ทำเนียบรัฐบาล--10 ต.ค.--นิวส์สแตนด์
คณะกรรมการรัฐมนตรีว่าด้วยนโยบายเศรษฐกิจรับทราบตามที่กระทรวงพาณิชย์รายงานภาวะการค้าระหว่างประเทศของไทยในระยะ 8 เดือนแรกของปี 2543 ดังมีสาระสำคัญสรุปได้ดังนี้
1. การส่งออกในเดือนสิงหาคม มีมูลค่า 6,282 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันของปี 2542 ร้อยละ 26.1 เพิ่มขึ้นในอัตราสูงอย่างต่อเนื่องเป็นเดือนที่แปด ในระยะ 8 เดือนแรกของปี 2543 (มค.-สค.) การส่งออกมีมูลค่า 45,284 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันของปี 2542 ร้อยละ 21.9 และคิดเป็นร้อยละ 73.0 ของเป้าหมายการส่งออก
1.1 ปัจจัยที่ทำให้การส่งออกขยายตัวในอัตราสูง ได้แก่
- การขยายตัวของความต้องการในตลาดโลกที่เพิ่มขึ้นตามการขยายตัวของเศรษฐกิจและการค้าของโลกและตลาดส่งออกสำคัญของไทย รวมทั้งค่าเงินบาทที่มีแนวโน้มอ่อนตัวลง
- ความช่วยเหลือจากบริษัทแม่ในต่างประเทศในการขยายตลาดของสินค้าอุตสาหกรรมสำคัญหลายรายการ โดยเฉพาะที่เป็นการลงทุนหรือร่วมทุนกับต่างประเทศ เช่นเครื่องไฟฟ้า เครื่องอิเล็กทรอนิกส์ และยานยนต์
- การขยายตัวของการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ ทำให้ความต้องการสินค้าเครื่องอิเล็กทรอนิกส์ อุปกรณ์และส่วนประกอบเพิ่มขึ้นมาก
- ความร่วมมือระหว่างภาคราชการและเอกชนในการแก้ไขปัญหา รวมทั้งการเจาะและขยายตลาดอย่างจริงจังและต่อเนื่อง
1.2 การส่งออกเพิ่มขึ้นในทุกหมวดสินค้า โดยเฉพาะสินค้าอุตสาหกรรมการเกษตรที่ส่งออก เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.9 ต่อเนื่องเป็นเดือนที่สอง เนื่องจากอาหารทะเลกระป๋องและน้ำตาลทรายได้กลับมาส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 8.7 และ 0.5 ตามลำดับ จากที่ส่งออกลดลงในช่วงครึ่งแรกของปี รวมทั้งผลิตภัณฑ์ยางที่ยังส่งออกเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ขณะที่การส่งออกสับปะรดกระป๋องยังลดลงต่อเนื่อง จากปัญหาการแข่งขันด้านราคาและการกีดกันจากสหรัฐอเมริกาและสหภาพยุโรป
- สินค้าเกษตรกรรมส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 6.7 ตามการขยายตัวของการส่งออกยางพารา กุ้งสดแช่แข็ง ไก่แช่แข็งและแปรรูป และผลไม้สดแช่เย็น ที่เพิ่มขึ้นทั้งปริมาณและมูลค่า ตามการขยายตัวของความต้องการของตลาด ขณะที่การส่งออกข้าว มันอัดเม็ดและมันเส้น และปลาสดแช่แข็งยังลดลงทั้งปริมาณและมูลค่า เนื่องจากปัญหาความต้องการของตลาดชะลอตัว การแข่งขันด้านราคา รวมทั้งการขาดแคลนปลาในประเทศ
- สินค้าอุตสาหกรรมส่งออกเพิ่มขึ้นในอัตราสูงต่อเนื่องถึงร้อยละ 24.2 ที่สำคัญได้แก่เครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องอิเล็กทรอนิกส์ สิ่งทอ รถยนต์และส่วนประกอบ อัญมณีและเครื่องประดับ เฟอร์นิเจอร์และชิ้นส่วน เม็ดและผลิตภัณฑ์พลาสติก ผลิตภัณฑ์เหล็กและเหล็กกล้า หนังและผลิตภัณฑ์ เครื่องใช้บนโต๊ะอาหาร ผลิตภัณฑ์เซรามิก เคมีภัณฑ์
1.3 สินค้าสำคัญที่ส่งออกลดลง ได้แก่
- ข้าว ปริมาณลดลงร้อยละ 14.2 มูลค่าลดลงร้อยละ 16.0 โดยเป็นการลดลงของการส่งออกข้าวคุณภาพปานกลางและต่ำ รวมทั้งปลายข้าว เนื่องจากความต้องการของตลาดที่ลดลง โดยเฉพาะอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ที่ผลผลิตในประเทศเพิ่มขึ้นทำให้ความต้องการนำเข้าลดลง และการแข่งขันด้านราคากับเวียดนามที่มีราคาต่ำกว่า ขณะที่การส่งออกข้าวคุณภาพสูงขยายตัวเพิ่มขึ้นทั้งปริมาณและมูลค่าร้อยละ 4.4 และ 4.2 ตามลำดับ
- มันอัดเม็ดและมันเส้น ลดลงทั้งปริมาณและมูลค่าร้อยละ 27.4 และ 37.9 ตามลำดับ เนื่องจากราคาธัญพืชในสหภาพยุโรปที่ลดต่ำลงทำให้ความต้องการนำเข้าและราคามันสำปะหลังมีแนวโน้มลดลง
- อาหารทะเลแช่แข็ง โดยเฉพาะปลาหมึกและปลาสด ลดลงทั้งปริมาณและมูลค่า เนื่องจากปัญหาการขาดแคลนวัตถุดิบในประเทศ และการแข่งขันด้านราคา
- สับปะรดกระป๋อง มูลค่าลดลงร้อยละ 35.8 ปริมาณเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.2 เป็นผลจากการกีดกันในสหรัฐอเมริกาและสหภาพยุโรป และการแข่งขันด้านราคากับคู่แข่งสำคัญคือ อินโดนีเซีย และ ฟิลิปปินส์
1.4 ภาวะการส่งออกไปยังตลาดสำคัญ
- การส่งออกไปยังตลาดหลักและตลาดอื่นๆ ยังมีแนวโน้มขยายตัวเพิ่มขึ้นในอัตราสูง การส่งออกไปยังตลาดหลัก 4 ตลาดขยายตัวเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 20.6 โดยเฉพาะญี่ปุ่นและอาเซียนที่ขยายตัวในอัตราสูงอย่างต่อเนื่อง ขณะที่สหรัฐอเมริกาและสหภาพยุโรป การส่งออกก็มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นเป็นลำดับ
- การส่งออกไปยังตลาดอื่นๆ ขยายตัวเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 25.3 โดยเฉพาะตลาดในแถบเอเซียที่ยังขยายตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ขณะที่การส่งออกไปตะวันออกกลาง และยุโรปตะวันออก ขยายตัวในอัตราที่ต่ำกว่าคือร้อยละ 6.6 และ 13.8 ตามลำดับ
- ตะวันออกกลางเป็นผลจากการลดลงของการส่งออกอาหารทะเลกระป๋อง (ลดลงร้อยละ 35.9 ในตลาดซาอุดิอาระเบียและสหรัฐอาหรับฯ) สำหรับสินค้าที่ส่งออกเพิ่มขึ้นได้แก่ อัญมณี เครื่องปรับอากาศ เสื้อผ้า น้ำตาล รองเท้า วิทยุและโทรทัศน์
- การส่งออกไปยุโรปตะวันออกขยายตัวในเกณฑ์ต่ำเพียงร้อยละ 13.8 เป็นผลจากการรส่งออกน้ำตาลทรายไปยังรัสเซียซึ่งลดลงถึงร้อยละ 51.9 (มีสัดส่วนคิดเป็นร้อยละ 20 ของมูลค่าส่งออกรวมไปยังยุโรปตะวันออก) ขณะที่การส่งออกสินค้าอื่นๆ ยังขยายตัวเพิ่มขึ้นที่สำคัญ ได้แก่ มอเตอร์และเครื่องกำเนิดไฟฟ้า เสื้อผ้า เครื่องคอมพิวเตอร์และส่วนประกอบ อาหารทะเลกระป๋อง ยานพาหนะ อุปกรณ์และส่วนประกอบ
2. การนำเข้าในเดือนสิงหาคม มีมูลค่า 5,833 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันของปี 2542 ถึงร้อยละ 39.6 เป็นการนำเข้าเพิ่มขึ้นในอัตราสูงในทุกหมวดสินค้าสำคัญ โดยเฉพาะน้ำมันเชื้อเพลิงซึ่งเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 144.6 ตามการเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมัน
- การนำเข้าในระยะ 8 เดือนแรกของปี 2543 (มค.-สค.) มีมูลค่า 39,904 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันของปี 2542 ร้อยละ 27.0 ตามการขยายตัวของการส่งออก รวมทั้งการเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันจากต่างประเทศ โดยเป็นการนำเข้าเพิ่มขึ้นในอัตราสูงในทุกหมวด (การนำเข้าสินค้าทุนจะขยายตัวถึงร้อยละ 27.3 หากหักการนำเข้าเครื่องบินออก)
- สินค้ายานพาหนะและอุปกรณ์ขนส่ง สินค้าทุน และสินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูปที่นำเข้ามาใช้ผลิตสินค้าเพื่อการส่งออกยังคงมีแนวโต้มขยายตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ที่สำคัญและเพิ่มขึ้นในอัตราสูง ได้แก่ ส่วนประกอบ อุปกรณ์โครงรถและตัวถัง แผงวงจรไฟฟ้า ส่วนประกอบคอมพิวเตอร์ เคมีภัณฑ์ เหล็กและเหล็กกล้า เครื่องจักรใช้ในอุตสาหกรรมและส่วนประกอบ เพชร พลอยและอัญมณี หนังดิบและหนังฟอก ไม้ซุงและไม้แปรรูป ผ้าผืน ด้ายและเส้นใย เป็นต้น
- การนำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภคยังมีแนวโน้มขยายตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากปลายปี 2542 สินค้าที่นำเข้าเพิ่มขึ้นมากได้แก่ เครื่องใช้ไฟฟ้า ผลิตภัณฑ์พลาสติก ผลิตภัณฑ์เวชกรรม เสื้อผ้า รองเท้าและสิ่งทออื่นๆ สบู่ ผงซักฟอกและเครื่องสำอาง ผัก ผลไม้และของปรุงแต่ง และเครื่องดื่มประเภท น้ำแร่ น้ำอัดลมและสุรา
3. ดุลการค้า เกินดุลต่อเนื่องเป็นเดือนที่สามสิบเจ็ด ในเดือนสิงหาคมดุลการค้าเกินดุลมีมูลค่า 449 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในระยะ 8 เดือนแรกของปี 2543 (มค.-สค.) ดุลการค้าเกินดุล มีมูลค่า 5,380 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ลดลงจากระยะเดียวกันของปี 2542 ร้อยละ 5.7 ประเทศคู่ค้าสำคัญที่ไทยมีดุลการค้าเกินดุล คือ สหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป สิงคโปร์ ฮ่องกง แอฟริกา ออสเตรเลีย และลาตินอเมริกา และประเทศที่ไทยขาดดุลการค้า ได้แก่ ญี่ปุ่น มาเลเซีย ตะวันออกกลาง เกาหลีใต้ จีน ไต้หวัน และยุโรปตะวันออก
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดนายชวน หลีกภัย)--วันที่ 9 ต.ค. 2543--
-สส-
คณะกรรมการรัฐมนตรีว่าด้วยนโยบายเศรษฐกิจรับทราบตามที่กระทรวงพาณิชย์รายงานภาวะการค้าระหว่างประเทศของไทยในระยะ 8 เดือนแรกของปี 2543 ดังมีสาระสำคัญสรุปได้ดังนี้
1. การส่งออกในเดือนสิงหาคม มีมูลค่า 6,282 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันของปี 2542 ร้อยละ 26.1 เพิ่มขึ้นในอัตราสูงอย่างต่อเนื่องเป็นเดือนที่แปด ในระยะ 8 เดือนแรกของปี 2543 (มค.-สค.) การส่งออกมีมูลค่า 45,284 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันของปี 2542 ร้อยละ 21.9 และคิดเป็นร้อยละ 73.0 ของเป้าหมายการส่งออก
1.1 ปัจจัยที่ทำให้การส่งออกขยายตัวในอัตราสูง ได้แก่
- การขยายตัวของความต้องการในตลาดโลกที่เพิ่มขึ้นตามการขยายตัวของเศรษฐกิจและการค้าของโลกและตลาดส่งออกสำคัญของไทย รวมทั้งค่าเงินบาทที่มีแนวโน้มอ่อนตัวลง
- ความช่วยเหลือจากบริษัทแม่ในต่างประเทศในการขยายตลาดของสินค้าอุตสาหกรรมสำคัญหลายรายการ โดยเฉพาะที่เป็นการลงทุนหรือร่วมทุนกับต่างประเทศ เช่นเครื่องไฟฟ้า เครื่องอิเล็กทรอนิกส์ และยานยนต์
- การขยายตัวของการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ ทำให้ความต้องการสินค้าเครื่องอิเล็กทรอนิกส์ อุปกรณ์และส่วนประกอบเพิ่มขึ้นมาก
- ความร่วมมือระหว่างภาคราชการและเอกชนในการแก้ไขปัญหา รวมทั้งการเจาะและขยายตลาดอย่างจริงจังและต่อเนื่อง
1.2 การส่งออกเพิ่มขึ้นในทุกหมวดสินค้า โดยเฉพาะสินค้าอุตสาหกรรมการเกษตรที่ส่งออก เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.9 ต่อเนื่องเป็นเดือนที่สอง เนื่องจากอาหารทะเลกระป๋องและน้ำตาลทรายได้กลับมาส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 8.7 และ 0.5 ตามลำดับ จากที่ส่งออกลดลงในช่วงครึ่งแรกของปี รวมทั้งผลิตภัณฑ์ยางที่ยังส่งออกเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ขณะที่การส่งออกสับปะรดกระป๋องยังลดลงต่อเนื่อง จากปัญหาการแข่งขันด้านราคาและการกีดกันจากสหรัฐอเมริกาและสหภาพยุโรป
- สินค้าเกษตรกรรมส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 6.7 ตามการขยายตัวของการส่งออกยางพารา กุ้งสดแช่แข็ง ไก่แช่แข็งและแปรรูป และผลไม้สดแช่เย็น ที่เพิ่มขึ้นทั้งปริมาณและมูลค่า ตามการขยายตัวของความต้องการของตลาด ขณะที่การส่งออกข้าว มันอัดเม็ดและมันเส้น และปลาสดแช่แข็งยังลดลงทั้งปริมาณและมูลค่า เนื่องจากปัญหาความต้องการของตลาดชะลอตัว การแข่งขันด้านราคา รวมทั้งการขาดแคลนปลาในประเทศ
- สินค้าอุตสาหกรรมส่งออกเพิ่มขึ้นในอัตราสูงต่อเนื่องถึงร้อยละ 24.2 ที่สำคัญได้แก่เครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องอิเล็กทรอนิกส์ สิ่งทอ รถยนต์และส่วนประกอบ อัญมณีและเครื่องประดับ เฟอร์นิเจอร์และชิ้นส่วน เม็ดและผลิตภัณฑ์พลาสติก ผลิตภัณฑ์เหล็กและเหล็กกล้า หนังและผลิตภัณฑ์ เครื่องใช้บนโต๊ะอาหาร ผลิตภัณฑ์เซรามิก เคมีภัณฑ์
1.3 สินค้าสำคัญที่ส่งออกลดลง ได้แก่
- ข้าว ปริมาณลดลงร้อยละ 14.2 มูลค่าลดลงร้อยละ 16.0 โดยเป็นการลดลงของการส่งออกข้าวคุณภาพปานกลางและต่ำ รวมทั้งปลายข้าว เนื่องจากความต้องการของตลาดที่ลดลง โดยเฉพาะอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ที่ผลผลิตในประเทศเพิ่มขึ้นทำให้ความต้องการนำเข้าลดลง และการแข่งขันด้านราคากับเวียดนามที่มีราคาต่ำกว่า ขณะที่การส่งออกข้าวคุณภาพสูงขยายตัวเพิ่มขึ้นทั้งปริมาณและมูลค่าร้อยละ 4.4 และ 4.2 ตามลำดับ
- มันอัดเม็ดและมันเส้น ลดลงทั้งปริมาณและมูลค่าร้อยละ 27.4 และ 37.9 ตามลำดับ เนื่องจากราคาธัญพืชในสหภาพยุโรปที่ลดต่ำลงทำให้ความต้องการนำเข้าและราคามันสำปะหลังมีแนวโน้มลดลง
- อาหารทะเลแช่แข็ง โดยเฉพาะปลาหมึกและปลาสด ลดลงทั้งปริมาณและมูลค่า เนื่องจากปัญหาการขาดแคลนวัตถุดิบในประเทศ และการแข่งขันด้านราคา
- สับปะรดกระป๋อง มูลค่าลดลงร้อยละ 35.8 ปริมาณเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.2 เป็นผลจากการกีดกันในสหรัฐอเมริกาและสหภาพยุโรป และการแข่งขันด้านราคากับคู่แข่งสำคัญคือ อินโดนีเซีย และ ฟิลิปปินส์
1.4 ภาวะการส่งออกไปยังตลาดสำคัญ
- การส่งออกไปยังตลาดหลักและตลาดอื่นๆ ยังมีแนวโน้มขยายตัวเพิ่มขึ้นในอัตราสูง การส่งออกไปยังตลาดหลัก 4 ตลาดขยายตัวเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 20.6 โดยเฉพาะญี่ปุ่นและอาเซียนที่ขยายตัวในอัตราสูงอย่างต่อเนื่อง ขณะที่สหรัฐอเมริกาและสหภาพยุโรป การส่งออกก็มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นเป็นลำดับ
- การส่งออกไปยังตลาดอื่นๆ ขยายตัวเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 25.3 โดยเฉพาะตลาดในแถบเอเซียที่ยังขยายตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ขณะที่การส่งออกไปตะวันออกกลาง และยุโรปตะวันออก ขยายตัวในอัตราที่ต่ำกว่าคือร้อยละ 6.6 และ 13.8 ตามลำดับ
- ตะวันออกกลางเป็นผลจากการลดลงของการส่งออกอาหารทะเลกระป๋อง (ลดลงร้อยละ 35.9 ในตลาดซาอุดิอาระเบียและสหรัฐอาหรับฯ) สำหรับสินค้าที่ส่งออกเพิ่มขึ้นได้แก่ อัญมณี เครื่องปรับอากาศ เสื้อผ้า น้ำตาล รองเท้า วิทยุและโทรทัศน์
- การส่งออกไปยุโรปตะวันออกขยายตัวในเกณฑ์ต่ำเพียงร้อยละ 13.8 เป็นผลจากการรส่งออกน้ำตาลทรายไปยังรัสเซียซึ่งลดลงถึงร้อยละ 51.9 (มีสัดส่วนคิดเป็นร้อยละ 20 ของมูลค่าส่งออกรวมไปยังยุโรปตะวันออก) ขณะที่การส่งออกสินค้าอื่นๆ ยังขยายตัวเพิ่มขึ้นที่สำคัญ ได้แก่ มอเตอร์และเครื่องกำเนิดไฟฟ้า เสื้อผ้า เครื่องคอมพิวเตอร์และส่วนประกอบ อาหารทะเลกระป๋อง ยานพาหนะ อุปกรณ์และส่วนประกอบ
2. การนำเข้าในเดือนสิงหาคม มีมูลค่า 5,833 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันของปี 2542 ถึงร้อยละ 39.6 เป็นการนำเข้าเพิ่มขึ้นในอัตราสูงในทุกหมวดสินค้าสำคัญ โดยเฉพาะน้ำมันเชื้อเพลิงซึ่งเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 144.6 ตามการเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมัน
- การนำเข้าในระยะ 8 เดือนแรกของปี 2543 (มค.-สค.) มีมูลค่า 39,904 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันของปี 2542 ร้อยละ 27.0 ตามการขยายตัวของการส่งออก รวมทั้งการเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันจากต่างประเทศ โดยเป็นการนำเข้าเพิ่มขึ้นในอัตราสูงในทุกหมวด (การนำเข้าสินค้าทุนจะขยายตัวถึงร้อยละ 27.3 หากหักการนำเข้าเครื่องบินออก)
- สินค้ายานพาหนะและอุปกรณ์ขนส่ง สินค้าทุน และสินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูปที่นำเข้ามาใช้ผลิตสินค้าเพื่อการส่งออกยังคงมีแนวโต้มขยายตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ที่สำคัญและเพิ่มขึ้นในอัตราสูง ได้แก่ ส่วนประกอบ อุปกรณ์โครงรถและตัวถัง แผงวงจรไฟฟ้า ส่วนประกอบคอมพิวเตอร์ เคมีภัณฑ์ เหล็กและเหล็กกล้า เครื่องจักรใช้ในอุตสาหกรรมและส่วนประกอบ เพชร พลอยและอัญมณี หนังดิบและหนังฟอก ไม้ซุงและไม้แปรรูป ผ้าผืน ด้ายและเส้นใย เป็นต้น
- การนำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภคยังมีแนวโน้มขยายตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากปลายปี 2542 สินค้าที่นำเข้าเพิ่มขึ้นมากได้แก่ เครื่องใช้ไฟฟ้า ผลิตภัณฑ์พลาสติก ผลิตภัณฑ์เวชกรรม เสื้อผ้า รองเท้าและสิ่งทออื่นๆ สบู่ ผงซักฟอกและเครื่องสำอาง ผัก ผลไม้และของปรุงแต่ง และเครื่องดื่มประเภท น้ำแร่ น้ำอัดลมและสุรา
3. ดุลการค้า เกินดุลต่อเนื่องเป็นเดือนที่สามสิบเจ็ด ในเดือนสิงหาคมดุลการค้าเกินดุลมีมูลค่า 449 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในระยะ 8 เดือนแรกของปี 2543 (มค.-สค.) ดุลการค้าเกินดุล มีมูลค่า 5,380 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ลดลงจากระยะเดียวกันของปี 2542 ร้อยละ 5.7 ประเทศคู่ค้าสำคัญที่ไทยมีดุลการค้าเกินดุล คือ สหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป สิงคโปร์ ฮ่องกง แอฟริกา ออสเตรเลีย และลาตินอเมริกา และประเทศที่ไทยขาดดุลการค้า ได้แก่ ญี่ปุ่น มาเลเซีย ตะวันออกกลาง เกาหลีใต้ จีน ไต้หวัน และยุโรปตะวันออก
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดนายชวน หลีกภัย)--วันที่ 9 ต.ค. 2543--
-สส-