คณะรัฐมนตรีรับทราบตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมรายงานผลการประชุมรัฐมนตรีเอเปคด้านวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ครั้งที่ 8 ณ นครเซี่ยงไฮ้ ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน ในระหว่างวันที่ 29 - 30 สิงหาคม 2544 ซึ่งจะเป็นมาตรการและแนวทางในการดำเนินการตามเป้าหมายหลักของยุทธศาสตร์การพัฒนาเศรษฐกิจของรัฐบาลในการเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจโลกอย่างรู้เท่าทัน และพัฒนาเศรษฐกิจในประเทศที่ใช้ความรู้ความสามารถในประเทศมากขึ้นสรุปสาระสำคัญไดั ดังนี้
1. ในการประชุมดังกล่าวเป็นการประชุมของรัฐมนตรีที่รับผิดชอบงานด้านวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) จากกลุ่มสมาชิกเอเปค ได้แก่ ออสเตรเลีย บรูไนดารุสซาลาม แคนาดา ชิลี สาธารณรัฐประชาชนจีน เขตปกครองพิเศษฮ่องกง อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น สาธารณรัฐเกาหลี มาเลเซีย เม็กซิโก นิวซีแลนด์ ปากัวนิวกินี เปรู ฟิลิปปินส์รัสเซีย สิงคโปร์ ไชนีสไทเป ไทย สหรัฐอเมริกา และเวียดนาม รวมทั้งผู้แทนจากสำนักเลขาธิการเอเปค (APEC Secretariat) และผู้สังเกตการณ์จากสภาความร่วมมือทางเศรษฐกิจในคาบสมุทรแปซิฟิก (Pacific Economic CooperationCouncil - PECC) และกลุ่มหมู่เกาะในแปซิฟิก (The Pacific Islands Forum - PIF) โดยการประชุมดังกล่าวได้จัดคู่ขนานกับการประชุมภาคธุรกิจเอเปคด้านวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม และนิทรรศการ (APEC SME Business Forum andExhibition) ซึ่งที่ประชุมได้หารือภายใต้หัวข้อหลัก "ศตวรรษใหม่ ความท้าทายใหม่ : นวัตกรรมและสิ่งแวดล้อมเพื่อการพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลาลและขนาดย่อม" (New Century, New Challenges : Innovation and Environment for SME Development) ซึ่งมีมาตรการสำคัญในการนำเสนอ 3 ประเด็นคือ
1.1 การพัฒนานวัตกรรมทางเทคโนโลยี (Advancing Technological Innovation)
1.2 การอำนวยความสะดวกทางด้านการเงิน (Facilitating Financing)
1.3 การปรับปรุงสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ เพื่อการพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (Improving theEnvironment for SME Development)
2. จากการประชุมดังกล่าวมีข้อสังเกตจากการประชุมและสิ่งที่กระทรวงอุตสาหกรรมจะดำเนินการ ดังนี้
2.1 ในการนำเสนอของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมในหัวข้อหลัก เรื่อง "การปรับปรุงสิ่งแวดล้อมเพื่อการพัฒนา SME" มีใจความตอนหนึ่งรายงานสรุปผลการจัดประชุม APEC SME 2001 Conference onStrategic Alliances for Efficient Supply Chain Management ระหว่างวันที่ 1 - 3 สิงหาคม 2544 ซึ่งประเทศไทยได้นำเสนอข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการให้มีหน่วยประสานการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และข้อมูลเพื่อสนับสนุนการจัดการโซ่อุปทานให้แก่ SMEs โดยใช้สื่ออิเล็กทรอนิกส์ ข้อเสนอของประเทศไทยได้รับการสนับสนุนจากหลายประเทศ อาทิญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา เวียดนาม และสิงคโปร์ และที่ประชุมได้มอบหมายให้คณะทำงานเอเปคด้าน SME พิจารณาหาแนวทางเพื่อให้เกิดการดำเนินงานตามข้อเสนอของประเทศไทยต่อไป
กระทรวงอุตสาหกรรมมีแผนงานที่จะดำเนินงานผลักดันการพัฒนาระบบ Supply Chain อย่างจริงจัง โดยร่วมมือกับองค์กรภาคเอกชนและสถาบันการศึกษาในการส่งเสริมความรู้และสร้างความเข้าใจให้แก่ SMEs ไทย ตลอดจนประสานความร่วมมือกับภาคีสมาชิกเอเปค โดยเฉพาะกลุ่มภาคีที่ให้การสนับสนุนข้อเสนอของไทย เพื่อให้เกิดความร่วมมือทั้งในระดับพหุภาคีและระดับทวิภาคีต่อไป
2.2 การเสริมสร้างศักยภาพบุคลากร การพัฒนาบุคลากรเพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันธุรกิจ โดยเฉพาะในยุคเศรษฐกิจใหม่ที่อาศัยองค์ความรู้และเทคโนโลยีการสื่อสารเป็นหลัก โดยที่ความตื่นตัวของภาคีสมาชิกโดยเฉพาะที่พัฒนาแล้ว เช่น แคนาดา สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น รวมทั้งจีน ในเรื่องการสร้างความรู้และความเข้าใจในหมู่ SMEs เกี่ยวกับการใช้ประโยชน์จากสื่ออิเล็กทรอนิกส์ในการหาข้อมูลและทำธุรกิจ เพื่อสร้างความได้เปรียบทางด้านการตลาดและต้นทุนการผลิต/การค้า ประกอบกับการที่จีนจะได้ร่วมเป็นภาคีองค์การการค้าโลก (WTO) ในเดือนพฤศจิกายน2544 เป็นเหตุปัจจัยสำคัญที่ประเทศไทยจำเป็นจะต้องให้ความสนใจอย่างยิ่ง และเร่งรีบพัฒนาศักยภาพของ SMEs ไทยโดยเฉพาะในเรื่องการใช้ประโยชน์ของสื่ออิเล็กทรอนิกส์เพื่อจะคงความสามารถทางการแข่งขันในตลาดโลกไว้
กระทรวงอุตสาหกรรมจะดำเนินการเสริมสร้างความรู้ความสามารถของผู้ประกอบการ SMEs ไทยเกี่ยวกับการใช้ประโยชน์ของสื่ออิเล็กทรอนิกส์ภายใต้โครงการต่าง ๆ ที่มีการดำเนินการอยู่อย่างเร่งด่วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการส่งเสริมการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์
2.3 การส่งเสริมงานวิจัยและพัฒนาของ SMEs ไทย จากผลการประชุมชี้ให้เห็นว่า SMEs จำเป็นจะต้องมีการทำวิจัยและพัฒนาเพื่อสร้างและขยายโอกาสทางการตลาด นวัตกรรมจากการวิจัยและพัฒนาจะเป็นฐานสนับสนุนให้ SMEs แข็งแกร่งและเติบโตต่อไปอย่างยั่งยืน
กระทรวงอุตสาหกรรมเห็นความจำเป็นที่จะให้มีการดำเนินงานอย่างใกล้ชิดระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการให้ความช่วยเหลือและสนับสนุน SMEs ในการทำวิจัยและพัฒนาในลักษณะไตรภาคี คือ ภาครัฐ ผู้ประกอบการ SMEs และสถาบันการศึกษา/สถาบันวิจัย โดยในเบื้องต้นกระทรวงอุตสาหกรรมจะสนับสนุนและส่งเสริมให้ผู้ประกอบการ SMEs ทำการวิจัยและพัฒนาร่วมกับกรมส่งเสริมอุตสาหกรรมในสาขาที่กรมส่งเสริมอุตสาหกรรมมีความพร้อมทั้งในด้านบุคลากรและเครื่องจักรและอุปกรณ์ อาทิ โลหะการ สิ่งทอ เป็นต้น
2.4 กองทุนร่วมลงทุน (Venture Capital) จากการที่ภาคีสมาชิกได้นำเสนอรายงานมาตรการสนับสนุนเงินทุนแก่ SMEs ต่างระบุตรงกันถึงการใช้เงินทุนร่วมลงทุนเป็นกลไกสำคัญ ซึ่งเป็นสิ่งยืนยันว่าการดำเนินการของกระทรวงอุตสาหกรรมในเรื่องดังกล่าวเป็นแนวทางที่ถูกต้อง
2.5 การดำเนินงานร่วมกับผู้ประกอบการ SMEs อย่างใกล้ชิด ประเด็นหลักสำคัญประการหนึ่งของการประชุมในคราวนี้คือ การผลักดันให้ภาคธุรกิจมีส่วนร่วมอย่างแข็งขันมากขึ้นในกิจการเอเปคด้าน SMEs ทั้งในด้านการร่วมกำหนดนโยบายการเสริมสร้างศักยภาพของบุคลากร และการมีส่วนร่วมในการประชุม
กระทรวงอุตสาหกรรมมีความเห็นสอดคล้องและพร้อมที่จะดำเนินการตามทิศทางของเอเปค และเห็นสมควรที่จะให้การปรับปรุงกฎระเบียบเพื่อเกื้อหนุนให้ผู้แทนของผู้ประกอบการ SMEs ไทยได้เข้าร่วมการประชุมของเอเปค โดยรัฐให้การสนับสนุนงบประมาณตามความเหมาะสม ทั้งนี้ เพื่อเป็นการยืนยันเจตนารมณ์และความจริงใจของภาครัฐในการดำเนินงานร่วมกับผู้ประกอบการ SMEs อย่างใกล้ชิด
3. ประเทศไทยจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมเอเปคในปี 2546 และกระทรวงอุตสาหกรรมมีหน้าที่ดูแลการจัดประชุมรัฐมนตรีและการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับ SMEs และต้องอาศัยความร่วมมือจากภาคธุรกิจเป็นสำคัญเพื่อให้การจัดการประชุมสำเร็จลงด้วยความเรียบร้อยและราบรื่น ในการนี้ กระทรวงอุตสาหกรรมเห็นความจำเป็นจะต้องเร่งดำเนินการตามแนวทางเอเปคด้วยการสนับสนุนงบประมาณตามความเหมาะสมให้ผู้แทนของผู้ประกอบการ SMEs ไทยได้เข้าร่วมการประชุมที่เกี่ยวข้องตั้งแต่ปี 2545 เป็นต้นไป
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร) วันที่ 16 ต.ค. 44--
-สส-
1. ในการประชุมดังกล่าวเป็นการประชุมของรัฐมนตรีที่รับผิดชอบงานด้านวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) จากกลุ่มสมาชิกเอเปค ได้แก่ ออสเตรเลีย บรูไนดารุสซาลาม แคนาดา ชิลี สาธารณรัฐประชาชนจีน เขตปกครองพิเศษฮ่องกง อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น สาธารณรัฐเกาหลี มาเลเซีย เม็กซิโก นิวซีแลนด์ ปากัวนิวกินี เปรู ฟิลิปปินส์รัสเซีย สิงคโปร์ ไชนีสไทเป ไทย สหรัฐอเมริกา และเวียดนาม รวมทั้งผู้แทนจากสำนักเลขาธิการเอเปค (APEC Secretariat) และผู้สังเกตการณ์จากสภาความร่วมมือทางเศรษฐกิจในคาบสมุทรแปซิฟิก (Pacific Economic CooperationCouncil - PECC) และกลุ่มหมู่เกาะในแปซิฟิก (The Pacific Islands Forum - PIF) โดยการประชุมดังกล่าวได้จัดคู่ขนานกับการประชุมภาคธุรกิจเอเปคด้านวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม และนิทรรศการ (APEC SME Business Forum andExhibition) ซึ่งที่ประชุมได้หารือภายใต้หัวข้อหลัก "ศตวรรษใหม่ ความท้าทายใหม่ : นวัตกรรมและสิ่งแวดล้อมเพื่อการพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลาลและขนาดย่อม" (New Century, New Challenges : Innovation and Environment for SME Development) ซึ่งมีมาตรการสำคัญในการนำเสนอ 3 ประเด็นคือ
1.1 การพัฒนานวัตกรรมทางเทคโนโลยี (Advancing Technological Innovation)
1.2 การอำนวยความสะดวกทางด้านการเงิน (Facilitating Financing)
1.3 การปรับปรุงสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ เพื่อการพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (Improving theEnvironment for SME Development)
2. จากการประชุมดังกล่าวมีข้อสังเกตจากการประชุมและสิ่งที่กระทรวงอุตสาหกรรมจะดำเนินการ ดังนี้
2.1 ในการนำเสนอของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมในหัวข้อหลัก เรื่อง "การปรับปรุงสิ่งแวดล้อมเพื่อการพัฒนา SME" มีใจความตอนหนึ่งรายงานสรุปผลการจัดประชุม APEC SME 2001 Conference onStrategic Alliances for Efficient Supply Chain Management ระหว่างวันที่ 1 - 3 สิงหาคม 2544 ซึ่งประเทศไทยได้นำเสนอข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการให้มีหน่วยประสานการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และข้อมูลเพื่อสนับสนุนการจัดการโซ่อุปทานให้แก่ SMEs โดยใช้สื่ออิเล็กทรอนิกส์ ข้อเสนอของประเทศไทยได้รับการสนับสนุนจากหลายประเทศ อาทิญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา เวียดนาม และสิงคโปร์ และที่ประชุมได้มอบหมายให้คณะทำงานเอเปคด้าน SME พิจารณาหาแนวทางเพื่อให้เกิดการดำเนินงานตามข้อเสนอของประเทศไทยต่อไป
กระทรวงอุตสาหกรรมมีแผนงานที่จะดำเนินงานผลักดันการพัฒนาระบบ Supply Chain อย่างจริงจัง โดยร่วมมือกับองค์กรภาคเอกชนและสถาบันการศึกษาในการส่งเสริมความรู้และสร้างความเข้าใจให้แก่ SMEs ไทย ตลอดจนประสานความร่วมมือกับภาคีสมาชิกเอเปค โดยเฉพาะกลุ่มภาคีที่ให้การสนับสนุนข้อเสนอของไทย เพื่อให้เกิดความร่วมมือทั้งในระดับพหุภาคีและระดับทวิภาคีต่อไป
2.2 การเสริมสร้างศักยภาพบุคลากร การพัฒนาบุคลากรเพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันธุรกิจ โดยเฉพาะในยุคเศรษฐกิจใหม่ที่อาศัยองค์ความรู้และเทคโนโลยีการสื่อสารเป็นหลัก โดยที่ความตื่นตัวของภาคีสมาชิกโดยเฉพาะที่พัฒนาแล้ว เช่น แคนาดา สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น รวมทั้งจีน ในเรื่องการสร้างความรู้และความเข้าใจในหมู่ SMEs เกี่ยวกับการใช้ประโยชน์จากสื่ออิเล็กทรอนิกส์ในการหาข้อมูลและทำธุรกิจ เพื่อสร้างความได้เปรียบทางด้านการตลาดและต้นทุนการผลิต/การค้า ประกอบกับการที่จีนจะได้ร่วมเป็นภาคีองค์การการค้าโลก (WTO) ในเดือนพฤศจิกายน2544 เป็นเหตุปัจจัยสำคัญที่ประเทศไทยจำเป็นจะต้องให้ความสนใจอย่างยิ่ง และเร่งรีบพัฒนาศักยภาพของ SMEs ไทยโดยเฉพาะในเรื่องการใช้ประโยชน์ของสื่ออิเล็กทรอนิกส์เพื่อจะคงความสามารถทางการแข่งขันในตลาดโลกไว้
กระทรวงอุตสาหกรรมจะดำเนินการเสริมสร้างความรู้ความสามารถของผู้ประกอบการ SMEs ไทยเกี่ยวกับการใช้ประโยชน์ของสื่ออิเล็กทรอนิกส์ภายใต้โครงการต่าง ๆ ที่มีการดำเนินการอยู่อย่างเร่งด่วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการส่งเสริมการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์
2.3 การส่งเสริมงานวิจัยและพัฒนาของ SMEs ไทย จากผลการประชุมชี้ให้เห็นว่า SMEs จำเป็นจะต้องมีการทำวิจัยและพัฒนาเพื่อสร้างและขยายโอกาสทางการตลาด นวัตกรรมจากการวิจัยและพัฒนาจะเป็นฐานสนับสนุนให้ SMEs แข็งแกร่งและเติบโตต่อไปอย่างยั่งยืน
กระทรวงอุตสาหกรรมเห็นความจำเป็นที่จะให้มีการดำเนินงานอย่างใกล้ชิดระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการให้ความช่วยเหลือและสนับสนุน SMEs ในการทำวิจัยและพัฒนาในลักษณะไตรภาคี คือ ภาครัฐ ผู้ประกอบการ SMEs และสถาบันการศึกษา/สถาบันวิจัย โดยในเบื้องต้นกระทรวงอุตสาหกรรมจะสนับสนุนและส่งเสริมให้ผู้ประกอบการ SMEs ทำการวิจัยและพัฒนาร่วมกับกรมส่งเสริมอุตสาหกรรมในสาขาที่กรมส่งเสริมอุตสาหกรรมมีความพร้อมทั้งในด้านบุคลากรและเครื่องจักรและอุปกรณ์ อาทิ โลหะการ สิ่งทอ เป็นต้น
2.4 กองทุนร่วมลงทุน (Venture Capital) จากการที่ภาคีสมาชิกได้นำเสนอรายงานมาตรการสนับสนุนเงินทุนแก่ SMEs ต่างระบุตรงกันถึงการใช้เงินทุนร่วมลงทุนเป็นกลไกสำคัญ ซึ่งเป็นสิ่งยืนยันว่าการดำเนินการของกระทรวงอุตสาหกรรมในเรื่องดังกล่าวเป็นแนวทางที่ถูกต้อง
2.5 การดำเนินงานร่วมกับผู้ประกอบการ SMEs อย่างใกล้ชิด ประเด็นหลักสำคัญประการหนึ่งของการประชุมในคราวนี้คือ การผลักดันให้ภาคธุรกิจมีส่วนร่วมอย่างแข็งขันมากขึ้นในกิจการเอเปคด้าน SMEs ทั้งในด้านการร่วมกำหนดนโยบายการเสริมสร้างศักยภาพของบุคลากร และการมีส่วนร่วมในการประชุม
กระทรวงอุตสาหกรรมมีความเห็นสอดคล้องและพร้อมที่จะดำเนินการตามทิศทางของเอเปค และเห็นสมควรที่จะให้การปรับปรุงกฎระเบียบเพื่อเกื้อหนุนให้ผู้แทนของผู้ประกอบการ SMEs ไทยได้เข้าร่วมการประชุมของเอเปค โดยรัฐให้การสนับสนุนงบประมาณตามความเหมาะสม ทั้งนี้ เพื่อเป็นการยืนยันเจตนารมณ์และความจริงใจของภาครัฐในการดำเนินงานร่วมกับผู้ประกอบการ SMEs อย่างใกล้ชิด
3. ประเทศไทยจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมเอเปคในปี 2546 และกระทรวงอุตสาหกรรมมีหน้าที่ดูแลการจัดประชุมรัฐมนตรีและการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับ SMEs และต้องอาศัยความร่วมมือจากภาคธุรกิจเป็นสำคัญเพื่อให้การจัดการประชุมสำเร็จลงด้วยความเรียบร้อยและราบรื่น ในการนี้ กระทรวงอุตสาหกรรมเห็นความจำเป็นจะต้องเร่งดำเนินการตามแนวทางเอเปคด้วยการสนับสนุนงบประมาณตามความเหมาะสมให้ผู้แทนของผู้ประกอบการ SMEs ไทยได้เข้าร่วมการประชุมที่เกี่ยวข้องตั้งแต่ปี 2545 เป็นต้นไป
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร) วันที่ 16 ต.ค. 44--
-สส-