจัดทำแผนการกระจายอำนาจฯ และแผนปฏิบัติการเพื่อกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นตามพระราชบัญญัติข้างต้น ควรเร่งรัดให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องจัดทำให้เสร็จภายในสิ้นปีงบประมาณ 2543 เพื่อให้ทันกับกระบวนการจัดทำคำของบประมาณในปี 2545 ต่อไป
นอกจากนี้ คณะกรรมการรัฐมนตรีว่าด้วยนโยบายเศรษฐกิจได้มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดูแลและเร่งรัดการดำเนินงานดังกล่าวให้เป็นไปตามเป้าหมายและวัตถุประสงค์ และนำเสนอคณะกรรมการรัฐมนตรีว่าด้วยนโยบายเศรษฐกิจ หรือคณะรัฐมนตรี ทั้งนี้ โดยมอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการติดตามผลความก้าวหน้าเพื่อรายงานต่อคณะกรรมการรัฐมนตรีว่าด้วยนโยบายเศรษฐกิจต่อไป
3. เรื่อง โครงการปฏิรูปกองทุนบำเหน็จบำนาญและกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ
คณะกรรมการรัฐมนตรีว่าด้วยนโยบายเศรษฐกิจรับทราบผลการศึกษาโครงการปฏิรูปกองทุนบำเหน็จบำนาญและกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ และให้ความเห็นชอบในหลักการของการริเริ่มโครงการปฏิรูประบบการออมเพื่อการชราภาพ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ซึ่งบริษัทที่ปรึกษา Deloitte & Touche Consulting Group, Thailand ได้ดำเนินการศึกษาเกี่ยวกับการปฏิรูปกองทุนบำเหน็จบำนาญและกองทุนสำรองเลี้ยงชีพของประเทศไทย โดยมีสาระสำคัญของผลการศึกษาสรุปได้ ดังนี้
1. ระบบกองทุนบำเหน็จบำนาญและกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการออมเพื่อการชราภาพ ในหลักการประกอบด้วยกองทุน 3 ระดับ ดังนี้
1) กองทุนชั้นที่ 1 (Pillar 1) เป็นโครงการบำเหน็จบำนาญแบบบังคับ ซึ่งสมาชิกจะได้รับผลประโยชน์ทดแทนตามอัตราที่กำหนด (Defined Benefit) โดยสมาชิกอาจจ่ายเงินสะสมเพียงบางส่วน หรืออาจไม่ต้องจ่ายเงินสะสมเลย โครงการบำเหน็จบำนาญลักษณะนี้ที่มีอยู่ในประเทศไทยในปัจจุบัน คือ ระบบบำเหน็จบำนาญของข้าราชการ และกองทุนประกันสังคมเพื่อการชราภาพของลูกจ้างภาคเอกชน
2) กองทุนชั้นที่ 2 (Pillar 2) เป็นโครงการบำเหน็จบำนาญแบบบังคับ ซึ่งฝ่ายลูกจ้างและฝ่ายนายจ้างต้องจ่ายเงินสะสม/เงินสมทบตามอัตราที่กำหนด (Defined Contribution) โดยสมาชิกแต่ละรายจะได้รับประโยชน์ทดแทนเต็มตามจำนวนเงินสะสม/เงินสมทบในส่วนของตนที่จ่ายเข้ากองทุนและดอกผลที่เกิดขึ้น โครงการบำเหน็จบำนาญลักษณะนี้ที่มีอยู่ในประเทศไทยในปัจจุบันมีเฉพาะสำหรับข้าราชการ คือ กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ
3) กองทุนชั้นที่ 3 (Pillar 3) เป็นโครงการการออมเพื่อการชราภาพแบบสมัครใจ ซึ่งพนักงานหรือลูกจ้างเป็นผู้ออมเพียงฝ่ายเดียว หรือโดยมีนายจ้างร่วมจ่ายเงินสมทบด้วย โครงการการออมลักษณะนี้ที่มีอยู่ในประเทศไทยในปัจจุบันที่สำคัญ คือ กองทุนสำรองเลี้ยงชีพในภาคเอกชน และภาครัฐวิสาหกิจ และกองทุนสำรองเลี้ยงชีพสำหรับลูกจ้างประจำภาครัฐ
อย่างไรก็ดี ในการศึกษาของบริษัทที่ปรึกษาฯ ครั้งนี้ ได้เน้นเฉพาะในส่วนของโครงการบำเหน็จบำนาญเฉพาะของลูกจ้างภาคเอกชนเท่านั้น
2. จากการศึกษาคาดว่าในอีก 20 ปีข้างหน้าประเทศไทยอาจประสบกับปัญหาวิกฤตจากการมีจำนวนประชากรสูงอายุเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว อีกทั้งระบบกองทุนบำเหน็จบำนาญของไทยในปัจจุบันยังไม่สามารถตอบสนองได้ดีเท่าที่ควรต่อวัตถุประสงค์หลักของการมีระบบบำเหน็จบำนาญที่ดี 4 ด้าน คือ 1) การมีรายได้ที่เพียงพอหลังเกษียณอายุ 2) ระบบมีความครอบคลุมแรงงานอย่างทั่วถึง 3) ระบบมีความเป็นไปได้ทางการเงินในระยะยาว และ 4) ระบบเป็นเครื่องมือพัฒนาและสร้างเสถียรภาพของพนักงานของเศรษฐกิจ
3. จากผลการศึกษา บริษัทที่ปรึกษาฯ ได้เสนอทางเลือกในการปรับปรุงระบบบำเหน็จบำนาญและกองทุนสำรองเลี้ยงชีพสำหรับไทย 4 ทางเลือก สรุปได้ดังนี้
ทางเลือกที่ 1 แก้ไขปรับปรุงระบบบำเหน็จบำนาญเฉพาะตามแผนที่สำนักงานประกันสังคมกำหนดไว้แล้ว ได้แก่ การขยายขอบข่ายการครอบคลุมของสำนักงานประกันสังคมให้กว้างขวางขึ้น และแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายว่าด้วยกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ เพื่อให้มีการบริหารจัดการ การกำกับดูแล และการตรวจสอบที่เหมาะสมและรัดกุมยิ่งขึ้น
ทางเลือกที่ 2 นำระบบกองทุนชั้นที่ 2 ซึ่งเป็นกองทุนการออมเพื่อการชราภาพแบบบังคับ ซึ่งสมาชิกจะได้รับผลประโยชน์เต็มตามจำนวนเงินสะสม/เงินสมทบและดอกผลมาใช้แทนระบบกองทุนประกันสังคมเพื่อการชราภาพ ซึ่งเป็นกองทุนชั้นที่ 1 สำหรับลูกจ้างภาคเอกชนที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน
ทางเลือกที่ 3 เปลี่ยนกองทุนชั้นที่ 3 คือ กองทุนสำรองเลี้ยงชีพแบบสมัครใจ ในปัจจุบันให้เป็นกองทุนสำรองเลี้ยงชีพแบบบังคับ โดยกำหนดให้นายจ้างทุกรายต้องจัดตั้งกองทุนสำรองเลี้ยงชีพสำหรับพนักงาน และให้ส่วนลูกจ้างภาคเอกชนในระยะแรกอาจเป็นสมาชิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพโดยความสมัครใจ แต่เมื่อถึงระยะเวลาหนึ่งลูกจ้างทุกคนต้องเป็นสมาชิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพที่นายจ้างจัดตั้งขึ้น
ทางเลือกที่ 4 จัดตั้งระบบบำเหน็จบำนาญแบบหลายชั้น (Multi - Pillar) โดยปรับปรุงกองทุนประกันสังคมเพื่อการชราภาพ ซึ่งเป็นกองทุนชั้นที่ 1 ให้มีความแข็งแกร่งและขยายขอบข่ายความครอบคลุมของกองทุน และจัดตั้งกองทุนการออมเพื่อการชราภาพแบบบังคับ ซึ่งเป็นกองทุนชั้นที่ 2 โดยให้เอกชนเป็นผู้บริหารกองทุน รวมทั้งปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ซึ่งเป็นกองทุนชั้นที่ 3 เพื่อให้มีการบริหารจัดการ การกำกับดูแล และการตรวจสอบที่เหมาะสมและรัดกุมยิ่งขึ้น
บริษัทที่ปรึกษาฯ มีความเห็นว่าเมื่อพิจารณาตามหลักเกณฑ์ 4 ประการ ตามข้อ 2 แล้ว เห็นว่าทางเลือกที่ 4 เป็นทางเลือกที่เหมาะสมกับประเทศไทยมากที่สุด
4. สำหรับทางเลือกที่ 4 ที่บริษัทที่ปรึกษาฯ เสนอ มีรายละเอียดดังนี้
1) สร้างความแข็งแกร่งและขยายระบบประกันสังคม (กองทุนชั้นที่ 1) โดยจัดให้มีการประกันประโยชน์ทดแทนขั้นต่ำ เพิ่มอายุเกษียณอย่างค่อยเป็นค่อยไป ให้รัฐบาลหยุดจ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคมกรณีชราภาพและสงเคราะห์บุตร ตลอดจนขยายขอบเขตของประกันสังคมให้ครอบคลุมลูกจ้างภาครัฐวิสาหกิจและพนักงานภาครัฐที่ไม่มีระบบการออมเพื่อการชราภาพแบบกำหนดประโยชน์ทดแทน
2) จัดตั้งกองทุนการออมเพื่อการชราภาพแบบบังคับ (กองทุนชั้นที่ 2) โดยให้เอกชนเป็นผู้บริหารจัดการกองทุน และมีการแยกบัญชีเป็นรายบุคคล รวมทั้งต้องมีการจัดวางระบบเพื่อการดำเนินการและการกำกับดูแลกองทุนดังกล่าว
3) ปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (กองทุนชั้นที่ 3) เพื่อให้มีการบริหารจัดการการกำกับดูแล และการตรวจสอบที่เหมาะสมและรัดกุมยิ่งขึ้น รวมทั้งควรพิจารณาปรับปรุงสิทธิประโยชน์ทางภาษี เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนการออมเพื่อการชราภาพโดยสมัครใจรูปแบบอื่น ๆ ด้วย
ทั้งนี้ คณะกรรมการรัฐมนตรีว่าด้วยนโยบายเศรษฐกิจได้มอบหมายให้กระทรวงการคลังดำเนินการตามแผนการที่ได้กำหนดไว้ ดังนี้
1. นำรายงานการศึกษาของบริษัทที่ปรึกษา Deloitte & Touche Consulting Group, Thailand เสนอคณะกรรมการรัฐมนตรีว่าด้วยนโยบายเศรษฐกิจเพื่อทราบและเห็นชอบในหลักการของการริเริ่มโครงการปฏิรูประบบการออมเพื่อการชราภาพ
2. นำรายงานการศึกษาของบริษัทที่ปรึกษา Deloitte & Touche Consulting Group, Thailand บรรจุไว้เป็นหัวข้อหนึ่งสำหรับการจัดประชุมสัมมนาการปฏิรูประบบกองทุนบำเหน็จบำนาญภายใต้กรอบเอเปค ในวันที่ 30 - 31มีนาคม 2543 ซึ่งประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ
3. คณะกรรมการนโยบายเงินออมเพื่อการชราภาพจะพิจารณากำหนดแผนการดำเนินการและหาแนวนโยบายที่เหมาะสม เพื่อเสนอแผนการปฏิรูประบบการออมเพื่อการชราภาพ รวมทั้งจัดตั้งแกนนำในการผลักดันเพื่อให้เกิดการปฏิรูปที่ชัดเจนและเหมาะสม
4. จัดให้มีการสัมมนาและประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจให้แก่ประชาชน พร้อมทั้งให้ผู้เข้าร่วมสัมมนาแสดงความคิดเห็นภายในปี 2543
5. ร่างและแก้ไขข้อกฎหมายและกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องและจำเป็นต่อการปรับปรุงระบบบำเหน็จบำนาญฯ ให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ชุดนายชวน หลีกภัย)--วันที่ 24 เมษายน 2543--